ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 54 ติดเกราะ
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 54 ติดเกราะ
แปลโดย iPAT
ซ่งเซียงอู๋คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นและอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ด้านบนของโรงเตี้ยม ร่างใหญ่ยืนอยู่ที่นั่นพร้อมสายธนูที่ยังสั่นอยู่ มันไม่ใหญ่เท่าธนูแยกหินแต่มันก็เป็นธนูเหล็กที่หายาก
“ฮวงปิงหู!”
ฮวงปิงหูกล่าว “เจ้าป้อมซ่ง ลูกธนูดอกนั้นเป็นเพียงคำทักทาย ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้ว่าเมื่อใดควรถอย มิฉะนั้นอย่าโทษว่าธนูของข้าไร้เมตตา!”
ร่างกายของซ่งเซียงหูปกคลุมไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบ เขารู้สึกประหลาดใจ ฮวงปิงหูไม่ได้โอ้อวด หากฮวงปิงหูยิงลูกธนูดอกนั้นออกมาด้วยพลังทั้งหมดโดยหวังที่จะสังหารในครั้งเดียว มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะตายกลางอากาศไป ณ จุดนั้น หลังจากทั้งหมดนักธนูที่ซ่อนตัวอยู่มีความได้เปรียบที่น่ากลัวเกินไป
หยางอันจื่อเปิดปากเย้ยหยัน “เจ้าต้องการปกป้องเด็กนั่นจริงๆงั้นหรือ?”
ฮวงปิงหูกล่าว “เป็นความจริงที่หลี่ฉิงซานพบโสมจิตวิญญาณ แต่เขามอบมันให้ข้าแล้ว นั่นทำให้โรคเรื้อรังที่รบกวนข้ามาตลอดหลายปีได้รับการแก้ไข ผู้นำนิกายหยาง ท่านมาหาผิดคนแล้ว”
ด้านหลังฮวงปิงหูยังมีนักล่าอีกหลายสิบคนที่ง้างสายธนูรอไว้แล้ว
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งเมืองชิงหยางมารวมตัวกันเพราะหลี่ฉิงซานเพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะมาช่วยเขาหรือต่อต้านเขาก็ตาม
ศิษย์สำนักกำปั้นเหล็กต่างตกตะลึง ขณะที่ประชาชนในบริเวณใกล้เคียงก็รวบรวมความกล้าแง้มประตูหน้าต่างเพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์ที่หาชมได้ยากอยู่อย่างเงียบๆ
คบเพลิงเต้นรำอยู่ท่ามกลางลมหนาวและทำให้ใบหน้าของหยางอันจื่อ ซ่งเซียงอู๋ หลิวหง ฮวงปิงหู และหลี่ฉิงซานสั่นไหว อย่างไรก็ตามพวกเขาราวกับถูกแช่แข็ง ไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหวในเวลานี้ ทุกคนมีความคิดเป็นของตนเอง หลังจากทั้งหมดพวกเขามีความเชื่อมต่อกันในหลายแง่มุม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้ากระทำการโดยประมาท
ทันใดนั้นหลี่ฉิงซานก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทำลายความเงียบ “เจ้าป้อมซ่ง นี่เป็นโอกาสเดียวของเจ้า เหตุใดไม่รีบเข้ามาฆ่าข้า? เมื่อข้าปลิดชีวิตเจ้าที่นี่ ฝูงลิงของเจ้ายังมีโอกาสหลบหนี หากเจ้าพลาดโอกาสในวันนี้ ข้าจะไปเคาะประตูบ้านของเจ้าในอนาคต เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเจ้าจะถูกถอนรากถอนโคนอย่างสมบูรณ์ จะไม่มีผู้ใดหลงเหลือแม้แต่คนเดียว!”
‘หยิ่ง!’ คำนี้ผุดขึ้นในใจของทุกคนพร้อมกัน
ป้อมวายุทมิฬเป็นโรงระบาดเรื้อรังอยู่ในพื้นที่รอบๆเมืองชิงหยางมานานหลายปีเว้นเพียงหมู่บ้านบังเหียนม้า นิกายถ้ำมังกรและสำนักกำปั้นเหล็กต้องการทำลายป้อมวายุทมิฬเช่นกัน แต่หยางอันจื่อและหลิวหงตระหนักว่าพวกเขาต้องร่วมมือกันเท่านั้นจึงจะทำภารกิจนี้ได้สำเร็จและมันก็มีราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก
ทว่าตอนนี้หลี่ฉิงซานบอกว่าเขาจะทำลายล้างป้อมวายุทมิฬด้วยตัวเขาเพียงผู้เดียว แม้หยางอันจื่อและหลิวหงจะให้การประเมินหลี่ฉิงซานค่อนข้างสูง แต่พวกเขายังรู้สึกว่าเด็กหนุ่มหยิ่งผยองมากเกินไป
ซ่งเซียงอู๋โกรธมาก นั่นทำให้เขาดูเหมือนหมีดำมากขึ้นเรื่อยๆ “แล้วข้าจะรอเจ้า หากเจ้าไม่มา ข้าจะไม่ปล่อยให้คนหมู่บ้านกระทิงหมอบเหลือรอดแม้แต่คนเดียว!” เขาโยนคำขู่ที่ชั่วร้ายออกไป “หากผู้ใดช่วยเหลือเจ้า ข้าจะสังหารครอบครัวของพวกมันทั้งหมด!” หลังจากนั้นเขาก็รีบนำลูกน้องของเขาจากไป ศิษย์สำนักกำปั้นเหล็กเปิดเส้นทางให้พวกเขาโดยอัตโนมัติ โจรกลุ่มนี้ปฏิบัติตัวราวกับคนเมืองชิงหยางทั้งหมดไร้ตัวตน พวกเขาสามารถทำสิ่งผิดกฎหมายใดๆก็ได้
หยางอันจื่อใช้ทักษะท่าร่างของเขาหายตัวไปในความมืดเช่นกัน แต่เสียงของเขายังดังมาจากระยะไกล “เพียงรอก่อน หลี่ฉิงซาน เจ้าจะมีศัตรูมากขึ้นเรื่อยๆ วันตายของเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว!”
หลิวหงป้องหมัดไปทางหลี่ฉิงซานก่อนจะเดินทางกลับพร้อมกับศิษย์ของเขา เหล่าขุนนางยินดีมอบเงินเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าเพื่อปราบโจร พวกเขาหวังว่าหลี่ฉิงซานจะไว้ชีวิตศิษย์ของนิกายถ้ำมังกรซึ่งเป็นบุตรหลานของพวกเขา
โรงเตี้ยมที่เคยคึกคักกลายเป็นรกร้างว่างเปล่า มีเพียงหลี่ฉิงซานที่ยังยืนอยู่ข้างหน้าต่างโดยถือดาบมังกรทะยานของหยางอันจื่อเอาไว้ในมือ
เมื่อฮวงปิงหูมาถึงพร้อมกับคนของเขา หลี่ฉิงซานก็หันหน้ากลับไป “หัวหน้านักล่าฮวง ข้าขอคำอธิบาย”
นักล่าสองคนนำเสี่ยวเฮยที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาออกมาขณะที่ฮวงปิงหูกล่าว “คุกเข่าและพูด!”
เสี่ยวเฮยเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบก่อนจะลงท้ายว่า “ฆ่าข้าซะ ข้าไม่เสียใจ!”
ฮวงปิงหูกล่าวอย่างยากลำบาก “ข้าเฝ้ามองเสี่ยวเฮยเติบโตขึ้นมา ดังนั้นเจ้าสามารถตำหนิข้าที่สั่งสอนเขาได้ไม่ดี โปรดไว้ชีวิตเขาด้วย” จากนั้นเขาก็ดึงมีดล่าสัตว์ออกมาและแทงมันเข้าที่ไหล่ข้างซ้ายของเขา
“ท่านหัวหน้า!” เสี่ยวเฮยกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก
“เสี่ยวเฮย มีบางสิ่งที่เจ้าไม่สามารถทำ ข้า ฮวงปิงหู เข่นฆ่าผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่ข้าไม่เคยเพิกเฉยต่อความเมตตาที่ได้รับ ข้าจะไม่ตอบแทนบุญคุณด้วยความอกตัญญู!” ฮวงปิงหูยื่นมือออกไปขณะที่นักล่าอีกคนที่อยู่ด้านหลังส่งมีดล่าสัตว์ให้เขาด้วยความโศกเศร้า ฮวงปิงหูแทงมีดล่าสัตว์ไปที่ไหล่ข้างขวาของเขา
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเสี่ยวเฮย เขารู้สึกละอายใจและเสียใจมาก ตั้งแต่เขายังเด็ก เขาชื่นชมและเฝ้ามองชายผู้นี้มาตลอด ฮวงปิงหูเป็นยิ่งกว่าพ่อของเขา ทว่าตอนนี้เขากลับเป็นต้นเหตุที่ทำให้บุคคลที่เขาเคารพบูชาเสียเลือด
ฮวงปิงหูแทงมีดล่าสัตว์ไปที่หน้าอกของตนอีกครั้ง
บทลงโทษสำหรับความผิดที่ไม่สามารถแก้ไขคือชีวิต นี่คือคำอธิบายของคนในยุทธภพ
ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็คว้าข้อมือของฮวงปิงหูเอาไว้ ใบมีดไม่สามารถแทงลึกเข้าไปได้อีก
แรกเริ่มหลี่ฉิงซานตกตะลึง จากนั้นเขาก็รู้สึกโล่งใจ “ท่านต้องการแบกรับเรื่องนี้เอาไว้และตายไปเพียงลำพังงั้นหรือ? นั่นไร้ประโยชน์ แม้พวกเขาจะไม่แน่ใจ แต่พวกเขาก็ยังจะมาหาข้า”
ฮวงปิงหูถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เขาเคยท่องเที่ยวอยู่ในยุทธภพ เขารู้ดีว่าเรื่องนี้น่ากลัวเพียงใด เคล็ดวิชาล้ำค่าเพียงเล่มเดียวหรืออาวุธชั้นยอดเพียงหนึ่งก็สามารถสร้างทะเลเลือดขึ้นในยุทธภพ ชีวิตของนักสู้ชั้นหนึ่งหรือกระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งกว่านั้นก็สามารถถูกพรากไปราวกับสิ่งไร้ค่า
แสงสีแดงในดวงตาของหลี่ฉิงซานเลือนหายไป เขาเผยรอยยิ้ม “แต่ข้าไม่กลัวพวกเขา!” เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาและด้วยความมั่นใจ ก่อนที่ฮวงปิงหูจะเปิดปากเตือนเขา เขาก็กล่าวต่อ “ท่านเตรียมสุราหมักกระดูกเสือให้ข้าหรือยัง?”
“พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำมาส่ง!”
หลี่ฉิงซานไม่กล่าวสิ่งใดอีก เขาเดินลงบันไดและออกจากไปโรงเตี้ยม ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกถึงความเย็นบนใบหน้า เมื่อเขามองขึ้นไป เขาก็เห็นเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าที่มืดสนิท
ร่างโปร่งใสโผล่ออกมาจากป้ายไม้โบราณและลอยอยู่ข้างกายเขา
หลี่ฉิงซานพึมพำกับตนเอง “ข้าไม่กลัวศัตรู ข้ากลัวการทรยศ” สิ่งที่เขาเห็นคือเสี่ยวอันที่มองเขาด้วยดวงตาว่างเปล่า เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เจ้าจะไม่เข้าใจแม้ข้าจะพยายามอธิบาย แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าจะทรยศข้าใช่ไหม?”
บางทีเสี่ยวอันอาจไม่เข้าใจคำว่า ทรยศ ที่หลี่ฉิงซานกล่าวถึง แต่ผีน้อยเข้าใจสิ่งที่หลี่ฉิงซานคาดหวัง ดังนั้นมันจึงพยักหน้าตอบรับ
“ไปกันเถอะ คืนนี้ยังอีกยาวไกล!” ดวงตาของหลี่ฉิงซานส่องประกายขึ้นราวกับมันสามารถละลายน้ำแข็งและหิมะทั้งหมด
…..
ผู้คุมเฒ่าจิบสุราและจุดไฟในเตาเพื่อขจัดความหนาวเย็นของฤดูหนาว
เขาไม่เคยมีภรรยาแม้แต่คนเดียว เขาใช้เวลาหลายสิบปีไปกับการปกป้องคลังอาวุธของทางการ แม้แต่เพื่อนบ้านของเขาก็ยังลืมชื่อเขาและจำได้เพียงแซ่จางเท่านั้น ทุกคนเรียกเขาว่าตาแก่จางหรือผู้คุมเฒ่า
มันดึกมากแล้วแต่ผู้คุมเฒ่ายังนอนไม่หลับเหมือนปกติ เขามักคิดถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ของตนขณะเมาสุรา สำหรับความจริงในความทรงจำเหล่านี้ มันเหมือนชื่อของเขาที่ทุกคนลืมเลือนไปแล้ว กระทั่งตัวเขาเองยังไม่แน่ใจ
“ปัง ปัง ปัง!” ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขัดจังหวะความคิดของเขา เขาเปิดประตูอย่างช้าๆ “ผู้ใด? มันดึกมากแล้ว!” หลังจากนั้นเขาก็เห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนยิ้มด้วยท่าทางเกรงใจอยู่ที่นั่น
“เจ้าเมืองเย่อนุญาตให้ข้านำบางสิ่งออกจากคลังอาวุธ นี่คือเอกสาร!”
ผู้คุมเฒ่าตัวสั่น แม้ความทรงจำของเขาจะพร่าเลือน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาจำได้ดี เขาเป็นทหารและเคยเข้าร่วมในสงคราม เขาเคยเห็นฉากการเข่นฆ่าที่แท้จริงมาแล้ว เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าเขายังเด็กและสุภาพมาก แต่เด็กคนนี้กลับปลดปล่อยกลิ่นอายที่เขารู้สึกคุ้นเคยออกมา มันคือจิตสังหาร!
กลิ่นอายชนิดนี้มีเพียงทหารผ่านศึกที่คร่าชีวิตผู้คนมากมายด้วยมือของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถมีได้ หากเขาพบศัตรูเช่นนี้ในสนามรบ เขาจะพยายามหลีกเลี่ยงและหนีให้ไกลที่สุด
ชายชราไม่แม้แต่จะตรวจสอบเอกสารอย่างจริงจังก่อนจะดึงกุญแจออกมาด้วยตัวสั่นเทา เขาถือตะเกียงขณะเดินไปยังคลังอาวุธ
ประตูคลังอาวุธสูงหลายเมตรและหล่อขึ้นจากโลหะบริสุทธิ์ ตะปูสามสิบหกตัวถูกจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสม หัวพยัคฆ์สองตัวคาบวงแหวนโลหะอยู่ในปาก
ผู้คุมเฒ่าผลักประตูอย่างแรงสองสามครั้งแต่ประตูกลับไม่ขยับเขยื้อน เขากล่าวอย่างงุ่มง่าม “ดูเหมือนมันจะถูกแช่แข็ง” สิ่งที่เขาเห็นจากนั้นก็คือเด็กหนุ่มวางมือบนประตูเหล็กอันเย็นเยียบและผลักเบาๆ ต่อมาประตูเหล็กก็เปิดออก สุดท้ายเขาก็ก้าวเข้าไปในคลังอาวุธเพียงลำพัง
ผู้คุมเฒ่ารออยู่ข้างนอก นี่เป็นครั้งแรกที่มีบางคนมาที่คลังอาวุธเพื่อนำบางสิ่งออกไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ‘เขาต้องการสิ่งใดและเขาจะใช้พวกมันทำอะไร?’
ขณะที่ผู้คุมเฒ่ากำลังสงสัย เสียงบางอย่างก็ดังใกล้เข้ามา ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็โผล่ออกมาจากคลังอาวุธ ร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มไว้เกราะสีดำทั้งหมด
ผู้คุมเฒ่าตกตะลึงและทรุดตัวลงกับพื้น เขาหวนนึกถึงความน่าสะพรึงกลัวของสนามรบและผู้คนที่ดุร้ายเหล่านั้น เขารู้สึกเหมือนอีกสักครู่คนที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเหวี่ยงดาบออกมาและฆ่าเขา ณ จุดนั้น