ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 54 ติดเกราะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 56 บุกป้อมวายุทมิฬ

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 55 หลังชนกำแพง


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 55 หลังชนกำแพง

แปลโดย iPAT  

หลี่ฉิงซานสวมชุดเกราะ แขวนดาบมังกรทะยาน แบกธนูแยกหิน และถือหอกทรราชเคลื่อนที่หายไปในความมืดที่เต็มไปด้วยหิมะและลมหนาว

ในจวนเจ้าเมือง ที่ปรึกษากล่าวกับเย่ต้าฉวนว่า “นายท่าน หลี่ฉิงซานไม่ฟังท่าน เราทำอะไรไม่ได้แล้ว!”

ตั้งแต่เหล่าขุนนางไม่เต็มใจที่จะช่วย เย่ต้าฉวนก็มั่นใจว่าหลี่ฉิงซานจะต้องพ่ายแพ้ ดังนั้นเขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้หลี่ฉิงซานล้มเลิกความคิดและวางแผนระยะยาว อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานไม่ฟังเจ้าเมืองเย่ เขาขอใบอนุญาตเปิดคลังอาวุธและจากไปทันที

เย่ต้าฉวนเดินไปรอบๆก่อนจะหยุดเท้าอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็กระทืบเท้า “ไปรวบรวมคนและม้าให้ข้า!”

ที่ปรึกษากล่าวอย่างยากลำบาก “เรามีคนและม้าตั้งแต่เมื่อใด?”

เย่ต้าฉวนเริ่มคลุ้มคลั่ง “พวกขุนนางเหล่านั้นกล้ายืนมองบุตรหลานของพวกเขาฆ่าคนของข้าต่อหน้าข้า นิกายถ้ำมังกรก็เป็นรังโจรเช่นกัน บอกพวกเขาว่าตระกูลใดไม่ส่งคนมาช่วยจะถือเป็นคนทรยศของเมือง!” เขาตระหนักได้แล้วว่าหากหลี่ฉิงซานเสียชีวิต มันก็ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะเป็นเจ้าเมืองอีกต่อไป นอกจากนั้นมันยังมีความเป็นไปได้สูงมากที่ป้อมวายุทมิฬและนิกายถ้ำมังกรจะมาระบายความโกรธกับเขา

ที่ปรึกษากล่าว “นายท่าน โปรดพิจารณาใหม่ด้วย!” หากเขาทำเช่นนั้น เขาจะทำให้เหล่าขุนนางของเมืองชิงหยางขุ่นเคือง

เย่ต้าฉวนเตะก้นที่ปรึกษา “เหตุใดยังไม่ไป!?”

ที่ปรึกษาต้องทำตามคำสั่งอย่างช่วยไม่ได้ แต่เมื่อเขากำลังจะก้าวออกจากห้องโถง เงาสีดำหลายร่างก็เข้ามาขวางทางเขาเอาไว้ ที่ปรึกษาตกใจ เขาใช้แสงจากตะเกียงส่องออกไปจากห้องโถงและเห็นกลุ่มคนที่แบกธนูไว้บนแผ่นหลัง “โอ้ คนจากหมู่บ้านบังเหียนม้า ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกท่านถึงมาที่นี่ในยามวิกาลเช่นนี้?”

ไหล่ของฮวงปิงหูรัดพันไว้ด้วยผ้าสีขาว แต่การแสดงออกของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง เขาตบไหล่ที่ปรึกษาและกล่าวกับเจ้าเมืองโดยตรง “ท่านเย่ ฮวงปิงหูจากหมู่บ้านบังเหียนม้ายินดีช่วยเหลือท่าน แต่ตอนนี้พวกเราได้ข่าวว่าหลี่ฉิงซานออกจากเมืองไปแล้วพร้อมกับชุดเกราะ”

เห็นได้ชัดว่าฮวงปิงหูไม่เชื่อว่าหลี่ฉิงซานกำลังวิ่งหนี ดังนั้นเขาจึงเสนอตัว “ข้าจะออกไป ในช่วงที่ข้าไม่อยู่ เสี่ยวเฮยจะรับผิดชอบทุกอย่างที่นี่”

ทุกคนรู้ว่าเขาจะไปที่ใด เสี่ยวเฮยกล่าว “ท่านหัวหน้า เราจะไปกับท่าน!” หลังจากผ่านเหตุการณ์ทุกอย่างในวันนี้ ความไร้เดียงสาส่วนใหญ่ก็หายไปจากใบหน้าของเขาและถูกแทนที่ด้วยเข้าใจโลกของผู้ใหญ่

“เราต้องคิดถึงหมู่บ้าน!”

เสี่ยวเฮยกล่าว “หมู่บ้านบังเหียนม้าไม่ได้รับชื่อนี้มาจากการประนีประนอม หากเราไม่สามารถล้มล้างป้อมวายุทมิฬ เราจะไม่พบกับความสงบสุขอีกเลย เราต้องเดิมพันกับเขาเท่านั้น หากข้าสามารถเลือก นั่นคือสิ่งที่ข้าจะทำ!”

ฮวงปิงหูกล่าว “ดี สองแผลนี้ไม่เสียเเปล่าจริงๆ!”

เมืองชิงหยางที่พึ่งสงบลงกลับมาเสียงดังอีกครั้ง

ในสำนักกำปั้นเหล็ก หลิวหงก็ไม่ได้นอนเช่นกัน เขากำลังไตร่ตรองและครุ่นคิดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทันใดนั้นหลี่หลงก็ก้าวเข้ามาในห้องและคุกเข่าลงด้วยเสียงดังตุบ “ท่านอาจารย์!”

หลิวหงขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังทำสิ่งใด?”

หลี่หลงกล่าว “โปรดช่วยหมู่บ้านกระทิงหมอบด้วย!” ป้อมวายุทมิฬยังไม่ได้กวาดล้างหมู่บ้านกระทิงหมอบเพราะพวกเขาต้องการจับหลี่ฉิงซานที่เป็นตัวการหลักของเรื่องทั้งหมดก่อน นอกจากนี้หมู่บ้านกระทิงหมอบยังมีความสัมพันธ์บางอย่างกับสำนักกำปั้นเหล็ก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถรีบร้อนดำเนินการ อย่างไรก็ตามหลังจากคืนนี้ ป้อมวายุทมิฬจะต้องหาทางแก้แค้นและระบายโทสะ พวกเขาจะต้องออกไปสังหารหมู่คนหมู่บ้านกระทิงหมอบอย่างแน่นอน

หลิวหงกล่าว “เจ้าสามารถพาครอบครัวของเจ้าและครอบครัวของพ่อบ้านหลิวมาที่นี่!”

หลี่หลงยังคุกเข่าต่อไป “ท่านอาจารย์ โปรดช่วยหมู่บ้านกระทิงหมอบด้วย!”

“เจ้าเคยบอกว่าเจ้าไม่ชอบที่นั่นมิใช่หรือ?”

“แต่ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของข้า!”

หลิวหงจมอยู่ในห้วงแห่งความคิดราวกับเขากำลังช่างวัดต้นทุนกับผลประโยชน์ ทันใดนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้น “ไปรวบรวมคน!” เขาตัดสินใจหลังจากพิจารณาถึงโสมจิตวิญญาณกับความมั่งคั่งของป้อมวายุทมิฬ

หลี่หลงยิ้ม “ขอบคุณท่านอาจารย์!”

เย่ต้าฉวนใช้ตำแหน่งของเขาในฐานะเจ้าเมืองและยืมชื่อเสียงของหลี่ฉิงซานรวมถึงหมู่บ้านบังเหียนม้าเพื่อสั่งให้เหล่าขุนนางส่งคนออกมา อย่างไรก็ตามมีขุนนางบางคนที่ไม่รับคำสั่งและไม่ส่งคนออกไป

ฮวงปิงหูขมวดคิ้ว ขณะที่เขากำลังคิดว่าเขาควรฆ่าบางคนเพื่อเป็นตัวอย่างหรือไม่ หลิวหงก็ก้าวเข้ามาและป้องหมัดกล่าว “หัวหน้านักล่าฮวง ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว” หลังจากนั้นเขาก็หันไปพูดกับขุนนางที่ดื้อรั้น “วันนี้ข้า หลิวหง สาบานว่าจะกำจัดภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองชิงหยาง หากพวกท่านเต็มใจช่วยข้า ข้าจะไม่มีวันลืม!” แต่ความนัยที่เขาต้องการสื่อสารจริงๆก็คือ “หากพวกเจ้าไม่ช่วยข้า ข้าจะไม่มีวันลืม!”

เมื่อสถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ ขุนนางที่ต่อต้านก็กลายเป็นหวาดกลัว พวกเขาต้องส่งคนออกมาแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม ในความเป็นจริงคำกล่าวของซ่งเซียงอู๋ยังดังกังวาลอยู่ในหูของพวกเขา หากพวกเขาไม่กำจัดคนผู้นี้ออกไปในครั้งนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหลังจากนี้ก็คือการแก้แค้น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องส่งคนทั้งหมดที่มีออกไป ท้ายที่สุดแผ่นหลังของพวกเขาก็ชนกำแพงแล้ว

ด้วยการนำของสองผู้ยิ่งใหญ่ ฮวงปิงหูและหลิวหง พวกเขารู้สึกว่ามีโอกาสที่พวกเขาจะสามารถกวาดล้างป้อมวายุทมิฬ ในความเป็นจริงเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับพ่อบ้านหลิวที่ได้ฉายาว่าหลิวครึ่งหมู่บ้าน ขุนนางเหล่านี้ครอบครองที่ดินส่วนใหญ่รอบๆเมืองชิงหยางเอาไว้ สิ่งที่ป้อมวายุทมิฬปล้นสะดมไปจากหมู่บ้านต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นทรัพยากรของพวกเขา นอกจากนั้นพวกเขายังต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้ป้อมวายุทมิฬ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาจ่ายไปมากเท่าใดแล้ว หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ พวกเขาจะไม่ยอมมอบเงินแม้แต่ตำลึงเดียวให้เจ้าเมืองเพื่อกำจัดโจร

ซ่งเซียงอู๋ไม่เคยคิดว่าการคุกคามของเขาจะส่งผลให้เหล่าขุนนางหันหลังให้เขาอย่างสมบูรณ์

เย่ต้าฉวนมองกลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่ที่นั่นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ มันเกินความคาดหมายของเขาไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้มีคนสี่หรือห้าร้อยคนอยู่ที่นี่ ในฐานะเจ้าเมือง เขาเพียงต้องเฝ้ามองอยู่ในฐานบัญชาการ สำหรับฮวงปิงหูและหลิวหง พวกเขาควบคุมและออกคำสั่งผู้คนที่อยู่รอบๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เคยทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ความกล้าหาญที่ถูกชื่อเสียงและความมั่งคั่งฝังกลบถูกจุดขึ้นในใจของพวกเขาอีกครั้ง

ที่ปรึกษาของเจ้าเมืองตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ เขาต้องนึกถึงวลีในตำราที่เขาเคยเล่าเรียนมา ‘ด้วยการเรียกร้องของมวลชน ผู้คนจะรวมตัว โลกจะวุ่นวาย’

บางครั้งโลกก็ต้องการวีรบุรุษเพียงคนเดียว ผู้กล้าเพียงหนึ่งเดียวที่ก้าวออกไปข้างหน้าและเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ นำมวลชน และสร้างปาฏิหาริย์ที่เรียกว่าความสำเร็จ

อย่างไรก็ตามวีรบุรุษผู้นั้นมักมีจุดจบไม่ดี

ผู้คุมเฒ่าเปิดคลังอาวุธด้วยมือสั่นเทาอีกครั้ง เขาส่งมอบชุดเกราะและอาวุธให้กลุ่มคนที่กำลังจะออกไปกำจัดโจร

ฮวงปิงหูคิดกับตนเอง ‘ข้าหวังว่าเราจะดำเนินการได้ทันเวลา! พวกเราเสียเวลาไปมากในการรวบรวมคน!”

หลิวหงคิด ‘เจ้าหนู อยู่ให้นานกว่านี้อีกนิด แต่หากเจ้าตาย ข้าจะล้างแค้นให้!’

หลี่ฉิงซานเคลื่อนที่ผ่านความมืดไปอย่างรวดเร็ว เขาแบกอาวุธยุทโธปกรณ์หนักเกือบสองร้อยกิโลกรัมเอาไว้บนร่างกาย แต่ไม่เพียงเขาจะไม่เหนื่อย เขายังรู้สึกมีความสุขที่ได้ใช้ความแข็งแกร่งของเขา

เกราะเหล็กเย็นมากแต่เลือดในกายของเขากลับร้อนขึ้นเรื่อยๆ เขาเดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้น สุดท้ายเขาเขาก็วิ่งออกไปด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังและหนักแน่นเหมือนกลองสงคราม

ใครจะรู้ว่าเขาใช้เวลาเดินทางนานเท่าใด เขาข้ามผ่านภูเขาและป่าไม้ก่อนที่เขาจะหยุดเท้าอย่างกะทันหัน เขามองผ่านหิมะและสายลมกรรโชกแรงไปด้วยสายตาที่แหลมคมเหมือนดาบ ด้านหลังลำธาร ป้อมวายุทมิฬตั้งตระหง่านอยู่ในความมืดโดยมีโคมไฟสองสามดวงส่องแสงสลัวออกมา

ป้อมวายุทมิฬอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!

หลี่ฉิงซานไม่รีบร้อน เขานำสุราจิตวิญญาณออกมาดื่มจนหมด พลังที่หมดลงของเขาฟื้นกลับมาทันที ตอนนี้คลื่นความร้อนกำลังอาละวาดอยู่ในร่างกายของเขาราวกับม้าป่า

ทันใดนั้นเขาพลันนึกถึงฉากหนึ่งในละครจีนโบราณที่เขาเคยดู นั่นทำให้เขาตะโกนถ้อยคำในความทรงจำออกมาราวกับตนเองเป็นพระเอกละคร “มีหลุมดำอยู่ข้างหน้า มันต้องเป็นรังโจรไม่ผิดแน่ ข้าจะไปที่นั่นและฆ่าพวกมันให้หมด!”