MDB ตอนที่ 198 การกลับมาของตระกูลซื่อ PART 2
ซื่อเหวินจวินกำลังคุยกับเฉินเหวินหลินเท่านั้นโดยไม่สนใจหวู่เฉินเว่ยแม้แต่น้อย
แม้ว่าเธอจะทนได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา แม้ว่าเฉินเหวินหลินจะเป็นคู่แข่งโดยตรงของเธอ แต่เธอก็ยังประทับใจและเคารพในตัวเขาที่สามารถไต่ขึ้นมายืนในจุดนี้ได้ แต่หวู่เฉินเว่ยนั้นไม่ใช่ เจ้าเป็นจอมวายร้ายและเป็นพวกเนรคุณ คนอย่างเขาไม่มีค่าที่จะชายตามอง
เฉินเหวินหลินหัวเราะเบา ๆ และยกมือขึ้นทักทาย “ท่านซื่อ ข้ามาที่นี่เพื่อเพิ่มพูนความรู้ของข้าเท่านั้น เชิญท่านดำเนินการต่อไปได้ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้”
หากดูจากภายนอก สองคนนี้ดูไม่เหมือนศัตรูกัน พวกเขาดูเหมือนเพื่อนเก่าสองคนที่ทักทายกันอย่างอบอุ่น
คนที่เป็นหัวหน้าไม่ควรตีน้ำใสให้ขุ่น ยิ่งเป็นงานใหญ่ที่มีแขกคนสำคัญเข้าร่วม พวกเขาต้องอดทนอดกลั้นจนถึงที่สุด นี่คือลักษณะของผู้นำที่ควรจะมี
แม้ว่าพวกเขาจะเข้าร่วมในศึกชี้เป็นชี้ตาย แต่พวกเขาก็ยังต้องทำให้คนภายนอกเห็นว่าพวกเขายังสามารถเข้ากันได้
แต่ปัญหาคือ คนหนึ่งเป็นคนหน้าซื่อใจคด ในขณะที่อีกคนเป็นมารร้าย
หวู่เฉินเว่ยไม่ต่างจากมารร้าย เขาเป็นคนพาลที่ไร้ยางอายและน่ารังเกียจ
“ซื่อเหวินจวิน เป็นการดีกว่าถ้าหากตระกูลซื่อของเจ้าปิดประตูบ้านเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม หากเจ้ายังคงฝืนต่อต้านพวกเราต่อไป แม้แต่ทรัพย์สมบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พ่อของเจ้าเหลือไว้ พวกมันจะหายไปในชั่วข้ามคืน”
ทันใดนั้นมีคนเยาะเย้ยด้วยน้ำเสียงลึกลับ ไม่ต้องสงสัยเลย คน ๆ นั้นคือหวู่เฉินเว่ย
เขามาที่นี่เพื่อยั่วยุและมองดูตระกูลซื่อทำให้ตัวเองขายหน้า ตอนนี้ความพ่ายแพ้ของพวกเขาใกล้เข้ามาแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลกับอีกฝ่ายและสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเอง
สีหน้าของซื่อเหวินจวินชะงักเล็กน้อย แต่เธอยังคงเพิกเฉยต่อหวู่เฉินเว่ยต่อไป หลังจากพูดคุยกับเฉินเหวินหลินอีกสักพัก เธอก็ขอตัวและหันหลังเดินจากไป
การต่อความยาวสาวความยืดกับคนอย่างหวู่เฉินเว่ย มันไม่ต่างกับทำให้ตัวเองต้องมัวหมอง
แม้ว่าซื่อเหวินจวินต้องการฉีกใบหน้าของหวู่เฉินเว่ยออกเป็นชิ้น ๆ แต่เธอก็ต้องอดทนไว้ แม้ว่าเธอจะรู้สึกโกรธและคลั่งแค้น แม้ว่าน้ำตาจะเอ่อล้นออกมาในดวงตาของเธอ แต่เธอก็ไม่ยอมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเด็ดขาด
ดังนั้น ซื่อเหวินจวินจึงขบริมฝีปากของเธออย่างแรงจนเลือดออกและเอาเล็บจิกมือของเธอ
การยั่วยุของหวู่เฉินเว่ย ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกไม่พอใจ แม้แต่เฉินเหวินหลินก็ยังขมวดคิ้ว แต่เขารู้ว่าหวู่เฉินเว่ยทำทุกอย่างเพื่อตระกูลซื่อล่มสลาย ดังนั้นเขาจึงคาดไว้แล้วว่าพฤติกรรมที่ไร้ยางอายเช่นนี้จะเกิดขึ้น แต่ไม่อย่างอย่างไร เขาก็ไม่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของหวู่เฉินเว่ย ตราบใดที่เขาเข้าไปร่วมด้วย
เฉินเหวินหลินมุ่งเป้าให้สูงกว่านั้น เขาไม่สนใจกลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ สำหรับเขา เป้าหมายคือการบดขยี้ตระกูลซื่อจนหมดและกลายเป็นผู้ผูกขาดอุตสาหกรรมยาอย่างสมบูรณ์
แขกทุกคนต่างเข้ามาจับจ้องที่นั่งที่ทางตระกูลซื่อจัดไว้ให้
ห้องโถงยาที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลซื่อแน่นขนัดไปด้วยผู้คน แขกบางคนถึงกับถูกบังคับให้ยืน
เมื่อเห็นแขกเหรื่อมากันมากมายเช่นนี้ สมาชิกตระกูลซื่อทั่วไปก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็กังวลเช่นกัน ถ้าหากยาที่พวกเขานำมาเปิดตัวไม่เป็นที่ยอมรับ นอกจากจะทำให้อับอายขายหน้าแล้ว มันยังส่งผลกระทบอันร้ายแรงต่อตระกูลตามมา
ยิ่งสูงเท่าไหร่ ตอนตกลงมาก็จากเจ็บหนัก
นี่เป็นคำพูดที่ใช้ได้จริงมาจนถึงปัจจุบัน
แม้ว่าบรรยากาศจะเป็นไปในทางบวก แต่แขกที่มาส่วนใหญ่ที่มาร่วมงาน พวกเขาต้องการชมตระกูลซื่อแสดงละครฉากใหญ่เท่านั้น
สมาชิกในตระกูลซื่อส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลของพวกเขาจะเปิดตัวยาชนิดใดในวันนี้ ท้ายที่สุดมันถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด ซื่อเหวินจวินได้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตของเธอ เธอจึงไม่แสดงไพ่ตายของเธอจนวินาทีสุดท้าย
ทันใดนั้น เจ้าของร้านชราคนหนึ่งของตระกูลซื่อที่อยู่กับพวกเขามานานกว่า 20 ปี ได้เข้ามาและกล่าวสองสามคำ จากนั้น หัวหน้าตระกูลซื่อ ซื่อเหวินจวิน ได้เข้ามารับไม้ต่อ เธอกล่าวขอบคุณแขกที่มาเข้าร่วมงานในวันนี้
ในขณะเดียวกัน หวู่เฉินเหว่ยกำลังเคี้ยวของหวานอยู่ขณะที่เขานั่งท่ามกลางผู้ชมก็พูดขึ้นว่า “พอได้แล้วกับเรื่องไร้สาระ เจ้าไม่มียาตัวใหม่มานำเสนอหรือไง? รีบนำพาพวกมันออกมาได้แล้ว เจ้าคงไม่ได้พยายามหลอกลวงเราด้วยการโฆษณาเกินจริงเพียงเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของพวกเจ้าใช่ไหม!?”
สมาชิกของตระกูลซื่อโกรธมาก คนที่อายุน้อยบางคนถึงกับทนไม่ไหว พวกเขาอยากจะพุ่งเข้าไปชกหน้าหวู่เฉินจนให้เขาเลือดอาบ
ทางซื่อเหวินจวินได้ข่มความโกรธในหัวใจของเธออย่างถึงที่สุด เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ และกล่าวว่า “แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ข้าต้องขอยืนยันว่าทางเรามียาตัวใหม่ที่จะมาเปิดตัวในวันนี้ ส่วนเรื่องที่พวกเราแค่พยายามรักษาภาพลักษณ์หรือไม่นั้น พวกท่านทั้งหมดคงสามารถตัดสินได้ด้วยตาของพวกท่านเอง”
เมื่อพูดอย่างจบ เธอได้กวาดอย่างนุ่มนวลและมีคนเข้ามาพร้อมกับถาดที่อยู่ในมือ
คนที่ถือถาดนั้นเป็นเจ้าของร้านชรา แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว ฝีเท้าของเขาก็ยังมั่นคง ถาดในมือของเขายังเป็นงานศิลปะชั้นดี ทำจากไม้พะยูงขัดมันคุณภาพสูง มันส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงไฟและการออกแบบแบบโบราณให้บรรยากาศรอบข้างดูขลังมาก
ถาดถูกคลุมด้วยผ้าสีแดง ซื่อเหวินจวินยกผ้าขึ้นเพื่อเผยให้เห็นขวดหยกที่อยู่ข้างใต้
นี่คือภาชนะที่ใช้เก็บยาโดยเฉพาะและเป็นหนึ่งในภาชนะที่ดีที่สุด
โดยทั่วไป ภาชนะบรรจุยาจะต้องตรงกับคุณภาพของเม็ดยา มีเพียงยาเม็ดคุณภาพเยี่ยมเท่านั้นที่สามารถจับคู่กับขวดนี้ได้ ถ้าใส่ยาคุณภาพต่ำลงในขวดขนาดนี้ มันจะดูแปลกประหลาด
ดังนั้นการเปิดเผยขวดนี้จึงดึงดูดความสนใจของทุกคนในงานทันที
“มันเป็นขวดหยก แค่ขวดบรรจุก็มีราคามหาศาลอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีใครเคยใส่ยาปกติลงในขวดประเภทนี้อยู่แล้ว ตระกูลซื่ออาจจะแนะนำยาชั้นสูงตัวใหม่ในครั้งนี้หรือไม่?” มีคนเริ่มพูดคุย
“ขวดยาก็เป็นเหมือนคฤหาสน์และรถม้าของเศรษฐี มันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงคุณภาพ การที่คนจนจะอาศัยอยู่ในคฤหาสน์คงเป็นเรื่องน่าละอายและไม่สมควร ไม่เคยมีเม็ดยาตัวใดในเมืองเมเปิ้ลที่คู่ควรแก่การใส่ขวดหยก
พูดกันตามตรง ข้าเริ่มสงสัยว่าแล้วว่าตระกูลซื่อจะเปิดตัวอะไรในวันนี้”
ยังมีคนที่รู้สึกทึ่งและเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น
มีคนขี้สงสัย คนที่ตกใจ แต่ก็มีคนที่ไม่สนใจเช่นกัน
หวู่เฉินเว่ยยังคงเยาะเย้ยและท้าทายตระกูลซื่อต่อไป แต่ไม่มีใครสนใจเขา หลังจากทำไปสักพัก เขาเริ่มเบื่อและในที่สุดเขาก็หยุดพูดไป เขาเพียงเฝ้ามองอย่างแหลมคมไปข้างหน้าและรอให้ตระกูลซื่อทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า
'ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตระกูลซื่อจะยังลูกไม้อะไรหลงเหลืออีก ข้าได้ค้นและตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเจ้ามีทั้งหมดแล้ว!' หวู่เฉินเว่ยจ้องมองอย่างมาดร้าย
ทางด้านเฉินเหวินหลิน เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย
แม้ว่าเขาไม่เชื่อว่าตระกูลซื่อจะยาอะไรมาเปิดตัว แต่การจัดแสดงนี้ค่อนข้างน่ากลัวเล็กน้อย ในใจของเขา เขาสงสัยว่าเขาควรทำอย่างไรหากปรากฏว่าตระกูลซื่อมียาตัวใหม่จริง ๆ ขึ้นมา
แม้ว่าจะมียาตัวใหม่สองสามเม็ด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถพลิกสถานการณ์ปัจจุบันได้
'มาดูกันว่ายาตัวใหม่ที่ว่านั่น มันคืออะไร?' เฉินเหวินหลินจ้องมองขวดหยกอย่างตั้งใจ
เมื่อเห็นว่าฝูงชนสนใจมากแค่ไหน ซื่อเหวินจวินก็รู้ว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการเปิดเผยครั้งใหญ่
เธอยิ้มและหยิบขวดหยกขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้น ฝูงชนจะได้เห็นว่าขวดแกะสลักอย่างวิจิตรงดงามมากเพียงใดและตัวหยกนั้นใสกระจ่าง พวกเขามองเห็นได้ว่ามีของเหลวอยู่ข้างใน
‘เดี๋ยวนะของเหลว?’
ฝูงชนตกใจหลังจากมองเข้าไปใกล้
บางคนถึงกับยืนขึ้นโดยตรง
“ทำไมถึงมีของเหลวอยู่ข้างใน?”
“แปลกมาก หลังจากทำเม็ดยาแล้ว ควรเก็บให้ห่างจากน้ำ มันไม่ควรให้มันเข้าใกล้น้ำแม้แต่หยดเดียว การให้ขวดหยกนี้บรรจุของเหลว มันไม่เหลวไหลเกินไปหน่อยเหรอ?”
"ใครจะรู้? เรามาดูกันต่อดีกว่า”
คนที่รู้เรื่องการอัดเม็ดยาเพียงเล็กน้อยรู้ว่าเม็ดยาทำมาจากไฟ เมื่อทำเสร็จแล้ว เม็ดยาจะไม่โดนน้ำ มิฉะนั้นอาจละลายหายไปและไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
ดังนั้น ทุกคนจึงพบว่ามันเหลือเชื่อและประหลาดใจเมื่อเห็นว่าขวดหยกในมือของซื่อเหวินจวินนั้นเต็มไปด้วยของเหลว
ท่ามกลางฝูงชน ดูเหมือนจะมีใครบางคนคิดอะไรบางอย่างออกมาได้และพึมพำกับตัวเองว่า “หรือว่ามันอาจจะเป็นเม็ดยาเมฆาเหนือวารี?”
ถ้าหลินจินอยู่ที่นี่ เขาคงจะจำชายคนนี้ได้อย่างแน่นอน เขาคือหลู่ปิ่น
หลู่ปิ่นนั้นได้มาพักอยู่ในเมืองเมเปิ้ลนับตั้งแต่วันนั้น เนื่องจากหลินจินขอให้เขารอ เขาก็ทำได้แค่ต้องรอเท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องพาหลินจินกลับไปที่เมืองมังกรหยกกับเขา
ด้วยความเบื่อหน่าย เขาไปเดินเล่นรอบเมืองในวันนี้ ระหว่างทางเขาสังเกตเห็นฝูงชนจำนวนมากผิดปกติที่มุ่งหน้าไปยังห้องโถงยาของตระกูลซื่อ ด้วยความสงสัยจึงเข้ามาดู บุคคลที่มีกำลังภายในกล้าแกร่งอย่างเขา มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะแทรกตัวผ่านฝูงชน
ข้อเสียอย่างเดียวคือที่นั่งไม่เพียงพอ
เมื่อมองดูของเหลวในขวดหยก หลู่ปิ่นก็นึกถึงเม็ดยาเมฆาเหนือวารีทันที สาเหตุที่เขารู้ไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องยา แต่เป็นเพราะเขาได้สัมผัสกับเม็ดยาเมฆาเหนือวารีเมื่อไม่นานนี้และได้เห็นว่าเม็ดยาสามารถลอยอยู่บนน้ำได้โดยไม่ละลายหายไป ประสบการณ์นั้นคือสิ่งที่นำเขาไปสู่ข้อสรุปนี้
“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?” หลู่ปิ่นหัวเราะกับตัวเอง