SN-ตอนที่ 19 วาเลร่า
หลังจากที่เธอรู้สึกเหมือนกับได้กลับมาอีกครั้ง ในที่สุด วาเลร่า ก็วาง อัลดิช ลง และ ถอดหมวกใหญ่สีดำออก จากนี้จะเผยให้เห็นใบหน้าของเธอในที่สุด ในเวลาต่อมา เธอก็คุกเข่าลงบนพื้นหญ้าต่อหน้าของ อัลดิช และ ด้วยใบหน้าที่ขาวซีดของเธอ จะเห็นได้ชัดว่าเธอเป็นอันเดดเหมือนกับเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกผสมระหว่าง ดูลาฮาน และ แวมไพร์ เพราะคุณลักษณะของเธอสะท้อนให้เห็นถึงสองสิ่งนี้ ดวงตาของเธอมีสีดำที่ดูค่อนข้างเฉียบคมและดุร้ายอีกทั้งรูม่านตาที่อยู่ตรงกลางยังเป็นสีแดงเลือดนกที่ดูเป็นประกาย
ผมสีดำของเธอเป็นสีดำเข้มที่จัดทรงเป็นผมบ็อบแบบหยาบ ๆ และ ดูยุ่งจรดคอเธอเล็กน้อย อีกทั้งยังมีผมหน้าม้าที่พาดมาด้านหน้าและปิดบังตาซ้ายของเธอ
ริมฝีปากของเธอมีสีดำอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับเล็บของเธอ ดูเหมือนว่า นี่คือลักษณะที่ อัลดิช ที่คุ้นเคยมากที่สุด
“เธอยังดูดีเหมือนเดิมเลย”อัลดิช กล่าวออกมา ในลักษณะของตัวเอง วาเลร่า ถูกจำลองออกมาให้มีความงามที่น่าทึ่ง และ ในชีวิตจริงนี้ รูปลักษณ์ของเธอก็ยิ่งดูโดดเด่นมากกว่าเมื่อเทียบกับเกมกราฟฟิกต่าง ๆ
อัลดิช พยายามบังคับร่างกายและจิตใจของเขาไม่ให้เพ่งความสนใจไปที่รูปลักษณ์ของเธอ และ เขาก็สงสัยว่าตราบใดที่เขามีจุดมุ่งหมาย เขาก็จะไม่ถูกรบกวนจะผลกระทบของสิ่งเหล่านั้น
นี่คือคุณภาพของอันเดดที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างอัลดิช - มีหลายอย่างที่เกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์เช่นเดียวกับ การล้างแค้นหรือการหลอกหลอน ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถขจัดอารมณ์ที่ไม่จำเป็นออกไปได้
แต่ในทางตรงกันข้ามกับ อันเดด เช่น แวมไพร์ หรือ ดูลาฮาน ที่กลายเป็นอันเดด พวกเขาจะสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์อย่างเต็มรูปแบบได้โดยที่ไม่มีปัญหาอะไร และ แน่นอนว่า ความคิดทางศีลธรรมและสัญชาตญาณของพวกเขาจะแตกต่างจากของมนุษย์
“ขะ…ขอบคุณนายท่าน”วาเลร่า พูดขณะที่เธอหลับตาและรับคำชมเหล่านั้น จากนั้น เธอก็มองขึ้นไปที่ อัลดิช และ กล่าวออกมา “นายท่าน ท่านเองก็ดูดีเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดรูปลักษณ์ของท่านจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ แต่ดูเหมือนว่าท่านจะกลายเป็นอันเดดไปแล้ว อีกทั้งอุปกรณ์วิเศษเหล่านั้นยังหายไปทั้งหมดอีก”
“รูปลักษณ์ของฉันทำให้เธอไม่พอใจงั้นเหรอ?”
“เปล่า เจ้าค่ะ เพียงแต่ข้าแค่ประหลาดใจเท่านั้น”วาเลร่า กล่าวพูดอย่างกังวลใจ
“อ่า เกี่ยวกับเรื่องอุปกรณ์เหล่านั้น ฉันหมายถึง…”อัลดิช ได้กล่าวออกมา“เธอกำลังสงสัยเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่หายไป แม้ว่าเธอจะยังจดจำอดีตได้ใช่รึไม่?”
“ใช่ ข้าค่อนข้างสงสัยในเรื่องนี้”วาเลร่า กล่าวออกมา
“แต่ให้ฉันถามก่อน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ วาเลร่า?”อัลดิช กล่าวถาม“หลังจากที่ฉันจากไป?”
“เมื่อเราสังหาร ฮาวลิ่งดาร์ก ด้วยกันในตอนนั้น พวกเราก็แยกทางกัน ข้าได้กลับไปที่โลกใต้พิภพ เพื่อพักผ่อน ในขณะที่นายท่านจะต้องพูดคุยกับ สหภาพผู้ปกครอง เกี่ยวกับชัยชนะของพวกเรา”วาเลร่า กล่าวออกมา
อัลดิช พยักหน้า เขารู้ส่วนนี้ หลังจากที่ ฮาวลิ่งดาร์ก บอสตัวสุดท้ายพ่ายแพ้ ผู้เล่นจะต้องกล่าวสุนทรพจน์อันยิ่งใหญ่ต่อ สหภาพผู้ปกครอง ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรของทุกเชื้อชาติที่มารวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามอย่าง ฮาวลิ่งดาร์ก และ บอกพวกเขาว่าสงครามได้จบลงแล้ว
ยูนิตที่ถูกอัญเชิญมาใด ๆ ก็ตาม จะไม่ได้รับการเข้าสู่ฉากคัตซีนสุดท้ายนี้ ดังนั้น วาเลร่า จึงได้กลับไปที่บ้านของเธอในโลกใต้พิภพ
“แล้วหลังจากนั้น?”อัลดิช กล่าวถาม
“หลังจากนั้น…ข้าเองก็ไม่รู้ เพราะหลังจากที่ข้ากลับไปยังโลกใต้พิภพ…ทุกสิ่งก็เริ่มมืดมนไปหมด”วาเลร่า กล่าวพูดออกมา“ในโลกใต้พิภพมีความมืดมิด ใช่แล้ว มันเป็นความมืดที่ครอบงำจิตใจของข้า และ ทำให้ข้าตกอยู่ในภวังค์แห่งการหลับใหลที่ยิ่งใหญ่ชนิดที่ข้ารู้สึกว่าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย”
“ในภวังค์นั้น ข้ารู้สึกว่าวันเวลาได้ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ซึ่งตลอดเวลานั้น ข้าได้รอการกลับมาของท่านอยู่ตลอด แต่ท่านก็ไม่กลับมา ดังนั้น ข้าจึงคิดว่าท่านได้หลับใหลไปในความมืดมิดเช่นเดียวกับข้า และ ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงเฝ้ารอการตื่นขึ้นมาของท่าน เพราะข้ารู้ว่าท่านจะไม่ทรยศต่อความไว้ใจของข้า นายท่านที่รักของข้า”
“ข้าเฝ้ารอวันที่ท่านจะตื่นขึ้นมาและเรียกหาข้า”
“และในขณะเดียวกัน ข้าก็ฝันถึงการผจญภัยของพวกเรา การต่อสู้ที่ผ่านมาของพวกเรา รวมถึงการรวมตัวกันอีกครั้งของพวกเรา”
น้ำเสียงของ วาเลร่า ได้กลายเป็นปลื้มปิติจนกระทั่งหยดน้ำตาได้ปรากฏขึ้นที่หางตาของเธอ อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา ราวกับว่าเธอยังมีความภาคภูมิใจของนักรบ
“เป็นเวลากว่าหลายปีแล้วที่ข้าเฝ้ารอการกลับมาขอท่าน”
“ฉันขอโทษ วาเลร่า”อัลดิช กล่าวขณะที่คุกเข่าและวางมือบนไหล่ของเธอ“ฉันเองก็คิดถึงพวกเธอ และ แน่นอนว่าหลังจากนี้พวกเราจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง”
“ค่ะ”วาเลร่า ตอบกลับพร้อมกับพยักหน้า เธอยิ้มให้กับ อัลดิช และ กล่าวออกมา“อืม เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเราถึงกลับมาสู่ความอ่อนแอในระดับนี้ แต่ข้าไม่สนว่าพวกเราจะเริ่มจากการกลายเป็นผู้อ่อนแอมากแค่ไหน เพราะท้ายที่สุด พวกเราก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขึ้นไปพร้อมกัน”
“ใช่แล้ว ฉันจะไม่มีวันทิ้งเธอไปอีก” อัลดิช กล่าวออกมา
สิ่งนี้ทำให้รอยยิ้มของ วาเลร่า กว้างขึ้นจนเผยให้เห็นเขี้ยวแวมไพร์ของเธอ “ใช่ และใครก็ตามที่กล้าแยกพวกเราออกจากกัน ข้าจะฉีกพวกมันเป็นชิ้น ๆ แม้แต่กระดูกก็จะทำลายไม่ให้เหลือ!”
“ฉันรู้สึกยินดียิ่งนักที่เธอยังเหลือจิตวิญญาณต่อสู้ที่ดีเช่นนี้”อัลดิช กล่าวออกมา พร้อมกับยืนขึ้น วาเลร่า ก็เช่นเดียวกัน เธอได้ยืนตัวแข็งทื่อราวกับ อัศวิน โดยส่วนสูงของ อัลดิช ประมาณ 5’11 (-180 ซม.) ในขณะที่ วาเลร่า สูงเป็นพิเศษ 6’3 (-190 ซม.) โดยไม่มีเกราะ
นั่นจะทำให้การปกปิดตัวตนของเธอกลายเป็นยากขึ้นเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปแล้วด้วยรูปร่างหน้าตาของเธอ นั่นก็หมายความว่าเธอสามารถเยี่ยมชมเมืองต่าง ๆ ข้าง ๆ อัลดิช ได้โดยที่ไม่ต้องปลอมตัวมากนัก เพราะเธอดูเหมือนสาวตัวสูง ซึ่งไม่ได้ดูแปลกไปสำหรับเมืองที่มักมีความหลากหลายและหลากสีสัน
หากรายการเริ่มต้นของเธอยังเหมือนอยู่ในเกม เธอก็จำเป็นจะต้องมีชุดอุปกรณ์ลำลองที่เป็นชุดเดรสสีดำที่ช่วยเพิ่มความกลมกลืนมากยิ่งขึ้น
“ใช่แล้ว วาเลร่า มีอย่างนึงที่เธอต้องระวัง”อัลดิช กล่าวออกมา “ที่นี่คือ…โลกใหม่ มันไม่เหมือนกับโลกที่เธอเคยรู้จักมาก่อน เพราะทุกสิ่งที่นี่ค่อนข้างแตกต่างออกไป แต่ฉันรู้ดีว่าโลกนี้ทำงานอย่างไร ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร เธอจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉัน”
“ข้าพร้อมที่จะทำตามคำสั่งของท่าน นายท่านของข้า”วาเลร่า พูดพร้อมกับโค้งคำนับ
“และนั่นหมายความว่าจะไม่มีการใช้ [โลหิตคลั่ง] เว้นแต่จะจำเป็นจริง ๆ”อัลดิช กล่าวออกมา ในฐานะที่เธอเป็นลูกครึ่งแวมไพร์ วาเลร่า สามารถเข้าถึงความสามารถทางเชื่อชาติอย่าง [โลหิตคลั่ง]ได้ สิ่งนี้จะเปลี่ยนเธอจากนักรบเกราะให้กลายเป็นนักสู้ที่ต่อสู้ด้วยหมัด
โดยบุคลิกภายในเกมของเธออธิบายไว้ว่า เธอมีอารมณ์ที่ร้อนแรงและรุนแรงเท่ากับความภักดีของเธอที่มีต่อเจ้านายที่คู่ควร ซึ่ง อัลดิช เพียงแค่หวังว่า จิตวิญญาณของเธอ จะไม่มาบดบังการตัดสินของเธอ เพราะหลังจากที่เธอเข้าสู่สถานะ [โลหิตคลั่ง] เธอจะกลายเป็นยูนิตที่ไม่สามารถควบคุมได้ และ จะไม่สนใจกลยุทธ์
หากเทียบกับชีวิตจริง วาเลร่า ก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่เลือกโจมตีทุกอย่างที่เคลื่อนที่ออกจาก อัลดิช และ ยูนิตของเขา
“แน่นอน นายท่านของข้า”วาเลร่า กล่าวออกมา“ข้าจะระงับความอยากของตัวเอง และ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สามารถดับความกระหายในการต่อสู้ได้ แต่ข้าก็จะดับมันข้างนอก”
เธอมองไปรอบ ๆ สไตร์เกอร์ อดัม และ เอเลเน่ จากนั้นก็ทำหน้าบูดบึ้ง “ข้ารู้สึกไม่ชอบอันเดดพวกนี้เอาซะเลย”
ดวงตาของ วาเลร่า ได้จ้องมองไปที่ เอเลเน่ และเลิกคิ้วในทันที “นายท่าน คนผู้นี้ หรือว่าจะเป็น คนที่ท่านรู้จักก่อนเป็นอันเดด? แต่ข้าต้องขอบอกเลยว่า ในฐานะอัศวินที่ซื่อสัตย์ต่อท่านที่สุดเธอไม่เหมาะสมกับท่าน”
“ฉันรู้”อัลดิช กล่าวออกมา และ มองไปที่ เอเลเน่ พร้อมกับ อดัม “ถึงเธอจะพูดแบบนั้น แต่ฉันก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ฉันเป็นคนที่ไม่สามารถมอบความสุขให้ใครได้ แต่สิ่งที่ฉันต้องการเห็นก็คือความสุขของพวกเขา และ ฉันก็อยากจะให้พวกเขามีชีวิตที่ดีและเติบโตไปได้อย่างสง่างาม แต่ตอนนี้พวกเขากลับเหลือแค่นี้แล้ว” อัลดิช ถอนหายใจออกมาพร้อมกับสั่นศีรษะ“เธอ…ไม่สิพวกเขาเคยเป็น เพื่อนสนิทของฉัน วาเลร่า หวังว่าเธอจะเข้าใจฉัน ดังนั้น ฉันหวังว่าเธอจะให้ความเคารพพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน”
“แน่นอน นายท่านของข้า”วาเลร่า พูดพร้อมกับพยักหน้า“หากพวกเขาเคยเป็นเพื่อนของนายท่าน พวกเขาก็เป็นสหายของข้าด้วย และ นายท่านของข้า ดูเหมือนว่าคำพูดของท่านที่บอกว่าท่านไม่สามารถมอบความสุขให้ใครได้นั่นไม่ใช่เรื่องจริงเลย…”
“ท่านทำให้ข้ารู้สึกมีความสุข ทั้งในอดีต และ ในปัจจุบันตอนนี้ ไม่สิ มันยิ่งดีกว่าตอนนั้นเสียอีก”
“อืม และฉันต้องการให้เธอเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็นความแข็งแกร่งเพื่อฉัน” อัลดิช กล่าวออกมา เขารู้ว่า วาเลร่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารมณ์ที่อ่อนไหว ดังนั้น เขาจะต้องดูแลเธอให้ดี เพื่อรักษาความภักดีของเธอเอาไว้
วาเลร่า หน้าแดงและนิ่งเงียบ ดูเหมือนว่าเธอจะรับคำของ อัลดิช อย่างมีความสุข
อัลดิช ได้แสดง [หนังสือแห่งความมืด 2] จากคลังของเขา
หนังสือที่ถักไปด้วยเนื้อหาอีกเล่มได้ปรากฏขึ้นในมือของเขา
“อ่า ท่านคิดจะเรียนสกิลเพิ่มใช่หรือไม่?” วาเลร่า กล่าวออกมา ขณะที่เธอมองไปที่ อัลดิช จากนั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขา และ เธอก็สามารถเห็นสถานะของ อัลดิช ได้ “จากที่เห็นตอนนี้ท่านเลเวล 6 และ สามารถรับสกิลเพิ่มเติมได้อีก 3 หาก พิจารณาจากการที่มันเป็น [หนังสือแห่งความมืด 2] ท่านคงคิดที่จะเอา [ระเบิดกลิ่นอายพลังงานเชิงลบ] [เรียกอันเดด (ระดับ 1)] และ [ความพรั่งพรูของพลังงานเชิงลบ] ใช่หรือไม่?”
“ใกล้เคียงแต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด”อัลดิช กล่าวออกมา ดูเหมือนว่า วาเลร่า จะจำสิ่งที่เขาได้รับมาหลังจากที่พวกเขาผ่านการผจญภัยมาด้วยกันได้ ซึ่ง สกิลที่เธอระบุเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการต่อสู้
[ระเบิดกลิ่นอายพลังงานเชิงลบ] สามารถปล่อยคลื่นพลังออกมาเพื่อรักษาอันเดดให้ฟื้นคืนจากความเสียหาย [เรียกอันเดด (ระดับ 1)] อนุญาติให้สร้างอันเดดเริ่มต้นได้ ในขณะที่ [ปลุกอันเดด] จำเป็นต้องการศพ และ [ความพรั่งพรูของพลังงานเชิงลบ] สามารถบัฟพันธมิตรที่มีสถานะทางกายภาพเพิ่มขึ้นได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น
“ฉันจะรับเอา [ระเบิดกลิ่นอายพลังงานเชิงลบ] , [เรียกอันเดด (ระดับ 1)] แต่ฉัน จะไม่รับ [ความพรั่งพรูของพลังงานเชิงลบ] ส่วนตัวเลือกสุดท้ายที่จะเอา มาดูกัน…”
ดวงตาสีเขียวของ อัลดิช ได้เผยให้เห็นประกายเมื่อเขาเห็นรายการสกิลมากกว่า 15 รายการ และ หลังจากนั้นเขาก็เห็นสิ่งที่เขาต้องการ “อ่า ฉันจะเอา [ความกลัวที่ครอบงำ]
[ความกลัวที่ครอบงำ] เป็นสกิลโจมตีที่จะสร้างหมอกแห่งความมืดขึ้นมา และ เมื่อ หมอกแห่งความมืดสัมผัสกับศัตรู มันจะเข้าปกคลุมศีรษะของพวกเขา และ สร้างฝันร้ายที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับดูดกลืนพลังชีวิตของพวกเขาซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายทางจิต
ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสกิลนี้จำเป็นจะต้องดิ้นรนเพื่อหลบหนีอย่างต่อเนื่อง และหากมีความต้านทานความเสียหายทางจิตหรือมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งก็จะสามารถยกเลิกสกิลนี้ได้ง่ายขึ้น
ในการต่อสู้ [ความกลัวที่ครอบงำ] นั้นไม่ได้มีประโยชน์ขนาดนั้น และ แน่นอนว่ามันสามารถใช้สตั้นเป้าหมายเดี่ยวได้เป็นอย่างดี แต่มันก็เคลื่อนที่ช้ามาก ซึ่งอาจจะโดนการป้องกัน หรือ การหลบหลีกที่ดูค่อนข้างง่าย
“[ความกลัวที่ครอบงำ]?” เวเลร่า ดูสับสนเล็กน้อย “นายท่าน ท่านแน่ใจงั้นหรือ ดูเหมือนว่าสกิลนี้จะไม่ได้มีประโยชน์ในสนามรบเท่ากับ [ความพรั่งพรูของพลังงานเชิงลบ] ที่สามารถช่วยเสริมพลังให้กับอันเดดได้ อีกทั้งยังสามารถขับไล่สิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายออกไปจากการทำร้ายท่านได้”
“มันก็อย่างที่ฉันพูด วาเลร่า โลกนี้เป็นโลกที่แตกต่างออกไป และ สนามรบไม่ใช่ทั้งหมดที่ฉันมี ฉันยังต้องทำอีกหลายสิ่งหลายอย่าง เช่นการสอบสวน และ ไม่มีอะไรดีไปกว่าความสยดสยองและความเจ็บปวดที่จะทำให้คนพูด”
“อ่า นั่นก็ถูกของท่าน” วาเลร่า พูดอย่างไม่ใส่ใจ “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่นักทรมาน แต่ข้าก็รู้วิธีทุบตีเพื่อทำร้าย ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อการฆ่า แต่ข้าก็สามารถช่วยท่านทรมานคนได้เช่นเดียวกัน!”
เธอพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น
“เอาเป็นว่าเมื่อถึงเวลา ฉันจะปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการของเธอ”อัลดิช กล่าวพูดด้วยรอยยิ้ม และ เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นในใจของเขา