ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 44 ผู้นำนิกายถ้ำมังกร
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 44 ผู้นำนิกายถ้ำมังกร
แปลโดย iPAT
เสี่ยวเฮยกล่าว “ท่านหัวหน้า โปรดถนอมร่างกาย!”
“ข้าสบายดี คนจากป้อมวายุทมิฬและนิกายถ้ำมังกรจากไปหรือยัง?”
“พวกเขายังอยู่ พวกเขาต้องการพบท่านให้ได้!”
“บอกพวกเขาว่าข้าป่วยหนัก ข้าไม่สามารถออกไปพบพวกเขา หากผู้ใดพยายามใช้กำลังบังคับ ยิงพวกเขาให้ตาย!” ฮวงปิงหูวางมือทั้งสองข้างไปด้านหน้าเตาไฟ
“ช่างกล้าหาญนัก หัวหน้านักล่า! เจ้าจะยิ่งข้าให้ตายงั้นหรือ” ทันใดนั้นเสียงสายหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอก ประตูถูกทำลาย สายลมกรรโชกแรงพุ่งเข้ามา ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนบัณฑิตและมีดาบแขวนอยู่ที่เอวยืนอยู่หน้าประตู สายตาของเขาแหลมคมและส่องประกายเหมือนดาบ ชัดเจนว่าเขาไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเสื้อผ้าที่สวมใส่
ฮวงปิงหูกระโจนออกไปและป้องหมัดกล่าว “ท่านผู้นำนิกายหยาง ไม่พบกันนาน!”
ภายในรัศมีห้าสิบลี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ถูกเรียกว่าผู้นำนิกาย คนที่พึ่งมาถึงคือผู้นำนิกายถ้ำมังกร หยางอันจื่อ นิกายถ้ำมังกรมีชื่อเสียงในด้านทักษะการเคลื่อนไหว ในแง่ของการต่อสู้ เขาอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองชิงหยาง
บุตรหลานของตระกูลมั่งคั่งที่ต้องการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้มักจะถูกส่งตัวไปยังนิกายถ้ำมังกร การรวมตัวของคนตระกูลใหญ่และนิกายที่มีชื่อเสียงทำให้พวกเขาถูกพิจารณาว่าเป็นกองกำลังฝ่ายธรรมะของเมืองชิงหยาง
หยางอันจื่อตรวจสอบฮวงปิงหู “เจ้าหายป่วยแล้วจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าปฏิเสธที่จะพบผู้อาวุโสของนิกายข้า ข้าจะไม่พูดมาก โสมจิตวิญญาณอยู่ที่ใด?”
ฮวงปิงหูกล่าว “ข้าไม่เคยเห็นโสมจิตวิญญาณมาก่อน ท่านผู้นำนิกายหยาง ท่านวางแผนที่จะข่มเหงหมู่บ้านบังเหียนม้าเพราะเรามีคนน้อยกว่างั้นหรือ?” ธนูจำนวนมากเล็งไปที่หยางอันจื่อ
หยางอันจื่อกล่าว “หากเจ้ามีธนูแยกหิน เจ้าอาจหยุดข้าได้ แต่ตอนนี้เจ้าจะใช้สิ่งใดต่อต้านข้า?”
ฮวงปิงหูหรี่ตา “เจ้าต้องการกล่าวสิ่งใด?”
หยางอันจื่อกล่าวต่อ “เจ้าป้อมซ่งอยู่ด้านนอก ธนูแยกหินของเจ้าฆ่านายน้อมสามของพวกเขา เจ้าตั้งใจจะสู้กับพวกเราจริงๆงั้นหรือ?”
ฮวงปิงหูเย้ยหยัน “ผู้ใดจะคิดว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของกองกำลังฝ่ายธรรมะแห่งเมืองชิงหยางจะคลุกคลีกับโจรภูเขาเช่นนี้ เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ? อ้อ ข้าลืมไป เจ้าก็ไม่ต่างจากพวกเขา พวกเจ้าเก่งเรื่องรังแกคนอ่อนแอกว่าและกดขี่คนดี ข้าไม่สามารถเปรียบเทียบกับพวกเจ้าจริงๆ ผู้นำนิกายหยาง เจ้าเพียงหาเงินได้เก่งกว่าเท่านั้น”
ความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยางอันจื่อ เขาวางมือลงบนด้ามดาบแต่เสียงธนูที่ถูกดึงจนตึงจากรอบข้างทำให้เขาหยุดเคลื่อนไหว เขากล่าวเสียงเย็น “หัวหน้านักล่าฮวง เจ้าอาจไม่กลัว แต่เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น เจ้าคิดว่าจะมีกี่คนที่รอดไปได้?”
ฮวงปิงหูกล่าว “ข้ากินโสมจิตวิญญาณไปแล้ว ผู้นำนิกายหยาง ต่อให้เจ้าพยายามขู่ข้า เจ้าก็จะไม่ได้รับสิ่งใด”
หยางอันจื่อตอบ “โสมจิตวิญญาณอยู่ในมือเจ้าจริงๆ อย่าพยายามหลอกข้า โสมจิตวิญญาณไม่สามารถย่อยได้ในระยะเวลาอันสั้นและไม่สามารถกินโดยคนเพียงผู้เดียว เจ้าใช้มันมานานมากแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าจะส่งมันออกมาแล้ว หากเจ้าไม่ขัดขืน ข้าอาจช่วยขับไล่เจ้าป้อมวายุทมิฬ”
ฮวงปิงหูกล่าว “ข้าบอกว่าข้ากินไปแล้วก็คือกินไปแล้ว หากเจ้าไม่เชื่อก็เข้ามา!”
ธนูถูกดึงจนสุดพร้อมกับดาบที่ถูกชักออกจากฝัก การต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้น
ทันใดนั้นเสี่ยวเฮยที่อยู่ด้านหนึ่งพลันเปิดปากกล่าว “เราไม่เคยเห็นโสมจิตวิญญาณมาก่อนจริงๆ ท่านหัวหน้าของเราหายดีเพราะดื่มสุราหมักของหลี่ฉิงซาน หากเจ้าต้องการมันก็ไปหาเขา!”
ดวงตาของหยางอันจื่อส่องประกายขึ้นขณะที่ฮวงปิงหูระเบิดความโกรธออกมา “หุบปาก!”
เสี่ยวเฮยโต้แย้ง “ท่านหัวหน้า เขาเป็นเพียงคนนอก เขามอบสุราหมักให้ท่านแต่เขาก็นำธนูแยกหินของท่านไป เราไม่ได้ติดหนี้เขา เหตุใดท่านต้องปกป้องเขาถึงเพียงนี้? ข้าก็ทำเพื่อหมู่บ้านของเราเช่นกัน!”
หยางอันจื่อยิ้ม “เข้าใจแล้ว ข้ากล่าวหาพี่ฮวงผิดไปแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ทักษะของเด็กนั่นจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ลาก่อน” หลังกล่าวจบคำ เขาก็หายตัวไปทันที หากหลี่ฉิงซานอยู่ที่นี่ เขาจะสามารถบอกได้ว่าทักษะนี้คล้ายกับทักษะของหยางจุนเป็นอย่างมาก แน่นอนว่ามันเหนือกว่านับสิบเท่า
เมื่อไม่ได้รับคำสั่ง กลุ่มนักล่าก็ไม่กล้ายิงลูกธนูของพวกเขาออกไป หยางอันจื่อทิ้งข้อความเย้ยหยันไว้เบื้องหลัง “หัวหน้านักล่าฮวงมีทักษะในการดูแลลูกน้องที่ยอดเยี่ยมจริงๆ คนในหมู่บ้านนี้ล้วนคิดถึงภาพรวมก่อนเสมอ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ใบหน้าของฮวงปิงหูกลายเป็นยิ่งน่าเกลียด โดยทั่วไปผู้นำของกองกำลังจะมีอำนาจเด็ดขาดเสมอ ตราบเท่าที่พวกเขาตัดสินใจ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด พวกเขาก็จะไม่ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามอำเภอใจเช่นนี้
“หลี่ฉิงซานช่วยชีวิตข้าไว้ แม้จะเสี่ยงแต่เขาก็มอบสุราจิตวิญญาณให้ข้า นั่นเป็นเพราะเขาเชื่อใจข้า หากเขาไม่ส่งมอบมันออกมาจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาครอบครองโสมจิตวิญญาณอยู่ เจ้าข้ามเส้นไปแล้ว เจ้าทำให้ข้าตอบแทนความเมตตาด้วยปัญหา!”
เสี่ยวเฮยคุกเข่าลง “ข้ายินดีรับโทษ”
กลุ่มนักล่ามารวมตัวกันและพยายามเกลี้ยกล่อมฮวงปิงหู “ท่านหัวหน้า เสี่ยวเฮยทำไปเพื่อหมู่บ้าน”
…..
หลี่ฉิงซานมองหนึ่งในสองชายหัวล้านวิ่งเข้าไปรายงานขณะที่อีกหนึ่งยืนตัวสั่นอยู่ที่ประตูทางเข้าสำนัก เขาถอนหายใจ “ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?”
ชายหัวล้านโทษได้เพียงขาของเขาที่ออกวิ่งช้าเกินไปและปล่อยให้สหายชิงตัดหน้าหนีไป สำหรับคำถามที่ว่าน่ากลัวหรือไม่ ชายผู้นี้ไม่กล้าตอบ เขารู้เพียงว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาฆ่าโจรหลายสิบคนด้วยตัวเขาเพียงลำพัง ชายหัวล้านยังได้ข่าววงใจมาว่าหลี่ฉิงซานทรมานนายน้อยสามของป้อมวายุทมิฬจนตาย หากคนเช่นนี้ไม่น่ากลัว แล้วคนเช่นไรที่เรียกว่าน่ากลัว?
ชายหัวล้านที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อในวัยสามสิบถูกมองว่าน่ากลัวสำหรับคนทั่วไปแต่คนผู้นี้กลับหวาดกลัวเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะและปราศจากร่องรอยของความดุร้ายบนใบหน้าหรือร่างกาย
มันเหมือนหนูที่เห็นแมวและรู้สึกหวาดกลัว หลี่ฉิงซานเข้าใจทันทีว่าชื่อของเขากระจายออกไปแล้ว แม้มันจะพึ่งเริ่มต้น แต่คำว่าเสือโคร่งซึ่งไม่ใช่ฉายาที่น่าพึงพอใจนักก็ยังเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว
ไม่นานหลังจากนั้นหลี่หลงก็ออกมา เมื่อเขาเห็นหลี่ฉิงซาน หัวใจของเขากลายเป็นเต้นผิดจังหวะ เขากลัวที่จะสบตากับอีกฝ่าย เขานึกถึงภาพที่น่าสยดสยองบนภูเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนและไม่สามารถรักษาความสงบในหัวใจ
เขาบังคับปั้นรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า “โอ้ ฉะ...ฉิงซาน! สำนักกำปั้นเหล็กยินดีต้อนรับ ท่านอาจารย์กำลังรอเจ้าอยู่!”
หลี่ฉิงซานเดินตามหลี่หลงเข้าไปในสำนัก เขาเห็นกำแพงหินที่สลักคำว่า ต่อสู้ เอาไว้ เขาเดินผ่านสนามฝึกซ้อมขนาดใหญ่ เขาเห็นชายฉกรรจ์เปลือยหน้าอกยืนเรียงแถงสองข้างทางเพื่อต้อนรับเขา แต่ใบหน้าของทุกคนกลับดูค่อนข้างน่าเกลียด
หลิวหง เจ้าสำนักกำปั้นเหล็กสาขาเมืองชิงหยางนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่ด้วยท่าทางที่น่าเกรงขาม เขาถามด้วยเสียงที่หนักแน่น “เจ้าคือเสือโคร่งหลี่ฉิงซานงั้นหรือ?”
หลี่ฉิงซานขมวดคิ้วที่ถูกเรียกด้วยฉายานี้ หากมีคนบอกเขาตอนนี้ว่าตราบเท่าที่เขาฆ่าบางคน เขาจะได้รับฉายาที่ดีกว่านี้ เขาจะรีบจัดการคนเหล่านั้นโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“อาจารย์กำลังถามเจ้าอยู่!” คนที่อยู่ใกล้หลิวหงที่สุดตะโกนเสียงดัง มัดกล้ามเนื้อของเขาขยายขึ้นเล็กน้อยพร้อมรอยสัก เส้นเลือดที่ขมับของเขาปูดโปนขึ้นเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง
หลี่ฉิงซานประเมินคนผู้นี้และตัดสินว่าเขาเป็นนักสู้ชั้นสาม ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชายรอยสักจะกล้าพูดกับเขาในลักษณะนี้ เพื่อครอบครองเมืองชิงหยาง สำนักกำปั้นเหล็กจำเป็นต้องมีคนเช่นนี้
หลี่หลงเร่งกล่าว “ศิษย์พี่ใหญ่ โปรดอย่าถือสา ฉิงซานมาจากหมู่บ้านห่างไกล เขาไม่ค่อยรู้จักธรรมเนียมต่างๆ” จากนั้นเขาก็ดึงแขนเสื้อของหลี่ฉิงซาน “เหตุใดเจ้าไม่ทักทายอาจารย์ของข้า?”
หลี่ฉิงซานป้องหมัดขึ้นอย่างระมัดระวัง “คารวะวีรบุรุษเฒ่าหลิว” อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้แสดงความเคารพมากนัก หลี่หงขมวดคิ้ว ศิษย์สำนักกำปั้นเหล็กทั้งหมดโกรธ
หลี่หลงลอบตำหนิอยู่ในใจ ‘เจ้ารุกรานป้อมวายุทมิฬ มีเพียงให้อาจารย์ของข้าและฮวงปิงหูจากหมู่บ้านบังเหียนม้าช่วยออกหน้า เจ้าจึงจะสามารถแก้ไขสถานการณ์นี้ อาจารย์ของข้าเป็นนักสู้ชั้นสอง นั่นยังไม่พอให้เจ้าให้ความเคารพอีกงั้นหรือ?’
“นี่คือศิษย์เอกของท่านอาจารย์ ผู้คนเรียกเขาว่า...” หลี่หลงกำลังจะแนะนำแต่หลี่ฉิงซานกลับโบกมือขัดจังหวะ “ข้าไม่จำเป็นต้องจำชื่อปลาเล็กตัวน้อย” เขาไม่ใช่คนสุภาพโดยเฉพาะกับศิษย์พี่ใหญ่ของหลี่หลงที่หยาบคายกับเขาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะสุภาพ
หลี่หลงหยุดพูด ใบหน้าของศิษย์พี่ใหญ่รอยสักกลายเป็นแดงก่ำขณะที่เขาพุ่งเข้าหาหลี่ฉิงซานทันที