วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0075
บทที่ 26 การเดินทางสู่ท้องฟ้า (2)
* * *
อันที่จริง ความสูงและขนาดของเกาะไม่ได้ถูกกะเกณฑ์อย่างเหมาะสม หากวัตถุขนาดใหญ่บนท้องฟ้าไกลๆ ไม่มีสิ่งข้างเคียงให้เปรียบเทียบ คงเป็นการยากที่จะวัดขนาดและระยะทางได้แม่นยำ เหมือนกับการพยายามเดาว่านกบนท้องฟ้าตัวใหญ่แค่ไหน หรือบินสูงแค่ไหน
ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร ขนาดและความสูงก็ยิ่งชัดเจน
ลิลี่คว้าบางสิ่งไว้แน่นพร้อมกับหลับตาสนิท จากนั้นก็มองมาทางฉันเพื่อตรวจสอบว่าสถานการณ์สงบลงหรือยัง
“ถึงข้างบนเมื่อไร พวกเราต้องคุยกัน”
“ถ้าขึ้นไปได้ล่ะนะ”
“…”
ลิลี่เผยสีหน้ากระวนกระวาย คล้ายกับกำลังตระหนักถึงความจริง
เกาะท้องฟ้าขยับเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว
ฉันจ้องไปยังเกาะท้องฟ้าที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
พื้นในจุดที่เรากำลังยืนมีลักษณะเป็นกระดานไม้แบนราบ ไม่ต้องกังวลว่าจะลื่นหล่น เพราะเถาวัลย์ที่เติบโตในทุกวินาทีคอยประคองไว้ทุกทิศ
“…นี่คือผลจากภาษารูนที่เจ้าใช้?”
ฉันส่ายหน้า
“เธอเคยสงสัยไหม ว่าทำไมป่าถึงต้องสร้างเมล็ดพันธุ์”
“ไม่ใช่เพื่อสืบพันธุ์หรือ”
ฉันส่ายหน้า
“ป่าไม่มีเหตุผลที่ต้องสืบพันธุ์ พวกเขาไม่มีอายุขัย ต่อให้ไม่มีลูกหลานก็ไม่เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์”
สำหรับสิ่งมีชีวิต วัตถุประสงค์ของการสืบพันธุ์ คือการอนุรักษ์สายพันธุ์เอาไว้
ในทางกลับกัน หากไม่มีความจำเป็นต้องอนุรักษ์สายพันธุ์ ก็ไม่จำเป็นต้องสืบพันธุ์
ป่าคือชีวิตเชิงธรรมชาติที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มต้นไม้ พวกเขาไม่ต้องสืบพันธุ์เพื่อวิวัฒนาการ
“แล้วทำไมป่าถึงสร้างเมล็ดพันธุ์?”
เมล็ดพันธุ์ของป่าเป็นแนวคิดเชิง ‘ขยายอาณาเขต’ จุดประสงค์คือการเพิ่มพื้นที่ปกครองด้วยอัตตาแยก ไม่ใช่สร้างลูกหลาน
ทว่า หากเมล็ดพันธุ์เติบโตในพื้นที่แห้งแล้งซึ่งไม่สามารถให้กำเนิดป่า เมล็ดพันธุ์จะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่แทน
และประโยชน์ก็คือ
“ส่งต่อความรู้”
ต้นถั่วที่เติบโตในพริบตาราวกับจะทะลวงท้องฟ้า ไม่มีทางที่จะหาสารอาหารมาเลี้ยงร่างกายขนาดมหึมาไหว
แต่เนื่องด้วยความสูง ต้นถั่วสามารถก้มมองโลกได้ทั้งใบ
จากนั้นก็ตะโกนอย่างกึกก้อง
เป็นการตะโกนในรูปแบบของป่า
โผละ! โผละ!
ผลไม้จำนวนมากเติบโตบนเถาวัลย์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระจายสปอร์ไปทั่วโลก
เฉกเช่นละอองเกสรดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ สายลมหอบพวกมันกระจายไปทั่วทุกมุมทวีป
“…นี่คืออะไร? ละอองเกสร?”
“ความรู้ของป่า”
“ความรู้?”
หงึก
คนทั่วไปจะไม่ได้เห็นฉากนี้ง่ายนัก เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายใต้ปัจจัยและเงื่อนไขที่เข้มงวด
“ป่าจะใช้สปอร์เพื่อถ่ายทอดความรู้ของตนไปยังป่าอื่นๆ และพืชพรรณ นั่นจะทำให้ผืนป่าทั้งหมดแข็งแกร่งขึ้น”
“…”
“ทางรอดของป่าคือการแบ่งปันข้อมูล ไม่ใช่ผลิตลูกหลาน”
ความรู้ที่บรรจุในแต่ละสปอร์จะถูกส่งต่อไปยังป่าไม้และพืชพรรณ
สำหรับตอนนี้ ป่าใต้ดินกำลังเป็น ‘ครู’ ให้ป่าอื่น
ป่าใต้ดินได้ใส่เจตจำนงดังกล่าวลงในเมล็ดพันธุ์
ฉันเองก็ไม่อยากใช้เมล็ดพันธุ์ป่า เพียงเพื่อขึ้นไปบนเกาะท้องฟ้าเหมือนกัน
ก้มมองลงไป
ภายในต้นไม้ใหญ่ที่ไม่หยุดงอกเงย ฉันเห็นทางเดินขั้นบันไดที่ลาดลง
เส้นทางสำหรับกลับลงไปยังพื้นดินอย่างปลอดภัย
เมื่อวาน ป่าบอกกับฉัน
เพื่อตอบสนองความต้องการของฉัน เขาจะสร้างเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาใหม่
นี่คือสิ่งที่ป่าหมายถึง
“…สมกับเป็นป่าเก่าแก่ ลูกเล่นเยอะมาก”
ป่าใต้ดินทั้งละเอียดอ่อน ลุ่มลึก และรอบคอบ แตกต่างจากป่าเบอร์มิวด้า
กึก—!
ต้นไม้งอกเงยจนถึงขีดสุด
กะเกณฑ์ด้วยสายตา จุดนี้อยู่สูงกว่าเกาะท้องฟ้าราวสองร้อยเมตร
เถาวัลย์ค่อยๆ ถักสานกลายเป็นสะพานที่แข็งแรง
ลิลี่และฉันก้มหน้ามองสะพานเถาวัลย์ที่กำลังทอดยาวไปยังเกาะท้องฟ้า
ภายในใจครุ่นคิด
“…นั่นมันโบราณสถานไม่ใช่หรือ”
สิ่งก่อสร้างตรงกลางมียอดแหลมสูง ใกล้เคียงกับหอคอยของปราสาท
อาคารรอบๆ ก็ดูพิเศษ จำเป็นต้องเข้าไปสำรวจเพื่อค้นหาความจริง
ตอนนี้ยังมองไม่เห็นมังกร
ก็ไม่แปลกอะไร คงกำลังซ่อนอยู่ในจุดที่สายตามองไม่เห็น
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ผู้คนกำลังเดินขวักไขว่เข้าไปในอาคารที่กำลังส่องแสง
อารยธรรมที่สร้างขึ้นในยุคทอง
ดูเหมือนว่าจะดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
“…ลิลี่”
“อื้อ”
“รออยู่ที่นี่ก่อน… เรลิกซิน่า”
“กรร—”
“เมื่อฉันส่งสัญญาณ ให้รีบวิ่งลงไปด้วยความเร็วสูงสุด”
“กรร…”
ฉันตัดสินใจรอดูลาดเลาก่อน
หากที่นี่ยังมีคนอาศัยอยู่จริง พวกเขาจะต้องสังเกตเห็นเราแล้ว
ฉันจึงตัดสินใจจะรอสักชั่วโมง
ระหว่างการรอ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเกิดขึ้นบนเกาะท้องฟ้า
น่าแปลกมาก กลุ่มสิ่งมีชีวิตด้านล่างคือผู้คนไม่ผิดแน่ และไม่ใช่แค่คนสองคน คำนึงจากสายตาเบื้องต้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับหมู่บ้าน
“…ทำไมพวกเขาถึงไม่ตอบสนอง”
ลิลี่ถามตรงประเด็น
ถ้ามีใครเข้าใกล้เกาะท้องฟ้าจากด้านล่าง เป็นธรรมดาที่ผู้คนด้านบนจะตอบสนองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ฉันกำลังรอดูปฏิกิริยาของพวกเขา จากนั้นค่อยลงมือขั้นถัดไปอย่างเหมาะสม
แต่คิดไม่ถึงว่า พวกเขาจะไม่ตอบสนองเลย
ถ้านั่นเป็นคนจริงๆ ล่ะนะ
คำตอบไม่ซับซ้อน
“พวกเขาไม่ใช่คนปรกติ”
“ก็นะ… คงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”
ในเมื่อได้ข้อสรุป สงครามประสาทเป็นอันจบลง ถึงเวลาต้องตัดสินใจ
ตามความคิดของฉัน เรายังเข้าไปได้อีกนิด ในระยะทางที่มั่นใจว่าปลอดภัย
“ลิลี่”
“อื้อ”
“จากนี้ไป ฉันจะเข้าไปดูใกล้ๆ”
คังซอนฮูมัดเชือกด้านหน้าแจ็กเกตเข้าหากัน
เห็นอย่างนี้ก็เป็นถึงผลิตภัณฑ์พิเศษ ระดับเดียวกับเกราะหนังสำหรับต่อสู้
“เธอรอที่นี่ก่อน”
“อื้อ”
การไปด้วยกันจะไม่สะดวกในหลายเรื่อง ทั้งการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและเสียงลมหายใจ
ฉันตัดสินใจเข้าไปดูลาดเลาก่อน เพื่อยืนยันความปลอดภัย จากนั้นค่อยเรียกลิลี่
ฉันย้ำเท้าลงไป
แอ๊ด~
เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของไม้บิดดังขึ้น แม้จะไม่ดัง แต่ด้วยตำแหน่งปัจจุบัน นั่นไม่ต่างอะไรกับกลองรบ
“…ระวังตัวด้วย”
ฉันพยักหน้ารับคำพูดลิลี่โดยไม่หันกลับไปมอง เพราะนับแต่นี้ไป ทุกการเปลี่ยนแปลงด้านหน้าล้วนสำคัญ
ฉันใช้หางตาชำเลืองลงไปด้านล่าง
ระหว่างช่องว่างเถาวัลย์ที่ถักสานกลายเป็นสะพาน ฉันเห็นดินแดนสีขาว และเมฆก้อนเล็กๆ ที่ลอยผ่านไป รวมถึงสายลมรุนแรงที่พัดกระโชกใส่ตลอดเวลา
“…ตามหลักการแล้ว ความสูงระดับนี้ต้องใช้สายนิรภัย”
“คนอย่างเจ้ามีหลักการกับเขาด้วยหรือ”
“อาจฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่ฉันเคร่งครัดหลักการมาก สัญชาตญาณของฉันมีพื้นฐานจากหลักการเสมอ”
“หือ…”
“การสำรวจจะไม่ต่างกับการรนหาที่ตาย หากเอาแต่ด้นสดอย่างไร้หลักการ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักการจะเฉิดฉายก็ต่อเมื่อมีข้อมูลในมือน้อย
หลักการคือกฎสากลที่ใช้ได้แทบทุกสถานการณ์
ถึงบางครั้งฉันจะทำตัวบ้าบิ่น แต่ส่วนใหญ่จะอ้างอิงกับหลักการเสมอ
อาจมีบางครั้งที่ทำตัวเสี่ยงตายไปบ้างก็ตาม
แต่สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน หลักการสำคัญอย่างมาก
ในกรณีฉุกเฉิน ฉันต้องรีบหนีด้วยความเร็วสูงสุด แต่ถ้าสะพานเถาวัลย์เกิดเหตุสุดวิสัย นั่นหมายถึงชีวิตของฉันก็จบเห่
หลังจากไตร่ตรองจนมั่นใจ ฉันตัดสินใจบรรจงก้าวเท้าไปข้างหน้า อาจเวียนหัวเล็กน้อยเพราะมีเมฆเคลื่อนผ่าน จึงต้องเพ่งสมาธิกับสถานการณ์รอบตัวมากเป็นพิเศษ
ฉันตรงไปอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ต้องรู้ให้ได้ว่าใครอยู่ฝ่ายไหน อย่างน้อยก็ในตอนนี้
ทันใดนั้น
กึก—!
เสียงเหยียบเถาวัลย์เปลี่ยนเป็นเสียงเหยียบพื้นปูน
นี่คือก้าวแรกของฉันบนเกาะท้องฟ้า
ก้าวแรกคือสิ่งที่น่าจดจำเสมอ
แต่สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ฉันยังไม่มีสมาธิที่จะคิดเรื่องนั้น
มองไปรอบตัวอย่างเงียบเชียบ
ทางเดินกว้างๆ ที่เทียบเท่ากับทางหลวงของโลกมนุษย์ นำพาไปยังจุดระหว่างปราสาทกับหอคอยด้านหน้า มองจากพื้นดินดูใหญ่กว่ามองจากข้างบนมาก
ทางเดินและอาคารต่างๆ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
ไม่มีร่องรอยความเก่าแก่ คล้ายกับเพิ่งกวาดขยะไปเมื่อเช้า บนอิฐไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย
ฉันเฝ้ามองจากตรงนี้เป็นเวลานาน
แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่แปลกประหลาด
ผู้คนยังคงเดินขวักไขว่
ทุกคนเดินไปทางปราสาทพลางถือสิ่งของ
“…”
เหตุผลที่ฉันครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจมาดูด้วยตัวเอง
ขณะที่ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้กัน ในระยะนี้ ถ้าเป็นปรกติคงไหล่ชนกันไปแล้ว
ทว่า
วืด—
อีกฝ่ายทะลุผ่านฉันไป
“…ผี?”
ยังสรุปไม่ได้
ฉันพอจะมีข้อมูลของผีในต่างโลกอยู่บ้าง โดยเฉพาะหลักการและต้นกำเนิด
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้แตกต่างจากผี
แตกต่างโดยสิ้นเชิง
แม้จะอยู่ใกล้กัน แต่กลับเหมือนไม่ได้อยู่ในมิติเดียวกัน
ประสาทสัมผัสของฉันพัฒนาจนถึงระดับที่สามารถมองเห็นวิญญาณ เป็นผลมาจากการดิ้นรนอย่างยาวนาน
แต่สำหรับ ‘ผู้คน’ ตรงหน้า ถึงจะเห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้ว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่
ฉันตัดสินใจไม่คิดนานนัก
เมื่อเรียกลิลี่ เธอพาเรลิกซิน่าข้ามสะพานเถาวัลย์ลงมาด้วยความระมัดระวัง
“…คนพวกนี้คืออะไร?”
ไม่มีใครตอบสนองต่อคำพูดของฉัน เด็กน้อยใกล้ๆ ยังคงเดินจูงมือมารดาผ่านไป
ทั้งแม่และลูกมีเขาสองกิ่งบนหัว
“ลิลี่”
“ว่า?”
“เผ่าไหนมีเขาบนหัว”
“…ไม่มีหรอก เว้นแต่จะเป็นอสูร แต่อสูรไม่ได้สร้างอารยธรรมแบบนี้”
ลิลี่เล่าด้วยสายตาว่างเปล่า
กลุ่มคนทั้งหมดเดินผ่านประตูทางเข้าปราสาท
ทุกคนกำลังแบกสัมภาระส่วนตัว
ดูเหมือนกับ…
“กำลังจะไปจากที่นี่?”
“พวกเขากำลังอพยพหมู่?”
เรายืนครุ่นคิดกันพักใหญ่
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ
ด้านหน้าฉัน ก่อนจะถึงปราสาทชั้นใน แสงสว่างส่องจากลานวงกลมกลางถนน และผู้คนก็หายตัวไป
จากนั้น
แอ๊ด—
ประตูปราสาทเปิดออกอีกครั้ง ผู้คนทยอยเดินมาตามถนน
เหมือนกับเมื่อครู่ไม่มีผิด
“…นี่”
ลิลี่เรียกหาฉัน
เธอชี้ไปทางเด็กคนหนึ่งด้วยสายตาตกตะลึง
อีกฝ่ายเป็นผู้ชายตัวเล็กๆ ที่เพิ่งเดินผ่านไปพร้อมกับมารดา
“…เหตุการณ์วนซ้ำ”
ช่วงเวลาหนึ่งกำลังถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ประหนึ่งมีใครบางคนกำลังย้อนเล่นวิดีโอขนาดใหญ่เพียงเพราะไม่อยากลืมความทรงจำนี้
ฉันสังหรณ์ใจ
นี่คงเป็นสถานการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
เหตุการณ์ที่เหมือนกับวิดีโอตรงหน้าทุกประการ
“ลิลี่ ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนมีเขาจริงหรือ”
“ไม่มี ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ไม่แต่นิดเดียวก็ไม่เคยได้ยิน?”
“ไม่…”
ลิลี่ชะงักกลางคัน
“…เคยได้ยินจากนักวิชาการในเมืองคนหนึ่ง”
คล้ายกับเธอฉุกคิดบางสิ่งได้
“มังกร… ถ้ากลายร่างเป็นมนุษย์จะมีเขา”
“เธอเคยบอกว่า… จู่ๆ มังกรก็หายตัวไป”
“ใช่… อาจเป็นช่วงปลายยุคทอง หรือไม่ก็ช่วงกลางยุคก่อนหน้า”
หงึก
ฉันพอจะเข้าใจฉากนี้แล้ว
เป็นภาพบันทึกขณะมังกรโบกมืออำลาโลก
และมันกำลังเล่นซ้ำอย่างไม่รู้จบ
วาบ!
เมื่อวิดีโอจบอีกหนึ่งรอบ ฉันสังเกตเห็นบางสิ่ง
สื่อกลางที่ทำให้เกิดวิดีโอนี้
“ลิลี่ เข้าไปดูกันเถอะ”
ฉันจูงเรลิกซิน่าและเดินเข้าไปหาสิ่งนั้น
เป็นการยากที่จะอ่านสีหน้าของเหล่ามังกรที่ถูกเล่นซ้ำในวิดีโอ
ฉันเดินตามพวกเขาไป ปลายทางของมังกรแต่ละตนแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนเข้าไปในปราสาทตรงหน้า
จนกระทั่งฉันมาถึงลานกว้าง
“…”
ที่นี่มีหนังสือวางอยู่หนึ่งเล่ม
หนังสือเขียนที่ด้วยภาษาโบราณ
วาบ!
เมื่อหนังสือส่องแสง วิดีโอจะเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
“หนังสือเล่มนี้…”
ลิลี่พูดขึ้น ส่วนฉันกำลังครุ่นคิด
ไตร่ตรองเพียงไม่นาน
“ลิลี่”
“อื้อ”
“ขึ้นนี่เรลิกซิน่า”
“ทำไม”
“ฉันจะหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา หากเห็นท่าไม่ดี เธอรีบหนีไปโดยไม่ต้องเหลียวหลัง”
“…ตกลง”
ลิลี่ขึ้นขี่หลังเรลิกซิน่า ส่วนฉันจ้องหนังสือสักพักก่อนจะเอื้อมมือออกไปจับ
ทันใดนั้น แสงสีขาวสว่างวาบ
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอัญมณีบนฝ่ามือฉัน
ใช่แล้ว
“…สีขาวคือสัญลักษณ์ของนักพยากรณ์”
นี่คือจุดประสงค์ในการเดินทาง — สมบัติทองคำ
ขณะเดียวกัน
ฟ้าว!
เกิดเสียงลมพัดดังมาจากฝั่งถ้ำ ความเปลี่ยนแปลงทยอยเกิดขึ้นจากฝั่งซ้ายของเกาะ
ม่านขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายเยื่อฟองสบู่ ค่อยๆ สแกนกวาดไปทั่วเกาะ
เยื่อฟองสบู่เคลื่อนย้ายจากฝั่งซ้าย ผ่านตรงกลาง และไปทางขวา
สิ่งที่มันชะล้างออกไปคือ ‘ภาพลวงตา’
“…นี่คือสภาพที่แท้จริงของเกาะท้องฟ้า”
ลิลี่เม้มปากแน่น สายตาจดจ่ออยู่กับทิวทัศน์เบื้องหน้า
ซากอาคารที่พังถล่ม รูปปั้นทรุดโทรมจนดูอัปลักษณ์
น้ำพุแห้งเหือดจนดูแทบไม่ออก ปราสาทพังยับเยิน มีเพียงโบราณสถานที่ยังคงเด่นตระหง่าน
ฉันเปิดหนังสืออีกครั้ง
เป็นภาษาที่ฉันอ่านออก
จึงเริ่มอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก
“…ข้าพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์จากไป พยายามโน้มน้าวว่ายุคทองจะหวนมาอีกครั้งแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ”
“ท้ายที่สุด ทุกคนได้จากไป มังกรผิดหวังกับยุคสมัยที่สูญเสียความกระตือรือร้น”
“ข้าขออยู่ที่นี่จนลมหายใจสุดท้าย คอยทำหน้าที่ในฐานะลูกหลานรุ่นแรกของทวยเทพ สิ่งที่ถูกบันทึกคือเหตุการณ์ก่อนที่เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของข้าจะจากไป ข้าจะจดจำวินาทีนี้ไว้โดยไม่สูญเสียความแน่วแน่”
ถัดจากนี้ยังมีเนื้อหาอีกมาก
แต่ฉันปิดหนังสือและจ้องไปที่ปก
“…”
ลิลี่เดินเข้ามาหาฉัน จากนั้นก็มองด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ปกของหนังสือเหมือนกับ… สมุดบันทึกของเจ้า”
ลวดลายปกเหมือนกับสมุดบันทึกของฉันทุกประการ
สมุดบันทึกที่ฉันมีในกระเป๋าโดยไม่รู้ตัว หลังจากถูกลากมายังต่างโลก
ทันใดนั้น
ฟ้าว!
เสียงลมหายใจของสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา ดังขึ้นพร้อมกับเสียงสยายปีก
ในโครงสร้างชั้นกลางของซากปราสาท ด้านหลังอาคารหลังหนึ่ง สองปีกยักษ์สีเทาสยายออก คราวนี้ชัดเจนมากแตกต่างจากครั้งก่อน
ตามด้วยเสียงของบางสิ่งแหวกอากาศ
คล้ายกับเป็นการพุ่งตัวด้วยความเร็วสูง อีกฝ่ายหายตัวไปทางด้านหลังปราสาท
“มีใครบางคนปักหลักอยู่ที่นี่… เพื่อรอเล่าเรื่องราวให้ฉันฟัง”
“…ไม่คิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยหรือ”
ฉันเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
สายตายังคงมองตรงไปยังทางเข้าปราสาท
แค่ดูก็รู้ทันทีว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อเดินดิน ไม่มีทางปืนขึ้นไปได้แน่นอน
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel