833 - โลงศพโบราณอีกแห่ง
833 - โลงศพโบราณอีกแห่ง
“ศพประหลาดนี่มันอะไรกัน”
“พวกเขาเคยเป็นยอดฝีมือที่บุกเข้ามาในยุคหลังไม่ใช่คนสมัยโบราณที่ตายที่นี่!”
“ถ้ามองดูดีๆ จะเห็นว่าโซ่เหล็กนี้มีความพิเศษมาก วัสดุที่ใช้สร้างมันมีชื่อว่าเหล็กบังสุกุลเป็นสมบัติหายากชนิดหนึ่ง มันจะดึงดูดซากศพเข้าหาตัวเองเพื่อใช้พลังชั่วร้ายภายในซากศพหล่อเลี้ยงไม่ให้ผลกระทบจากห้วงเวลาทำอะไรมันได้”
“ศพเหล่านี้จะต้องมีความแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ ไม่อย่างนั้นร่างกายของพวกเขาจะไม่คงอยู่มานานหลายปีขนาดนี้อย่างแน่นอน!”
“แล้วเราจะข้ามไปที่นั่นได้อย่างไร?” เย่ฟ่านถาม
“ลองค้นหาก่อน” ชายชราตาบอดเป็นคนที่เดินนำออกไปด้านหน้า
…
หลังจากเดินเลียบฝั่งของแม่น้ำยมโลกเป็นเวลากว่าครึ่งวันในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นเรือที่ทำจากกระดูกสีขาวจอดเทียบท่าอย่างสงบ
นั่นคือพาหนะสำหรับใช้ข้ามฟากอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ขอเพียงไม่ใช่คนปัญญาอ่อนก็จะรู้ได้อย่างง่ายดายว่าเรือลำนี้ไม่ใช่วัตถุมงคลแน่นอน และการกระโดดขึ้นไปอย่างประมาทอาจทำให้พวกเขาประสบภัยพิบัติโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ข้าไม่ขึ้นไปบนเรือลำนั้นเด็ดขาด” ตงฟางเย่ปฏิเสธอย่างหนักแน่น
“ขึ้นเรือ เรามีตะเกียงน้ำมันของปราชญ์โบราณอยู่ ไม่มีทางที่วิญญาณชั่วร้ายจะมายุ่งเกี่ยวกับเราได้” ชายชราตาบอดหว่านล้อมและเดินนำหน้าอีกครั้ง
ทั้งสี่คนมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะติดตามชายชราขึ้นเรือกระดูก หลังจากที่เย่ฟ่านก้าวขึ้นเรือเป็นคนสุดท้ายเรือลำนั้นก็เคลื่อนไปในทิศทางของอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว
ระหว่างนี้ตะเกียงโบราณในมือของต้วนเต๋อฉายแสงอันเงียบสงบและเรือกระดูกก็สว่างไสวขึ้นอย่างลึกลับ
“ว้าว”
ทันทีที่แสงส่องสว่างไปทั่วแม่น้ำสำดำที่เคยเงียบสงบก็เกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่อยู่กลางกระแสน้ำ หลังจากนั้นไม่นานครีบหลังขนาดมหึมาของสัตว์ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเรือก็ปรากฏขึ้น
“มันสามารถอยู่รอดในแม่น้ำหยินได้ นี่คืออสูรชนิดใดกันแน่!”
เย่ฟ่านและตงฟางเย่ประหลาดใจ ร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าใกล้สิ่งมีชีวิตตัวนี้อย่างแน่นอน
“เร็วเข้า ข้าคิดว่าไอ้แก่สาระเลวเหล่านั้นจะตามพวกเรามาอย่างรวดเร็ว เราต้องคว้าคัมภีร์โบราณและสมบัติของเทพให้ได้ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง!”
แม้ว่าพวกเขาต้องการเร่งความเร็ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถกระตุ้นให้อสูรตอนนั้นลอยข้ามฝั่งด้วยความเร็วมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่ลอยคออยู่กลางแม่น้ำใหญ่จิตใจของทุกคนก็เต้นระทึกด้วยความกลัว ร่างกายของพวกเขาได้รับความกดดันอย่างหนักแม้แต่จะหายใจก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก
“จะมีคัมภีร์และอาวุธวิเศษอยู่ที่นี่หรือไม่!”
พวกเขารู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว ในตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงอุปทานหมู่ แต่หลังจากเรือแล่นไปได้ครึ่งทางความกดดันนั้นก็ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเจ้ามองดูดินแดนเซียนตรงนั้น!”
หลังจากเรือแล่นไปอีกเล็กน้อยในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นฝั่งที่อยู่ตรงข้าม มันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์
ด้านหน้ามีเมฆที่ไหลล้นไปด้วยปราณ ซึ่งเป็นโลกกว้างใหญ่ มีมังกรหลายหมื่นตัวที่บินโฉบเฉี่ยวไปมา ประกายแสงอันไร้ที่สิ้นสุดยังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่นั่น
ตรงกลางภูเขาที่ค่อนข้างสูงใหญ่มีแท่นบูชาโบราณวางอยู่ แม้จะอยู่ไหนระยะไกลก็ยังสามารถมองเห็นได้ว่ามันถูกสร้างด้วยหยกห้าสีทั้งหมด
แท่นนี้มีความสูงกว่าหนึ่งหมื่นจั้ง มีบันใดทอดยาวขึ้นไปสู่ยอด จากทุกทิศทางในลักษณะที่คล้ายกับพีระมิด
“มันสูงกว่าหมื่นจั้ง แน่นอนว่าการที่มันถูกสร้างขึ้นที่นี่ย่อมมีความสำคัญบางอย่าง!”
แท่นหยกสูงหนึ่งหมื่นจั้งนั้นงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ถูกโอบล้อมไปด้วยปราณเซียน และมังกรขนาดใหญ่หลายหมื่นตัวที่บินเวียนวนอยู่รอบๆแท่น ก็ทำให้ดินแดนนี้เกิดความศักดิ์สิทธิ์อย่างถึงที่สุด
“ในที่สุดเราก็ก็มาถึงสุสานเซียนแล้ว เจ้าเห็นไหมมีโลงศพอยู่บนนั้น ร่างกายของเทพผู้ร่วงหล่นน่าจะอยู่ข้างในด้วย!”
พลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาถูกผนึกไว้เกือบหมด แต่สัมผัสทางจิตวิญญาณของพวกเขายังคงอยู่ โลงศพโบราณวางอยู่บนแท่นหยกสูงหมื่นจั้งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ถ้าเราสามารถเปิดโลงศพโบราณได้ เราจะเป็นคนแรกที่ได้เห็นเทพที่แท้จริง!”
แท่นหยกที่มีความสูงหมื่นจั้ง บันใดแต่ละขั้นมีมังกรบินไปมาและนกเฟิ่งหวงก็โผบินท่ามกลางความโกลาหล แม้ทุกคนจะรู้ว่าภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ของจริง แต่พวกเขาก็ยังคงตกตะลึงในความงดงามของมัน
มังกรที่แท้จริงและเฟิ่งหวงศักดิ์สิทธิ์นั้นเหมือนจริงมาก มีพวกมันอยู่ที่นี่หลายหมื่นตัว พวกมันถูกสร้างขึ้นจากปราณเซียนและได้รับความเปลี่ยนแปลงจากพลังลึกลับของแท่นหยกห้าสี
บนแท่นหยกห้าสีมีความกดดันที่น่ากลัวไม่รู้จบ ราวกับเดินฝ่ากระแสน้ำอันยิ่งใหญ่ ร่างกายของทุกคนได้รับความกดดันอย่างหนักราวกับกำลังจะพังทลายลงได้ตลอดเวลา
“นี่… เป็นแค่ศพจริงหรือ? ทำไมถึงมีพลังที่น่ากลัวขนาดนี้?”
คราวนี้พวกเขามาถึงแท่นหยกห้าสีซึ่งอยู่ไม่ไกลและที่นั่นไม่มีทางไปต่อ
ถึงตอนนี้เย่ฟ่านและตงฟางเย่ก็สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งคู่มีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ต่อให้ไม่มีพลังปราณความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ลดลงเท่าไหร่
โลงศพโบราณไม่ได้ตั้งอยู่บนแท่นลึกลับแต่มันลอยอยู่กลางอากาศอย่างสงบ เมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ของทุกคนไม่สามารถใช้งานได้พวกเขาจึงทำได้เพียงมองโลงศพจากข้างล่างเท่านั้น
“จบแล้ว เราทำได้แค่หยุดที่นี่ เราไปต่อไม่ได้แล้ว หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อ?” ตงฟางเย่กล่าว
โลงศพอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางบินขึ้นไปด้านบนได้อย่างแน่นอน
“ปลาที่หลุดจากร่างแหก็มาถึงที่นี่เช่นกัน?”
ในขณะนั้นเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้น ใบหน้าของเขายิ้มแย้มพร้อมกับเอามือไขว้ไปทางด้านหลัง
“เจ้ากำลังกล่าวถึงใคร?” ตงฟางเย่เลียริมฝีปากและเผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้า
“อย่าหุนหันพลันแล่น เจ้าเด็กนี่อาจเป็นครึ่งเซียนก็ได้” ชายชราตาบอดหยุดเขา
“ก็แค่ขยะ” ชายหนุ่มเหลือบมองทุกคนด้วยความดูถูก
เย่ฟ่านและคนอื่นๆ รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ คนคนนี้แม้ว่าจะมีรูปร่างเหมือนเด็กหนุ่ม แต่การที่เขาสามารถมาที่นี่ได้อย่างน้อยเขาก็ต้องเป็นครึ่งก้าวผู้สูงสุด
แต่เย่ฟ่านก็ไม่มั่นใจในเรื่องนี้นัก เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ของทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างถูกปิดกั้น มันยากที่เขาจะมองออกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรใดกันแน่
“ท่านลุง”
ในขณะนี้มีเสียงของใครบางคนดังขึ้น เขาเป็นชายวัยกลางคนที่กำลังเดินเข้ามาที่นี่อย่างยากลำบาก เห็นได้ชัดว่าทุกย่างก้าวของเขาตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนัก
เย่ฟ่านตะโกนในใจว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตระกูลเซียวก็มาถึงที่นี่เช่นกัน
“เย่เจ๋อเทียน”
ชายวัยกลางคนจากตระกูลเซียวชำเลืองมองเย่ฟาน ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด
“เขาเป็นคนฆ่าหมิงหยวนหรือ?”
ชายหนุ่มคนนั้นเหลือบมองเย่ฟ่านอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า
“เจ้าจะฆ่าตัวตาย หรือรอให้ข้าเป็นคนสังหารเจ้า?”
เย่ฟ่านแค่นเสียงเบาๆ และถอยกลับเข้าหาบริเวณที่ตั้งของโลงศพ ณ ที่แห่งนั้นจะมีแรงกดดันมหาศาล เมื่อเขามาถึงที่นี่พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดยิ่งถูกจำกัดมากยิ่งขึ้น
“ข้าจะรอดูว่าเจ้ากำลังจะหนีไปที่ใด”
ชายวัยกลางคนจากตระกูลเซียวเดินเข้าไปหาเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจราวกับแมวที่กำลังเล่นกับหนู
ชายหนุ่มคนนั้นมีนามว่าเซียวอวิ๋นเฉิง เขาดูเด็กมากแต่นี่ไม่ใช่อายุที่แท้จริงของเขา เขาเอามือไพล่หลังอย่างเย่อหยิ่ง ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
“คุกเข่าลงซะ ข้าจะเมตตาให้เจ้าตายโดยที่ซากศพยังครบถ้วน”
ชายวัยกลางคนจากตระกูลเซียวก้าวไปข้างหน้า ถือเตาทองแดงในมือแล้วผลักออกไปอย่างแรง
ในขณะนี้เย่ฟ่านไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อย เขาประสานอินในมืออย่างรวดเร็วก่อนจะผลักผนึกภูเขาออกไปปะทะกับฝ่ายตรงข้าม
ชายวัยกลางคนจากตระกูลเซียวเห็นเช่นนั้นก็มีรอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่มุมปาก เขาเป็นครึ่งก้าวผู้สูงสุด ผู้ฝึกตนในดินแดนลึกลับแห่งอาณาจักรแปลงมังกรครั้งที่เก้าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร
แต่หลังจากนั้นเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่ราบรื่น เขาไม่สามารถปลดล่อยพลังของอาวุธได้อย่างเต็มที่และใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุด
“เคร้ง”
เมื่ออยู่หน้าลานหยกพลังจิตวิญญาณและพลังปราณของทุกคนถูกปิดกั้นไม่สามารถใช้งานได้ แต่ร่างกายของเย่ฟ่านนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าครึ่งเซียน หากผู้ใดคิดจะปะทะกับเขาตรงๆย่อมเป็นความคิดที่ปัญญาอ่อนอย่างยิ่ง
ผนึกขุนเขาในมือของเย่ฟานแม้จะไม่สามารถเรียกภาพธรรมของยอดเขาขนาดใหญ่ให้ตกลงมาเหมือนเช่นปกติ แต่เพียงกำปั้นของเขาย่อมสามารถบดขยี้เตาทองแดงที่ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย
“ถอยออกไป”
เซียวอวิ๋นเฉิงตะโกนเสียงดังและพุ่งไปข้างหน้า แม้ว่าที่นี่จะปิดกั้นพลังปราณอย่างรุนแรง แต่ด้วยความแข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ของเขาย่อมมีความสามารถในการกระตุ้นพลังลึกลับได้ระดับหนึ่ง
เย่ฟ่านยิ้มเยาะและมือซ้ายของเขาก็ยังคงประสานอินเพื่อเรียกผนึกขุนเขาต่อไป
ชายวัยกลางคนจากตระกูลเซียวตะโกนและพยายามถอยหนี แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีที่รุนแรงได้
“เดี๋ยวก่อน”
“ปัง!”
เขากรีดร้องด้วยความสิ้นหวังมือของเขาก็ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียด ส่งผลให้หมอกเลือดสาดกระจายไปทุกทิศทาง
แต่ในขณะนั้นการโจมตีของเซียวอวิ๋นเฉิงก็มาถึงเช่นกัน และเขาปัดป้องท่าสังหารของเย่ฟ่านได้อย่างเด็ดขาด
“ปัง!”
เย่ฟ่านก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ สุดท้ายชายวัยกลางคนจากตระกูลเซียวก็ถูกช่วยชีวิตไปอย่างเฉียดฉิว