ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 51 เก็บกวาดนิกายถ้ำมังกร
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 51 เก็บกวาดนิกายถ้ำมังกร
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานยืนอยู่เพียงลำพังใกล้กับหน้าต่างราวกับเขาไม่เห็นศิษย์นิกายถ้ำมังกรที่กำลังพุ่งไปหาเขา
‘นิกายถ้ำมังกรรู้ว่าข้ามีโสมจิตวิญญาณ ผู้ใดบอกพวกเขา? ฮวงปิงหูงั้นหรือ? มันคงมากเกินไปที่ช่วยชีวิตเจ้า!’
ความโกรธจากการทรยศค่อยๆปะทุขึ้นในใจของเขา แต่ปากของเขากลับค่อยๆม้วนตัวขึ้นเป็นรอยยิ้มปีศาจ หัวใจของหลิวหงกระตุกเมื่อเห็นสิ่งนี้จากด้านหนึ่ง
“ปัง!” หลี่ฉิงซานใช้เท้าเตะโต๊ะไม้หนักอย่างน้อยหนึ่งร้อยกิโลกรัมบินออกไปกระแทกศิษย์นิกายถ้ำมังกรอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ซือต้าที่พุ่งเข้าหาหลี่ฉิงซานไม่เคยคิดว่าจะพบกับการโจมตีลักษณะนี้ ดังนั้นเขาจึงถูกโต๊ะไม้พุ่งชน อย่างไรก็ตามเขายังสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เขาทิ้งดาบและใช้มือผลักโต๊ะ
‘ไร้ประโยชน์!’ หลี่ฉิงซานลอบเย้ยหยัน
แขนทั้งสองข้างของซือต้าหักทันที หน้าอกของเขายุบตัวเข้าไปจากการปะทะ เลือดพุ่งออกจากปากของเขา ขณะที่เสียงกระดูกแตกหักจากทั่วทั้งร่างดังขึ้นพร้อมกัน
โต๊ะไม้ไม่ได้หยุดอยู่ตรงนั้น มันยังผลักศิษย์ของนิกายถ้ำมังกรเจ็ดหรือแปดคนตกบันไดลงไปชั้นล่างก่อนที่เสียงปังจะตามมา
มีลูกค้าอยู่ด้านล่าง เดิมทีพวกเขาสงสัยว่าวันนี้เป็นคราวเคราะห์ของผู้ใดเมื่อเห็นศิษย์ของนิกายถ้ำมังกรวิ่งขึ้นบันไดด้วยเจตนาสังหาร ทุกคนตกำลังเฝ้ารอชมการแสดง แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าศิษย์ของนิกายถ้ำมังกรจะร่วงลงมาจากชั้นบนพร้อมกับโต๊ะไม้ตัวใหญ่ นั่นทำให้ความโกลาหลปะทุขึ้นทันที
เมื่อโต๊ะไม้กระแทกพื้น ผู้ชมก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาเห็นซือต้าหมดสติและตายไปแล้ว ศิษย์คนอื่นๆรอดมาได้เพียงเพราะซือต้าช่วยรับแรงกระแทกบางส่วนแทนพวกเขา อย่างไรก็ตามกระดูกของพวกเขายังหักหลายซี่ นั่นทำให้พวกเขาคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่รู้จบสิ้น
ผู้ชมทั้งหมดตกตะลึง พวกเขาไม่เคยเห็นศิษย์ของนิกายถ้ำมังกรอยู่ในสภาพนี้ นี่ยิ่งทำให้พวกเขาสงสัยว่าผู้ใดอยู่ชั้นบน
ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันทำให้หลี่ฉิงซานนึกถึงโบว์ลิ่งในชีวิตก่อนหน้า ศิษย์ของนิกายถ้ำมังกรเหมือนพินโบว์ลิ่ง น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถล้มพินทั้งหมดได้ในครั้งเดียว
ศิษย์ห้าหรือหกคนที่เหลือไม่ล้มเนื่องจากอยู่ไกลออกไป อย่างไรก็ตามร่างกายของพวกเขายังเปียกโชกไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบจากความหวาดกลัว พวกเขายืนนิ่งอยู่ที่นั่นด้วยความว่างเปล่าและไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไร พวกเขาต่างเป็นบุตรชายของครอบครัวตระกูลใหญ่ที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อยู่ที่นิกายถ้ำมังกรแต่พวกเขาไม่เคยต่อสู้จริงๆ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีผู้ใดตอบสนองได้ทันเหตุการณ์ เพียงเสี้ยววินาทีสถานการณ์ก็พลิกผัน นิกายถ้ำมังกรที่แสดงความยิ่งใหญ่ออกมาก่อนหน้านี้เสียคนไปครึ่งหนึ่งทันที
มีเพียงหลิวหงเท่านั้นที่เห็นการเคลื่อนไหวของหลี่ฉิงซานอย่างชัดเจน เขาคิดในใจอย่างเคร่งขรึมว่าหากเป็นเขาจะสามารถปิดกั้นหรือหลี่กเลี่ยงมันได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามข้อสรุปที่เขาได้รับทำให้เขาขมวดคิ้วและเย้ยหยัน ดูเหมือนเขาจะสามารถกู้คืนความภาคภูมิใจในตัวเองที่สูญเสียไปเพราะหลี่ฉิงซานกลับมาได้บางส่วนแล้ว
หลี่ฉิงซานไม่สนใจคนอื่นๆ เขาเดินเข้าไปหาหยางจุนโดยตรง
หยางจุนนอนอยู่บนพื้น ก่อนนห้านี้หลี่ฉิงซานตั้งใจเตะโต๊ะไปทางนายน้อยของนิกายถ้ำมังกรผู้นี้แต่ศิษย์คนอื่นๆขวางทางอยู่ ดังนั้นเขาจึงมีเวลาตอบสนอง เขากระโดดหลบออกไปอย่างรวดเร็วและสามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเขื่อ ผู้คนที่เขาพามาด้วยล้วนเป็นศิษย์ที่มีอิทธิพลในนิกาย มีนักสู้ชั้นสามหลายคนอยู่ในกลุ่มพวกเขา ขณะที่คนอื่นๆก็มีทักษะที่น่าประทับใจ แต่มากกว่าครึ่งของพวกเขากลับตายหรือหมดสภาพจากการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของหลี่ฉิงซาน ความพยายามในการจับกุมและลงโทษหลี่ฉิงซานในที่สาธารณะของพวกเขากลายเป็นเรื่องตลก
เมื่อเห็นหลี่ฉิงซานเดินเข้าไปหา หยางจุนก็นึกถึงโจรหลายสิบชีวิตที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของหลี่ฉิงซานและจำฉายาที่น่าสะพรึงกลัวของคนตรงหน้าได้ทันที เขาตระหนักว่าความสามารถของตนเองยังไม่เพียงพอ นั่นทำให้เขาชักดาบออกมาด้วยความบ้าคลั่ง “ฆ่ามัน!”
ดาบพุ่งไปหาหลี่ฉิงซาน ในเวลาเดียวกันดาบอีกห้าเล่มก็แทงเข้ามาจากด้านหลัง ศิษย์คนอื่นๆของนิกายถ้ำมังกรได้สติกลับมาเช่นกัน พวกเขาเคยใช้เวลาฝึกฝนร่วมกันอยู่ในนิกาย แม้พวกเขาจะไม่มีประสบการณ์กับการต่อสู้จริง แต่พวกเขายังทำงานร่วมกันได้ค่อนข้างดี
หลี่ฉิงซานถูกปิดล้อมด้วยดาบ
“ระวังค่ายกลดาบ!” หลี่หลงตะโกนเตือนแต่มันสายเกินไป ดาบหกเล่มแทงไปที่หลี่ฉิงซานพร้อมกัน
เจ้าของดาบแต่ละเล่มทั้งประหลาดใจและยินดีราวกับพวกเขาไม่เคยคิดว่าความสำเร็จจะได้มาง่ายดายถึงเพียงนี้ ‘ค่ายกลดาบของนิกายถ้ำมังกรไม่ธรรมดาจริงๆ!’ นี่คือความคิดของพวกเขา
ความเย้ยหยันและความสงสารปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวหง ‘เจ้ายังอ่อนประสบการณ์เกินไป เจ้าคิดว่าตนเองเหนือกว่า ดังนั้นเจ้าจึงเปิดช่องว่างให้คู่ต่อสู้ปิดล้อมและโจมตี เจ้าขุดหลุมฝังตัวของเจ้าเอง’
ด้วยการตายของอัจฉริยะวัยเยาว์ นอกจากความสงสาร ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ในยุทธภพมักรู้สึกโล่งใจและกล่าวในทำนองว่า “ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าเสมอ คนแข็งแกร่งที่สุดอาจไม่อยู่รอดจนถึงที่สุด”
ดาบแทงเข้าไปในชั้นผิวหนังของหลี่ฉิงซานก่อนจะหยุดลง ความยินดีบนใบหน้าของนักดาบถูกแทนที่ด้วยความตกใจ พวกเขาผลักดาบด้วยกำลังทั้งหมดแต่ดาบเหล็กกล้าของพวกเขากลับเป็นฝ่ายโค้งงอ
หลิวหงกลายเป็นตื่นตระหนก ‘อย่าบอกนะว่าเขาบ่มเพาะร่างกายมาถึงระดับที่อาวุธฟันไม่เข้าแล้ว!’
หลี่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนพูดกันว่าการต่อสู้กับคนหมู่มากเป็นเรื่องยาก การโจมตีผสานไม่ธรรมดาจริงๆ” แสงสีแดงที่คนธรรมดามองไม่เห็นส่องประกายขึ้นในรูม่านตาของเขา “แต่พวกเจ้าจะทำร้ายข้าด้วยดาบที่อ่อนนุ่มและไร้พลังเช่นนี้ได้อย่างไร?”
พลังปราณในร่างของหลี่ฉิงซานปะทะขึ้นและทำให้ดาบทั้งหมดแตกเป็นเสี่ยงๆ นักดาบทั้งหมดกระเด็นออกไปพร้อมกับเลือดที่พุ่งออกมาจากปาก มีเพียงรอยสีขาวจางๆเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้บนผิวหนังของหลี่ฉิงซาน
หยางจุนรู้สึกปั่นป่วน พลังปราณของหลี่ฉิงซานพุ่งเข้าไปในร่างของเขาและทำให้พลังลมปราณที่เขาพากเพียรบ่มเพาะมานานหลายปีกลายเป็นไร้ประโยชน์ เส้นลมปราณของเขาถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
เมื่อเขากำลังจะตกบันได แสงสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามา ร่างหนึ่งคว้าร่างของหยางจุนเอาไว้ก่อนที่เด็กหนุ่มจะร่วงหล่นลงไปชั้นล่าง
หลี่ฉิงซานระวังตัวมากขึ้นเล็กน้อย เขาเห็นการเคลื่อนไหวของคนผู้นั้นแต่เขาไม่สามารถแข่งขันกับความเร็วชนิดนี้ หลังจากทั้งหมดความเร็วเป็นจุดอ่อนของเขา
แน่นอนว่าคนที่พึ่งมาถึงก็คือหยางอันจื่อ เขาตรวจชีพจรของหยางจุน จากนั้นใบหน้าของเขาก็กลายเป็นเย็นเยียบ เส้นลมปราณของหยางจุนถูกทำลายไปแล้ว เขาสูญเสียทักษะยุทธ์และกลายเป็นคนพิการ!
หยางจุนเรียก “ท่านพ่อ” ก่อนจะหมดสติไป
หยางอันจื่อมองไปที่หลี่ฉิงซานด้วยเจตนาสังหาร เวลานี้เขาดูไม่เหมือนบัณฑิตอีกต่อไป หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความเสียใจ เขามาถึงโรงเตี้ยมแห่งนี้นานแล้ว แต่เขาคิดว่าหยางจุนและศิษย์ของเขาเพียงพอแล้วที่จะจัดการหลี่ฉิงซาน
หากเขาต้องเผชิญหน้ากับหลิวหง มันคงเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่าอึดอัดใจ ดังนั้นเขาจึงซ่อนตัวอยู่ในโรงเตี้ยมตลอดเวลาและพร้อมที่จะตอบสนองทันทีหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
อย่างไรก็ตามทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป ตั้งแต่หลี่ฉิงซานเตะโต๊ะและส่งศิษย์ครึ่งหนึ่งลงไปชั้นล่าง หยางอันจื่อก็ต้องการเข้ามาแล้ว แต่เมื่อเขาเห็นหลี่ฉิงซานตกอยู่ในค่ายกลดาบ เขาก็คิดว่าฝ่ายหลังจบสิ้นแล้ว
แม้แต่หลิวหง คนที่เคยเห็นความแข็งแกร่งของหลี่ฉิงซานมาก่อนก็ยังคิดว่าเด็กหนุ่มต้องตายอย่างแน่นอน ผลลัพธ์ก็คือหยางอันจื่อหยุดตัวเองและนั่นก็ทำให้ทุกอย่างสายเกินไป
หลิวหงหัวเราะ “พี่หยาง ไม่พบกันนาน เหตุใดศิษย์ของท่านจึงมาสร้างความปั่นป่วนใหญ่โตที่นี่? ทั้งหมดนี้เพื่อสิ่งใด?”
หลี่ฉิงซานสามารถบอกได้ว่าหน้าตาของหยางอันจื่อและหยางจุนละม้ายคล้ายกัน รวมกับคำกล่าวของหลิวหง เขาจึงอนุมานได้ว่าคนผู้นี้ก็คือผู้นำนิกายถ้ำมังกรผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองชิงหยาง
หยางอันจื่อท่องเที่ยวอยู่ในยุทธภพมานานหลายปี ดังนั้นเขาจึงมีความเย่อหยิ่งและมั่นใจ เขาปล่อยมือจากบุตรชาย เขาไม่สนใจหลิวหงแต่พูดกับหลี่ฉิงซาน “เดิมทีข้าจะเกลี้ยกล่อมให้เจ้ามอบมันมา ข้าไม่มีแผนการที่จะทำร้ายเจ้า แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว บุตรชายของข้าไม่เคยทำร้ายเจ้า เหตุใดเจ้าถึงลงมือกับเขารุนแรงนัก?” ในตอนท้าย เขาไม่สามารถระงับความโกรธของตนเองได้อีกต่อไป ใบหน้าของเขากลายเป็นบิดเบี้ยวราวกับปีศาจ
หลี่ฉิงซานหัวเราะเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ “ไม่มีแผนการที่จะทำร้ายข้างั้นหรือ? ไม่เคยทำร้ายข้างั้นหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” หากเขาอ่อนแอกว่านี้สักนิด ใครจะรู้ว่าเขาจะพบกับความทรมานและได้รับความอัปยศอดสูมากเพียงใด หากเขาตกไปอยู่ในเงื้อมมือของหยางจุน บางทีมันอาจถึงขั้นเสียชีวิต
‘ย้อนกลับไปบนภูเขา การคุกคามและดูหมิ่นไม่ควรถูกมองว่าเป็นการสร้างความคับข้องใจงั้นหรือ? หยางจุนอาจไม่ได้ทำผิดมากมายนักและข้าก็ไม่มีความคิดที่จะตัดมือของเขาออกมาจริงๆ เดิมทีข้าเพียงต้องการพูดคุยและสั่งสอนเขาเล็กๆน้อยๆเท่านั้น’
“ข้าเพียงอย่างถามเจ้า ผู้ใดบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้? ช่างเถอะ ข้าจะไปถามเขาด้วยตัวเอง! พ่อแม่ไม่รู้จักแยกแยะถูกผิด ไม่แปลกใจเลยที่บุตรชายและศิษย์ของเจ้าจะกลายเป็นคนเช่นนี้ วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าและถอนรากถอนโคนความชั่วร้ายเหล่านี้! ก่อนที่ข้าจะกวาดล้างป้อมวายุทมิฬ ข้าจะใช้ชีวิตของเจ้าเป็นเครื่องสังเวยสำหรับคำอธิษฐานเพื่อชัยชนะ!” เป็นเพียงเวลานี้ที่แสงสีแดงในดวงตาของหลี่ฉิงซานปะทุขึ้น