Ep.333 - เมืองธารทะเลทราย
3/3
Ep.333 - เมืองธารทะเลทราย
ฮังอวี่ไม่กล้าประมาท เขาพูดกับจ้าวหมิงทันที “ไปอพยพทุกคน อย่าให้ทูตของขุนนางใหญ่สังเกตเห็นว่าที่นี่มีพวกเรามากเกินไป”
จ้าวหมิงเอ่ยถาม “นายกังวลว่าจะถูกขุนนางใหญ่เพ่งเล็งใช่ไหม?”
ฮังอวี่พยักหน้า “การมีสายพันธุ์ที่มีสติปัญญามากไป มันเป็นเรื่องผิดปกติของขุนนางเล็ก ถ้าขุนนางใหญ่รู้เรื่องนี้อาจเกิดความหวาดระแวง และนั่นไม่ดีสำหรับพวกเราแน่ๆ”
จ้าวหมิงเข้าใจสิ่งที่ฮังอวี่กังวล
เขาแยกตัวออกไปทันที สั่งการให้สมาชิกในเมืองไปแอบ จากนั้นขอให้ตัวแทนจากกองกำลังต่างๆติดต่อสมาชิกในทีมว่าอย่าพึ่งกลับเข้าเมืองหรือออนไลน์ในอีกสองสามชั่วโมงข้างหน้า
ด้านฮังอวี่ เขารวบรวมทหารสายพันธุ์รองทั้งหมดในเมืองหุบเขาเดียวดายกว่า 200 นาย ส่วนใหญ่มาจากทีมของเขา และอีกครึ่งมาจากทีมของคนอื่นๆ ทั้งหมดถูกดึงมาเป็นตัวประกอบฉาก
ทันทีต่อจากนั้น
ฮังอวี่รื้อกับดักและค่ายกลเขตแดนหน้าเมืองหุบเขาเดียวดาย เปิดประตูหลักของเมือง เชิญเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาที่อ้างตนว่าเป็นทูตของขุนนางใหญ่เข้ามา
เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ
ก็พบว่านี่คือเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาที่ไม่เคยเจอมาก่อนจริงๆ
ร่างกายช่วงบนของมันใกล้เคียงกับมนุษย์มาก มีผิวสีทองแดง กล้ามเนื้อเป็นลายชัดเจน และผมสีแดงเพลิงที่ไม่ปรากฏในมนุษย์ แค่มองก็รู้ว่าแข็งแกร่งมาก
ร่างกายช่วงล่างของมันเป็นร่างของสัตว์บางชนิด คล้ายๆกับกวาง แต่ดูๆไปเหมือนม้ามากกว่า ตรงเท้าทั้งสี่มีกีบเท้า ดูเปี่ยมไปด้วยพลังที่พร้อมระเบิดมันออกมาได้ตลอดเวลา!
“ข้าคือผู้ใต้บังคับบัญชาของจ้าวสงครามคาลิมัวแห่งเมืองธารทะเลทรายนามว่าชาร์โมโด”
ชาวโลกวิญญาณที่เหมือนเซนทอร์ผู้นี้ได้ก้าวเข้ามาในเมืองหุบเขาเดียวดาย
ทหารมนุษย์หลายร้อยนายปรากฏตัวต่อหน้ามัน
ทว่ามันกลับไม่ได้ดูวิตกหรือหวาดกลัวเลย
ตรงกันข้าม กลับเผยสีหน้าเย่อหยิ่ง ในแววตาสะท้อนไปด้วยความมั่นใจ อุปกรณ์ทั้งหมดบนตัวมันเรืองรองไปด้วยแสงพลังงานวิญญาณสีเขียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธในมือที่เป็นขวานรบด้ามยาว เป็นสีเขียวใสมีคุณภาพสูง
และมีเลเวลอย่างน้อย 11!
เครื่องประดับและอุปกรณ์ครบเซ็ต!
แม้ตอนนี้จะไม่พบอุปกรณ์สีฟ้า แต่ก็ไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ว่าผู้มาเยือนเบื้องหน้ามีอุปกรณ์หรือไอเท็มคุณภาพสีฟ้า เพราะถึงอย่างไรมันมาในฐานะตัวแทนของขุนนางใหญ่
ในเรื่องของพลังรบ
มันไม่ควรด้อยไปกว่าลูกันขุนนางเก่าของเมืองหุบเขาเดียวดาย หรือบางทีอาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
มันเรียกตัวเองว่าชาร์โมโด และเรียกเจ้าเมืองธารทะเลทรายว่า ‘จ้าวสงครามคาลิมัว’
ชาวโลกวิญญาณบางครั้งก็ใช้ชื่อมรดกของตัวเองเป็นฉายา
และจ้าวสงครามคือมรดกขั้น 4
ซึ่งหมายความว่าขุนนางใหญ่แห่งเมืองธารทะเลทรายต้องมีมรดกขั้น 4 ที่สมบูรณ์อย่างน้อย 1 อาชีพในครอบครอง และยังไม่แน่ว่ามีแค่มรดกเดียวหรือไม่ แต่ถึงจะแค่มรดกเดียวก็ยากที่จะรับมือแล้ว
ถึงอย่างไรนี่คือผู้สืบทอดมรดกขั้น 4!
มองมาทางฮังอวี่ ตอนนี้เขายังไม่มีมรดกขั้น 3 ที่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ!
พลังรบที่ได้จากการสืบทอดมรดกขั้น 4 ที่สมบูรณ์ อย่างน้อยก็มากกว่าการสืบทอดมรดกขั้น 3 ถึงสามเท่า!
สามารถกล่าวได้เลยว่าตัวตนที่ได้รับการสืบทอดมรดกขั้น 4 ผู้นี้
มีข้อได้เปรียบที่นักผจญภัยอย่างพวกเขาไม่อาจเทียบได้!
ฮังอวี่สลัดความคิดในหัวไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขายังคงสงบ น้ำเสียงไม่อ่อนน้อมหรือสามหาวจนเกินไป เอ่ยภาษาที่เป็นทางการ “ข้าคือฮังอวี่ ขุนนางคนใหม่ของเมืองหุบเขาเดียวดาย ขอเชิญท่านทูตแห่งเมืองธารทะเลทรายเข้ามารับประทานอาหารที่ทางเราเตรียมไว้แก่ท่าน!”
ชาร์โมโดกล่าวอย่างเฉยเมย “ท่านขุนนางใหญ่คาลิมัวรู้สึกประหลาดใจมากที่เมื่อสองสามวันก่อนพบว่ารูปั้นขุนนางมนุษย์จิ้งจอกในวิหารหินของเมืองธารทะเลทรายพังทลายลง และถูกแทนที่ด้วยรูปปั้นของเผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ต้นกำเนิดของพวกเจ้ามาจากที่ใด?”
ฮังอวี่ตอบว่า “พวกข้ามีต้นกำเนิดมาจากแคว้นทุ่งขจี แต่ต้องอพยพเพราะสูญเสียบ้านเกิด หลบหนีเข้าสู่แดนอ้างวานของแคว้นเดียวดาย เข้ามายังพื้นที่ภายใต้อิทธิพลของเมืองธารทะเลทรายโดยไม่ตั้งใจ แล้วบังเอิญถุกพวกมนุษย์จิ้งจอกโจมตีเข้า แต่โชคดีสามารตตีโต้และยึดเมืองหุบเขาเดียวดายมาได้ ”
แคว้นทุ่งขจีคือแคว้นที่อยู่ทางตอนเหนือของแคว้นเดียวดาย
สภาพแวดล้อมของที่นั่นคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าแคว้นทุ่งขจี
ส่วนแคว้นเดียวดายที่ฮังอวี่อยู่ในตอนนี้ มันสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายพื้นที่ โดยพื้นที่ขนาดใหญ่ทางตอนเหนือเรียกว่า ‘แดนอ้างว้าง’ และเมืองหุบเขาเดียวดายตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแดนอ้างว้าง
สถานะของนักผจญภัยไม่สามารถเปิดเผยได้
เพราะในสายตาของชาวพื้นเมืองหลายคน นักผจญภัยไม่ต่างจากผู้รุกราน
หากชาวพื้นเมืองรับรู้ถึงตัวตนของนักผจญภัย พวกฮังอวี่อาจถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจากชนพื้นเมือง
ตอนนี้จึงต้องโกหกออกไปก่อน
โลกวิญญาณนั้นกว้างใหญ่ แต่ประชากรกลับมีน้อย และเผ่าพันธุ์ก็มีมากมาย ดังนั้นประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลจึงช้ามาก ต่อให้เป็นขุนนางใหญ่ก็ยังมีหลายเรื่องที่ไม่รู้เกี่ยวกับพื้นที่นอกเขตแคว้นเดียวดาย
อย่างน้อยตอนนี้ยังพอสามารถกลบเกลื่อนได้
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องทำตัวติดดินเอาไว้จนกว่าจะตั้งหลักได้อย่างมั่นคง
ถ้าคิดจากสามัญสำนึก เมืองหุบเขาเดียวดายเป็นแค่เมืองที่มีพื้นที่เล็กๆและตั้งอยู่ในมุมสุด ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก อย่างน้อยเมืองธารทะเลทรายก็คิดเช่นนั้น
จึงไม่น่าแปลกใจ
ที่เจ้าเมืองธารทะเลทราย จ้าวสงครามคาลิมัวจะไม่สนใจว่าใครจะเป็นเจ้าของเมืองหุบเขาเดียวดาย!
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ สถานที่เช่นโลกวิญญาณ การช่วงชิงดินแดนกันถือเป็นเรื่องปกติ
ทว่ามีกฏอยู่สองข้อที่ต้องปฏิบัติตาม
ข้อแรก ขุนนางเล็กต้องส่งส่วยให้ขุนนางใหญ่
ข้อสอง ขุนนางเล็กไม่อาจยั่วยุหรือข่มขู่ขุนนางใหญ่
โดยทั่วไปแล้ว ตราบใดที่ปฏิบัติตามกฏ ขุนนางใหญ่ไม่เพียงเพิกเฉยต่อการช่วงชิงดินแดนระหว่างขุนนางเล็ก แต่มันยังมีความสุขที่ได้เห็นดินแดนภายใต้อาณาเขตของตัวเองโจมตีซึ่งกันและกัน
สงครามจะทำให้เกิดความเสื่อมถอย
และความเสื่อมถอยนำมาซึ่งความอ่อนแอ
โดยทั่วไปแล้วหากขุนนางใหญ่คิดรักษาตำแหน่งของตัวเองให้มั่นคง
มันมักจงใจปกป้องขุนนางเล็กที่อ่อนแอ
ในทางตรงกันข้าม หากขุนนางเล็กโดดเด่นเกินไป ขุนนางใหญ่จะสนับสนุนให้ขุนนางเล็กหลายตนรวมพลังกันเข้าปราบปราม
เมืองหุบเขาเดียวดายเดิมเป็นดินแดนที่ค่อนข้างอ่อนแอภายใต้การปกครองของเมืองธารทะเลทรายอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าเมืองคาลิมัวจึงยอมให้ลูกันจ่ายค่าคุ้มครองในปริมาณ 80% ของผลผลิตที่หาได้ จากนั้นสั่งห้ามไม่ให้ขุนนางเล็กตนอื่นๆโจมตีเมืองหุบเขาเดียวดาย
มิฉะนั้นเมืองหุบเขาเดียวดายคงไม่อาจยืนยงพัฒนาต่อเนื่องมาได้ถึงหนึ่งปีเช่นนี้
หากไม่ได้รับการคุ้มครอง เกรงว่ามันคงตกอยู่ในมือขุนนางเล็กตนอื่นไปแล้ว
ชาร์โมโดเป็นทูตที่ส่งมาจากเมืองธารทะเลทรายเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์และพลังรบของเผ่าพันธุ์ใหม่ที่ครอบครองเมืองหุบเขาเดียวดาย ในทางกลับกัน มันมาเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของเมืองธารทะเลทรายในนามของขุนนางใหญ่
ฮังอวี่พึ่งยึดเมืองหุบเขาเดียวดายได้
ตอนนี้จึงยังไม่ใช่เวลาที่จะท้าทายขุนนางใหญ่
ดังนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหัวแสดงท่าทีสุภาพ มอบความบันเทิงให้แก่ทูตก่อน เมื่อยามกลับเมืองธารทะเลทราย ทูตชาร์โมโดจะได้ไม่กล่าววาจาใส่ไฟพวกเขา
ฮังอวี่เรียกจ้าวหมิงเข้ามา “ท่านทูตที่เคารพ นี่คือผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถมากที่สุดของข้า เขาคือรองขุนนางของเมืองหุบเขาเดียวดาย นามจ้าวหมิง หากท่านมีอะไรให้เมืองหุบเขาเดียวดายรับใช้ สามารถออกคำสั่งแก่ทางเราได้ตลอดเวลา”
ชาร์โมโดเหลือบมองฮังอวี่และจ้าวหมิง มุมปากมันยกสูงขึ้น แสดงท่าทีดูแคลน “ขุนนางเมืองหุบเขาเดียวดายอ่อนแอสู้คนก่อนไม่ได้จริงๆ”
จ้าวหมิงกับฮังอวี่ลอบสบสายตากัน
จ้าวหมิงตระหนักถึงปัญหาที่เกิดจากอุปสรรคทางภาษามานานแล้ว
ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยการเสาะหาหนทางด้วยตัวเอง จ้าวหมิงได้เข้าสู่เขตแดนลับ และรางวัลของการผ่านบททดสอบคือความสามารถในการเข้าใจหลากหลายภาษาของโลกวิญญาณ เขาจึงกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนของเมืองหุบเขาเดียวดายที่สามารถฟังและสื่อสารกับชาวพื้นเมืองโลกวิญญาณได้
จ้าวหมิงก้าวออกมา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอรับ ขอรับ ท่านทูตคงเห็นแล้ว ที่พวกเรายึดเมืองหุบเขาเดียวดายได้ มันเป็นเพราะโชคช่วยเท่านั้น ตอนนี้พวกเราแทบไม่มีกองกำลังเหลือ แต่ในฐานะเผ่าพันธุ์เร่ร่อน พวกเราแทบไม่มีทรัพยากรอะไรติดตัวเลย ดังนั้นเรื่องการจ่ายส่วย ....”
ชาร์โมโดกล่าวเสียงเย็น “นี่คือผลประโยชน์ของเมืองธารทะเลทราย ข้าไม่อาจลดให้พวกเจ้าได้แม้แต่นิดเดียว หากเจ้าจ่ายไม่ไหวก็ไม่คู่ควรที่จะครอบครองเมืองนี้!”
ตามมาตรฐานในยุคขนนางมนุษย์จิ้งจอก
จำนวนทรัพยากรโดยเฉลี่ยที่พวกมันส่งมอบต่อวันมีดังนี้
1.หินคริสตัลขาวมูลค่า 1500 ก้อน
2.วัตถุดิบสีเทาเลเวล 10 จำนวน 900 ชิ้นหรือสิ่งที่มีราคาเทียบเท่า!
3.วัตถุดิบสีขาวเลเวล 10 จำนวน 300 ชิ้นหรือสิ่งที่มีราคาเทียบเท่า!
มีวิหารหินอยู่ในสิ่งปลูกสร้างของเมืองหุบเขาเดียวดาย แท่นบูชาที่นั่นสามารถใช้ขนส่งวัตถุดิบไปยังเมืองธารทะเลทรายได้
ตามปกติแล้วจะส่งส่วยทีเดียวในช่วง 3 -4 วัน
นี่นับเป็นแรงกดดันอย่างมากต่อทรัพยากร
ไม่อย่างนั้น มนุษย์จิ้งจอกที่ยึดครองเมืองหุบเขาเดียวดายมาเป็นปีๆคงสร้างทหารได้เต็มจำนวนไปแล้ว
โดยการใช้ประโยชน์จากขุนนางเล็ก ขุนนางใหญ่ไม่เพียงสามารถเสริมพลังแก่ตัวเองเท่านั้น แต่ยังลดโอกาสที่จะถูกคุกคามได้อีกด้วย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ฮังอวี่มองจ้าวหมิง
ส่งสายตาประมาณว่าให้รับช่วงดูแลเจ้าหมอนี่ต่อให้ที
แม้มนุษย์จะมีอุตสาหกรรมและช่องทางค้าขายมากมาย และในไม่ช้าคงสามารถฟื้นฟูเมืองหุบเขาเดียวดายให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าในตอนที่พวกมนุษย์จิ้งจอกยึดครอง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องจ่ายทรัพยากรจำนวนมากทุกวัน นั่นไม่น่าพอใจเอาเสียเลย
อย่างไรก็ตาม ฮังอวี่ไม่เต็มใจที่จะหยุดแค่ขุนนางเล็กในเมืองหุบเขาเดียวดายตลอดไป
นักผจยภัยเผ่ามนุษย์ยังไม่ได้ปลดล็อคศักยภาพอย่างเต็มที่
เมืองเล็กๆอย่างหุบเขาเดียวดายไม่สามารถรองรับพวกเขาได้
ไม่ช้าก็เร็วเมืองธารทะเลทรายจะต้องถูกตีแตก
ศีรษะของขุนนางใหญ่คาลิมัวในภายภาคหน้าต้องถูกสะบั้นและเตะเล่นเป็นลูกบอลโดยฮังอวี่ ดังนั้นการมอบทรัพยากรให้พวกมันไปก่อนจึงไม่ใช่ปัญหา นี่ก็เหมือนเอาเงินไปฝากธนาคารไว้ ถึงเวลาก็ไปเบิกคืนมา
แน่นอน เรื่องนี้ตอนนี้ได้แค่คิดในใจ ปัจจุบันจำเป็นต้องก้มหัวให้ศัตรูก่อน ในตอนที่ยังไม่มีพลังรบแก่กล้า พวกเขาทำได้เพียงยอมเล่นตามกฏเกณฑ์ของโลกใบนี้ไปก่อนเท่านั้น