วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0078
บทที่ 26 การเดินทางสู่ท้องฟ้า (5)
* * *
เกล็ดส่องแสงวิบวับราวกับคมดาบที่ถูกขัดเงา
ปีกสองข้างละเอียดอ่อนจนน่าทึ่ง สัมผัสได้ถึงกลไกทางวิทยาศาสตร์อันซับซ้อน
หากเทพผู้ทรงปัญญาต้องการออกแบบสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด สิ่งนั้นคงเป็นมังกร
ช่างสูงส่งและงดงาม
ด้วยความสัตย์จริง ฉันอยากจะขอร้องให้เขาเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน
เพราะการได้เห็นมังกรตัวเป็นๆ ตรงหน้า ช่วยให้จินตนาการในวัยเด็กถูกเติมเต็มจนล้นปรี่
ฉันอยากจะเฝ้ามองใกล้ๆ ให้นานกว่านี้
“…”
「มัวทำอะไรอยู่? ปุถุชนคิดจะปล่อยให้นิรันดร์ชนรออีกนานแค่ไหน!? หัดมีมารยาทซะบ้าง!」
เสียงอันกึกก้องแฝงไปด้วยความอดใจไม่ไหว
ดวงตาของมังกรที่กำลังแหงนมองท้องฟ้า เปี่ยมไปด้วยแสงประหลาด อาจหมายถึงสิ่งที่ชาวต่างโลกชอบเรียกกันว่า ‘แสงอันเร่าร้อน’
ฉันจึงไม่มัวประวิงเวลา เพราะไม่อยากทำให้สายตาที่อยากโบยบินนั่นต้องผิดหวัง
“เดี๋ยวก่อน…”
จากนั้น ฉันตะโกนคุยกับเรลิกซิน่า ผู้กำลังรออยู่ด้านล่าง
“เรลิกซิน่า!”
คล้ายกับตื่นเต้นเมื่อสัมผัสถึงพลังงานของมังกร เรลิกซิน่ารีบวิ่งเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับแหงนหน้ามอง
“กลับไปเจอกันที่บ้านนะ!”
“…?”
“พวกเราจะขี่มังกรกลับ!”
“กรร…!”
“อย่าทำเสียงนี้!”
เรลิกซิน่าทำหน้าผิดหวัง แต่ฉันรู้ว่ามันคงไม่เป็นอะไร
สัมผัสได้ตั้งแต่ตอนที่เจอกันครั้งแรก อาจเพราะวิญญาณที่บรรจุลงไปคือเสือขาว นิสัยจึงค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์
เมื่อเห็นเรลิกซิน่าหันหลังกลับพลางส่ายหัว ฉันเผลออมยิ้ม
และเป็นอีกครั้งที่ฉุกคิดได้ว่า ชั้นล่างของปราสาทหลังนี้เต็มไปด้วยกองเงินกองทอง
จึงเดินกลับมาหากิโฮเต้และถาม
“สมบัติข้างล่างเป็นของท่านหรือ”
กิโฮเต้หันมาจ้องหน้า
「เจ้ารู้ไหมว่า ครั้งแรกที่พบกัน เหตุใดข้าถึงเปิดโอกาสให้เจ้าได้พูด」
“ท่านคงอยู่คนเดียวมานาน… ถ้าเป็นฉันก็คงเบื่อจนอยากคุยกับใครสักคนเหมือนกัน”
「เพราะเจ้าไม่ได้แตะต้องสมบัติ ข้าจึงสนใจ」
“…”
บางที นั่นอาจเป็นบททดสอบแรกสำหรับผู้มาเยือน
“ท่านลุง… ท่านเกือบพลาดโอกาสที่จะได้เป็นอิสระแล้วนะ”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือพวกเราเกือบตายแล้วต่างหาก!”
ลิลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้น สีหน้าคล้ายพยายามเก็บซ่อนความเครียด
นับตั้งแต่ได้พบกิโฮเต้ ลิลี่ทำตัวลีบเล็กอย่างบอกไม่ถูก
ตอนแรกคิดว่าเธอพยายามรักษาความสุขุม แต่ขณะใช้ผ้าคลุมปกป้องลิลี่จากคลื่นความร้อน ฉันได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง
ข้อเท็จจริงที่ว่า ร่างกายซึ่งเคยสุขุมแม้ในยามเผชิญหน้ากับปรสิต กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้า
ตอนนี้ก็เหมือนกัน ลิลี่พยายามซ่อนฝ่ามือที่กำลังสั่นระริก
เป็นความกลัวที่ปุถุชนมีต่อนิรันดร์ชน?
ฉันจ้องกิโฮเต้อีกครั้ง
“…ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นนะ แค่คิดว่าน่าทึ่งมาก”
「ต่อหน้านิรันดร์ชน เจ้าจะพึมพำกับตัวเองอีกนานแค่ไหน! คิดจะทดสอบความอดทนของข้าหรือไง!」
ข้อเท็จจริงที่ว่า นิรันดร์ชนยอมอดทน ไม่รีบบินขึ้นฟ้าเพื่อรอฉันขึ้นไปขี่ ทำเอาฉันปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก
แต่ในหลายครั้ง ความคิดและการกระทำไม่ควรสอดคล้องกัน หากฉันปล่อยให้เขารอนานกว่านี้ นั้นจะเป็นการเสียมารยาท
“ขึ้นไปนั่งได้เลยใช่ไหม”
「อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำสอง!」
กิโฮเต้โน้มตัวลง ฉันบรรจงจับเกล็ดเพื่อปีนขึ้น
สัมผัสแรกค่อนข้างประหม่า แต่หลังจากนั้นก็เต็มไปด้วยความกล้า
เกล็ดแข็งกว่าที่ฉันคิดไว้มาก
“ลิลี่”
ฉันเหยียดแขนลงไป ลิลี่จ้องหน้าฉันพร้อมกับพูด
“ท่านนิรันดร์ชนผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอเสียมารยาท”
มังกรไม่ตอบ เพียงมองตรง
「เป็นเกียรติอย่างยิ่ง」
“หามิได้ จะมีเกียรติยศใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้ขี่หลังมังกรอีก”
「ถูกต้อง พวกเจ้าอาจไม่ทราบ… แต่พวกเจ้าคือปุถุชนสองคนแรกที่ได้เห็นมังกรตัวเป็นๆ ในระยะใกล้ 」
ในเวลาเดียวกัน กิโฮเต้เริ่มกระพือปีก
เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเหนือคำบรรยาย สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมากำลังลอยขึ้นไปในอากาศ
เคยได้ยินจากในยูทูปหรือสักที่บอกไว้ว่า นี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่อย่าได้ลืม ต่างโลกคือสถานที่ที่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉันชอบแบบนี้นะ
“อึก…”
ลิลี่หลุดครางในลำคอ
เธอกำลังหลับตาสนิท ก้มหน้าลงและจับชายเสื้อของฉัน
“กลัวหรือ”
“ข้าไม่เคยบินบนท้องฟ้ามาก่อน แวมไพร์ไม่ใช่นกสักหน่อย”
นี่คืออีกหนึ่งประเด็นที่ชาวต่างโลกไม่เหมือนกับชาวโลก
ฉันเคยขึ้นเครื่องบินหลายครั้ง จึงคุ้นชินกับการบินบนท้องฟ้า
แต่ดูเหมือนลิลี่จะไม่ใช่
พอมาลองคิดดูแล้ว ก็คงไม่แปลกอะไร
สำหรับโลกใบนี้ การบินบนท้องฟ้าคงยังเป็นแค่ความฝัน
ลิลี่กับฉันจึงเห็นคนละมุมมอง
「จับแน่นๆ 」
ฉันค่อนข้างไม่ใส่ใจกับคำพูดทำนองนี้
เพราะได้ยินบ่อยจนน่าเบื่อ
ฟ้าว!
จนกระทั่งมังกรยักษ์พุ่งผ่านเพดานปราสาทขึ้นไปเหมือนจรวด
ถ้าไม่ใช่เพราะฉันรีบจับเกล็ดทันทีหลังจากกอดลิลี่ด้วยมือขวา พวกเราคงตกไปข้างล่างแล้ว
โชคดีที่ความเร่งจบลงภายในเวลาอันสั้น ระบบไหลเวียนเลือดจึงกลับมาทำงานได้ทันเวลา อย่างมากก็แค่ตาพร่าเล็กน้อย
“…ท่านลุง”
กิโฮเต้ไม่ตอบ
ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังยิ้ม
“ท่านลุง ฉันขอโทษที่เคยเสียมารยาท”
「ความอวดดีของเจ้าในวันนี้… จำเป็นต้องถูกลงโทษให้สำนึก」
“แต่ช่วยเบาๆ หน่อยได้ไหม ร่างกายพวกเราไม่ได้ทนทานเหมือนกับท่าน”
「เจ้าคิดว่าคนอย่างข้า จะบินลงไปรับปุถุชนที่พลัดตกจากหลังไม่ทัน? 」
นั่นก็ใช่อยู่ แต่ว่า…
「ในขณะที่ชีวิตยังหวาดกลัวกับเรื่องเล็กๆ … จงดื่มด่ำไปกับเกียรติยศที่กำลังได้รับเสียเถิด」
หลังจากเริ่มตั้งตัวได้ ฉันค่อยๆ ลืมตา
โลกที่เคยมีแต่แสงสว่างสีขาวโพลน ทยอยถูกเติมสีสันทีละนิด
ลิลี่เองก็ค่อยๆ ลืมตา
และเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่ปากก็อ้ากว้าง
“นี่มัน…”
ฉันมองไปข้างหน้า
ใต้ฝ่าเท้าพวกเราคือเกาะท้องฟ้า
ด้านหน้าเป็นกลุ่มเมฆที่บดบังเส้นขอบฟ้า
สายลมเย็นยะเยียบยิ่งกว่าลมเหนือพัดผ่าน บางครั้งก็แทบจะทำให้ตัวแข็ง แต่ฉันไม่สนใจ
“…สุดยอด!”
ใต้เกาะท้องฟ้าเป็นภูเขาหิมะ
แนวเทือกเขาทอดตัวไปทางทิศเหนือ เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่า ภูมิประเทศทางเหนือขึ้นไปจะมีลักษณะเป็นภูเขา
มองเข้าไปในถ้ำ ฉันเห็นหินงอกหินย้อยจำนวนมาก เดาได้ไม่ยากว่าภูเขาทุกลูกล้วนแก่ชรา
เมื่อมองลงไปด้วยความสูงระดับนี้ แนวสันเขาก็ไม่ต่างอะไรกับลายนิ้วมือที่พิมพ์ลงบนโคลน
และยังเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ตระหนัก
หากก้มมองภูเขาหิมะจากจุดที่สูงมากๆ ทิวทัศน์ที่เห็นจะไม่ใช่แค่หิมะขาวโพลน แต่ยังรวมถึงแสงระยิบระยับที่สะท้อนจากดวงอาทิตย์
“…”
กิโฮเต้เอาแต่ปิดปากเงียบ แต่ฉันพอเดาได้ ในใจคงกำลังพูดว่า ‘เห็นไหมล่ะ! นี่คือทิวทัศน์ที่มีเพียงนิรันดร์ชนเท่านั้นจะได้เห็น!’
「ข้าเคยคิดว่า ตัวเองคงไม่มีวันลืมอิสรภาพ แต่ดูเหมือนจะเข้าใจผิด」
ตลอดช่วงเวลาที่กิโฮเต้เฝ้าประตูด้วยความอดทน
หนึ่งพันปีอาจเป็นตัวเลขที่น้อยเกินไป อาจมากถึงหนึ่งหมื่นปี หรือไม่ก็หลายหมื่นปี
กิโฮเต้มักพูดเสมอว่า บ้านเกิดในใจของมังกรคือท้องฟ้า
หากยอมผิดคำสัญญาและกระพือปีกโบยบินอยู่เป็นระยะ ปีกของกิโฮเต้คงไม่เสื่อมสภาพ
แต่กิโฮเต้ก็ไม่ได้ทำ เอาแต่เฝ้าประตูโดยไม่ไปไหน
แม้ระฆังร็อค เบลล่าจะดังขึ้นหลายครั้ง แต่มันก็ยังไม่ลืมคำสัญญาของเพื่อนเก่า
ถึงจะไม่ได้พูดออกไป แต่นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ฉันยกลูกแก้ววิเศษให้กิโฮเต้
ผู้ที่ศรัทธาในความเชื่อจนถึงที่สุด สมควรได้รับรางวัลตอบแทน
ฉันชอบเรื่องราวแบบนั้นมากกว่า
“ท่านลุงพยายามได้ดีมาก”
「…ไอ้เด็กเวรนี่! ต้องให้ข้าเผาปากหรือไงถึงจะหยุดเสียมารยาท! 」
กิโฮเต้ตะโกนกึกก้อง
แต่สายตายังคงจ่อจดอยู่ที่เส้นขอบฟ้า
เขากำลังดื่มด่ำไปกับอิสรภาพ ฉันชอบภาพแบบนี้
มองสำรวจไปรอบๆ สักพัก
จากนั้น ฉันสบตากับลิลี่
“…”
ดวงตาลิลี่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
“ลิลี่”
“…หือ”
“รู้สึกยังไงบ้าง”
“ทิวทัศน์แบบนี้… ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสได้เห็น”
“วิเศษไปเลยใช่ไหมที่ได้ขี่หลังมังกร?”
ลิลี่ไม่ตอบ
แต่สัมผัสได้ว่าเธอพยักหน้าเล็กน้อย
ฉันหันหลังกลับไปมอง
และได้เห็นภาพแปลกๆ
“…หือ?”
เกาะท้องฟ้าไม่มีกำแพงกั้นรอบเกาะ
กล่าวคือ ใครก็ตามสามารถกระโดดลงมาได้เลยหากต้องการ แต่คงไม่มีคนโง่หรือบ้าบิ่นขนาดนั้น
ทว่า
“เรลิกซิน่า…?”
“เจ้าเอะอะอะไร… หือ?”
ลิลี่มองตามฉันก่อนจะส่งเสียงอุทาน
เรลิกซิน่ากำลังวิ่งออกจากปราสาทและตรงมาทางพวกเรา
จากนั้นก็กระโดด
“ฮ…เฮ้ย!”
หมอนั่นน้อยใจฉัน? แต่การประชดด้วยวิธีนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ?
ขณะคิดเช่นนั้น
ทันทีที่กีบเท้าเรลิกซิน่าย่ำลงบนสันเขาหิมะอย่างนุ่มนวล ละอองหิมะฟุ้งกระจายไปทุกทิศ คล้ายกับฉากการร่อนลงของนักกีฬาสกี
จากนั้น ม้าสีดำกระโดดลงจากริมผาหิน เพียงไม่นานก็ไต่ลงมายังเชิงเขาและเริ่มตะกุยเท้าสุดกำลัง
เร็วขึ้น และเร็วขึ้น
เป็นความเร็วอันน่าทึ่งชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เจ้าม้านั่น… วิ่งได้เร็วขนาดนี้เชียว?”
เปลวไฟจากแผงคอและกีบเท้ากำลังปลิวไสวไปด้านหลัง เกิดเป็นภาพคล้ายกับหางของดาวตก
ในตอนที่ฉันขี่ มันไม่เคยเร็วขนาดนี้
ไม่สิ มันคงกลัวว่าร่างกายของฉันกับลิลี่จะรับภาระไม่ไหว
เรลิกซิน่าเป็นห่วงพวกเรามาตลอด
ปัจจุบัน ม้าสีดำกำลังวิ่งด้วยความเร็วในระดับทัดเทียมมังกรบิน
ประหนึ่งต้องการจะแข่งกับกิโฮเต้ หรือนี่คือสัญชาตญาณของม้า?
「อวดดีนักนะ ข้าจะสอนให้รู้เองว่าความเร็วคืออะไร!」
“…ลิลี่”
“อื้อ”
ลิลี่เดาได้ตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะบอก
พวกเราจับกิโฮเต้แนบแน่น ไม่ว่ายังไงก็ห้ามตกลงไปเด็ดขาด
* * *
“เธอคงลำบากแย่”
จินซอยอนทักทายซอจีอาที่กำลังนอนบนเก้าอี้
“…ทำไมเจ้าถึงแวะมาบ่อยนัก”
“เห็นเธอได้นอนที่นี่ฟรีๆ แล้วมันอิจฉา”
ซอจีอาถอดเฮดโฟนออก พลางดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาวที่คังซอนฮูชอบใช้นอน
“หือ… ไม่คิดจะซ่อนหูนั่นแล้ว?”
“ข้าไม่มีความจำเป็นต้องทำตามกฎของพวกเจ้า”
ชาโซฮีหันมามองด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
“อาหย่อย!”
“กินเสร็จแล้วค่อยพูด”
“อึก!”
ชาโซฮีที่พูดอู้อี้ขณะกินขนมปังเอลฟ์ฝีมือซอจีอา รีบกลืนอาหารลงท้องพร้อมกับใช้มือทุบอก ก่อนจะรีบดื่มน้ำตาม
“ฟู่ว… อร่อยมาก! รสชาติดีจริงๆ”
“…ได้ยินแบบนี้ค่อยชื่นใจ แต่เพื่อนของเจ้าบอกว่ามันไม่อร่อย”
“ซอนฮูน่ะหรือ? หมอนั่นเรื่องมากจะตาย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่จับกิ้งก่าในป่ากินได้ ถึงเรื่องมากเวลาคนอื่นทำอาหารให้กิน”
“ฮะฮะ!”
จินซอยอนยืนมองบทสนทนาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“คุณซอนฮูออกเดินทางไปเดือนกว่าแล้วสินะ”
ซอจีอาพยักหน้า
จากนั้นก็ขมวดคิ้วพลางแหงนมองท้องฟ้า
“คงอีกนานกว่าจะกลับ ถ้าดูจากแผนที่ ต้องขี่ม้านานกว่าสามเดือนเลย”
“ปลายทางคือเกาะท้องฟ้าเชียวนะ จะแค่สามเดือนจริงหรือ”
ชาโซฮีชี้ไปยังจุดสีดำๆ บนเส้นขอบฟ้า
“ฉันรู้จักเขาดี ถ้าได้ตั้งเป้าแล้วล่ะก็ เขาจะไม่กลับจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย… เคยมีครั้งหนึ่งเขาเดินทางไปลาตินอเมริกาเป็นครั้งแรก สุดท้ายก็หมกตัวอยู่ที่นั่นนานครึ่งปี ได้ยินว่าติดปัญหาเกี่ยวกับวีซ่า เขาไม่ได้ติดต่อกลับมาเลยสักครั้ง”
ซอจีอาครุ่นคิด
ถ้าคังซอนฮูเดินทางไปยังเกาะท้องฟ้าจริง จะใช้เวลาแค่สามเดือนเองหรือ
การหาวิธีขึ้นอาจใช้เวลานาน และในมุมมองของซอจีอา นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ดังนั้น การเดินทางคราวนี้อาจกินเวลานานกว่าครึ่งปี หรือนานกว่าหนึ่งปี
“…เดี๋ยวนะ”
ขณะซอจีอาครุ่นคิด เธอได้ยินเสียงแปลกๆ ของบางสิ่งกำลังแหวกอากาศ
เป็นเสียงที่แปลกหูและโดดเด่น
“…พวกเจ้าไม่ได้ยินกันหรือ”
“ได้ยินอะไร? ฉันไม่ใช่เอลฟ์สักหน่อย”
จินซอยอนที่เกิดความสนใจ เดินเข้ามาใกล้ซอจีอาและมองไปยังทิศทางเดียวกับสายตาอีกฝ่าย
“…ไม่ได้ยินอะไรเลย”
“ข้าไม่ได้หูฝาด… ตรงนั้น มีบางสิ่งกำลังบินมา”
ซอจีอาขมวดคิ้ว ส่วนจินซอยอนตัดสินใจควักกล้องส่องทางไกลขนาดพกพาออกมา
เป็นกล้องของหน่วยข่าวกรองที่จองจีฮุนนำมาให้
ขณะกำลังส่องหาสิ่งที่ซอจีอากำลังพูดถึง
ฟ้าว!
ทุกคนหันไปมองในทิศทางเดียวกัน
บางสิ่งพุ่งทะลุเมฆจนเกิดรูโหว่ และไม่ใช่แค่นั้น ปุยเมฆบางส่วนเกาะติดหางของสิ่งนั้นมาด้วย
เมื่อเห็นเต็มสองตา เดาได้ไม่ยากว่าสิ่งนั้นคืออะไร
“…นะ…นะ…นั่นมัน!”
ชิ้ง!
ซอจีอาชักมีดออกมาถือ เป็นพฤติกรรมตามสัญชาตญาณ
ความหวาดกลัวที่มีต่อนิรันดร์ชน ถูกสลักไว้ในวิญญาณของเหล่าปุถุชน
ซอจีอากำมีดด้วยฝ่ามือที่สั่นเทา
ความกลัวจากก้นบึ้งกำลังครอบงำจิตใจซอจีอา และทางจินซอยอนกับชาโซฮีก็ไม่ต่างกันนัก
“…นั่นมันอะไร?”
จองจีฮุนที่เพิ่งวิ่งมาถึง ตั้งคำถามกับสามสาว
สิ่งนั้นกำลังพุ่งมาทางกระท่อมด้วยความเร็วสูง — สูงเกินไป
จนกระทั่ง
“มังกร…”
มังกรตัวเป็นๆ
เผ่าพันธุ์นิรันดร์ที่สาบสูญไปตั้งแต่โบราณกาล ยามนี้กำลังปรากฏตัวใกล้กับเบสแคมป์
“ทำไมมังกรถึงได้…”
ซอจีอาคิดอะไรไม่ออก
เรื่องเดียวในหัวตอนนี้ก็คือ มังกรกำลังบินมาจากทิศที่คังซอนฮูมุ่งหน้าไป
“จ..จ…จ…จีฮุน! ทางอากาศ! ส่งสัญญาณเตือนการโจมตีทางอากาศ!”
“ความเสี่ยงระดับสูงสุด… ผมจะส่งสัญญาณฉุกเฉินไปที่ห้องควบคุม พวกคุณทุกคนรีบเข้าไปหลบในเบสแคมป์!”
ไม่มีทางอพยพได้ทัน
มังกรที่กำลังบินด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง อยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตร
ร่างกายสีส่องแสงสีแดง รอบปากเต็มไปด้วยประกายไฟ
ปีกที่ยาวกว่าเบสแคมป์กำลังส่องแสงเจือจาง เป็นความน่าสะพรึงที่ไม่เคยมีใครพบเจอมาก่อน
มังกรกำลังก้มมองมาทางกระท่อม
ด้วยดวงตาที่แค่จ้องเข้าไปก็แทบจะหมดสติ
ซอจีอากำมีดในมือแน่น ถึงจะเป็นพฤติกรรมที่ไร้ประโยชน์ แต่สัญชาตญาณก็สั่งให้เธอทำ
มังกรเปิดปากออก
คล้ายกับเตรียมพูดบางสิ่ง
ไม่ว่าคำนั้นจะเป็นอะไร ขอให้อีกฝ่ายเล็งเห็นถึงคุณค่าของชีวิตพวกตนก็พอ
ซอจีอาไม่พยายามทำความเข้าใจอะไรเลย
เพียงสวดวิงวอนขอร้องซ้ำๆ
ทันใดนั้น
「…เป็นยังไงบ้างล่ะ! แผงคออันโอหังนั่นหายไปไหนแล้ว? กล้าดียังไงถึงมาแข่งความเร็วกับข้า!」
“…?”
「ไอ้ม้าเวร! เป็นแค่พาหนะของปุถุชน ริอ่านเทียบชั้นกับผู้ปกครองแห่งท้องฟ้า! พึงสำนึกไว้เถิด ว่าข้าคนนี้ใจกว้างพอที่จะให้อภัยพฤติกรรมอันหยาบคายของเจ้า!」
มังกรมองไปข้างหลังพลางส่งเสียงล้งเล้ง
และ
“…ท่านลุง กลับมาฟิตเหมือนหนุ่มๆ แล้วสินะ”
「หา? เจ้าก็กำลังดูถูกข้าอีกคน? 」
“การชมว่าหนุ่มไม่ใช่คำดูถูกสักหน่อย”
เป็นเสียงที่คุ้นเคย
เสียงนั้นมาจากแผ่นหลังขนาดมหึมาของมังกร ซึ่งมองไม่เห็นจากมุมของสามสาว
“…เขาไปทำอะไรมาอีกแล้ว”
เมื่อเห็นคังซอนฮูกระโดดลงจากหลังมังกร ในหัวซอจีอามีแต่คำถาม
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (3/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel