ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 42 ความแข็งแกร่งของกระทิงหนึ่งตัว
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 42 ความแข็งแกร่งของกระทิงหนึ่งตัว
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานสูดหายใจลึก “พระโพธิสัตว์กระดูกขาว!” แม้เขาจะไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของนักบวชรูปนั้นแต่เขารู้ว่านี่อาจเป็นพลังเหนือธรรมชาติที่เขาไม่สามารถจินตนาการถึง
หลี่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงจัง “ทักษะนี้คงยากที่จะฝึกฝนใช่หรือไม่?”
วัวดำกล่าว “ใช่ ทักษะนี้เกี่ยวข้องกับชีวิต ความตาย และโชคชะตา ไม่เพียงผู้ฝึกฝนต้องมีดวงวิญญาณที่พิเศษเท่านั้นแต่ยังต้องใช้เลือดของสิ่งมีชีวิตมาชำระไขกระดูกและหลอมรวมเลือดเนื้อ ตอนนี้เขาใช้เลือดของสัตว์ แต่วัตถุดิบที่ดีที่สุดคือเลือดมนุษย์ โดยเฉพาะเลือดของผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง”
หัวใจของหลี่ฉิงซานสั่นไหวเล็กน้อย คนส่วนใหญ่ที่ได้ยินวิธีบ่มเพาะเช่นนี้จะตัดสินทันทีว่ามันเป็นทักษะที่ชั่วร้ายของเส้นทางสายปีศาจ ไม่ว่าจะเป็นนิยายหรือตำนานเรื่องใดก็ตาม ผู้คนที่ใช้ชีวิตมนุษย์ในการบ่มเพาะล้วนเป็นตัวละครที่ชั่วร้ายและต้องพบจุดจบที่น่าสยดสยองในท้ายที่สุด
เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “เหตุใดเจ้าจึงต้องฝีกมัน?”
เผชิญหน้ากับคำถามนี้ เสี่ยวอันกลายเป็นประหม่า หลังจากได้รับสติปัญหากลับคืนมาอย่างช้าๆ ผีน้อยก็ตระหนักรู้ได้เช่นกันว่านี่เป็นเส้นทางสายปีศาจที่ชั่วร้ายอย่างที่สุด
วัวดำกล่าว “แน่นอน เพราะมันช่วยเจ้าได้ ไม่ใช่ว่านี่เป็นวิธีที่ดีกว่าเคล็ดวิชาควบคุมภูตผีงั้นหรือ?”
ร่างกายของหลี่ฉิงซานสั่นสะท้านขึ้น เขาไม่สามารถโต้แย้งหรือกล่าวสิ่งใดได้อีก เขาก้มศีรษะลงและทำได้เพียงเผยรอยยิ้มขมขื่น “ดูเหมือนเราทั้งคู่อาจเลือกอาจารย์ผิด พวกเราถูกลิขิตให้เดินไปยังจุดสูงสุดของเส้นทางสายปีศาจ”
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เสี่ยวอันจึงสามารถผ่อนคลายและเผยรอยยิ้มเขินอาย
…..
กวางตัวหนึ่งเคลื่อนที่ผ่านป่ามาอย่างรวดเร็ว มันหลบลมหนาวที่พัดหางของมันตลอดเวลาเหมือนเงาตามตัว แต่สุดท้ายมีดล่าสัตว์ก็กรีดลำคอของมัน เลือดสาดกระเซ็นออกมาขณะที่สามลมอันเย็นเยียบชักนำเลือดอุ่นๆไหลเข้าไปในโถกระเบื้องและเคลือบคลุมกระดูกสีขาวที่อยู่ภายใน
กระดูกสีขาวลอยออกมาและเรียงตัวในท่านั่งขัดสมาธิราวกับพระพุทธรูป มันปลดปล่อยกลิ่นอายที่ศักดิ์สิทธิ์และชั่วร้ายออกมาในเวลาเดียวกัน นี่อาจเรียกว่าความไม่เที่ยงตามหลักพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลี่ฉิงซานเห็นคือเสี่ยวอันผสานดวงวิญญาณเข้ากับโครงกระดูกและกำลังหลอมรวมเลือดเนื้อและพลังปราณ ร่องรอยของเส้นเลือดและพลังปราณค่อยๆปรากฏขึ้น เสี่ยวอันขมวดคิ้วขณะที่ดวงวิญญาณสั่นเทา ผีน้อยต้องอดทนต่อความเจ็บปวดที่คนผู้หนึ่งไม่สามารถจินตนาการถึง
เคล็ดวิชาส่วนใหญ่บนเส้นทางสายปีศาจมักเป็นทางลัด พวกมันอันตราย มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องเสี่ยงโชค การหลอมรวมเลือดเนื้อและพลังปราณจะเผาผลาญดวงวิญญาณของผู้ฝึกฝน มันเจ็บปวดยิ่งการถูกไฟเผาร่างเนื้อ ผู้ฝึกฝนต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งทางจิตใจเป็นอย่างมาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถทำได้
หลี่ฉิงซานกำหมัดแน่น เขารู้สึกเหมือนมีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ในหัวใจของเขา ความเจ็บปวดที่เสี่ยวอันประสบจากหมอผีเฒ่าอาจไม่ถึงหนึ่งในร้อยของสิ่งที่ผีน้อยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน หลี่ฉิงซานต้องการยื่นมือออกไปเพื่อหยุดมันจริงๆ
วัวดำกล่าว “ไม่ใช่เพียงเพื่อประโยชน์ของเจ้าเท่านั้น เจ้ามีสิ่งที่อยากทำ มีความฝันที่ต้องการเติมเต็ม เขาก็เช่นกัน นี่คือสิ่งที่เขาเลือก!”
“ความฝันของเขางั้นหรือ?”
“ถูกต้อง ความฝันของเขาคือการช่วยเจ้า” วัวดำรู้สึกอยากหัวเราะเสียงดังกับความฝันที่โง่เขลานี้แต่มันหยุดตัวเองเอาไว้เมื่อเห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมของหลี่ฉิงซาน “เจ้าไม่รู้ว่าเขามีความสุขมากเพียงใดเมื่อข้าตกลงช่วยเขาและตอนนี้เขาก็ยังมีความสุขมาก ตราบเท่าที่เจ้าสามารถทำสิ่งที่เจ้าต้องการ เจ้าจะไม่บ่นและไม่เสียใจไม่ว่าเจ้าต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดหรือกลายเป็นตัวอะไร นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าพูดงั้นหรือ?”
หลังจากไม่นาน กระดูกสีขาวก็เริ่มมีเงาสีแดงปรากฏขึ้น
หลี่ฉิงซานนำโสมจิตวิญญาณออกมา เขาสกัดน้ำโสมออกมาอีกหนึ่งหยดและหยดลงไปที่ระหว่างคิ้วของเสี่ยวอัน
จากนั้นหลี่ฉิงซานก็หันหลังกลับและกระโดลงไปในสระน้ำเย็นเพื่อสงบสติอารมณ์
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวและกลายเป็นฉากที่งดงามตระการตา
หลี่ฉิงซานลงไปในน้ำเพื่อฝึกฝนทุกวัน เขาจะกลับขึ้นมาเพียงเมื่อได้รับบาดเจ็บเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะร่างกายที่ไม่ธรรมดาของเขาและการบำรุงด้วยสุราจิตวิญญาณ ร่างกายของเขาคงพังทลายไปแล้ว
เสี่ยวอันล่าสัตว์ป่าอย่างต่อเนื่อง แรกเริ่มผีน้อยใช้เพียงเลือดของสัตว์เล็กที่กินพืชเป็นอาหาร ตัวอย่างเช่นกระต่ายป่าหรือกวาง แต่หลังจากนั้นมันก็หันไปใช้สัตว์กินเนื้อที่แข็งแกร่งและดุร้ายเช่นเสือโคร่งหรือเสือดาว
ทั้งสองราวกับกำลังแข่งขันกัน พวกเขาบ่มเพาะอย่างบ้าคลั่ง รสชาติของสุราจิตวิญญาณค่อยๆจางลงและจางลง
สิ่งนี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน น้ำตกยังไหลทะลักลงมาอย่างอึกทึกครึกโครม วังน้ำวนหมุนไปอย่างไม่รู้จบสิ้น ขณะที่ร่างหนึ่งเคลื่อนตัวอยู่ท่ามกลางวังน้ำวนที่ใหญ่ที่สุด
การว่ายน้ำอยู่ในวังน้ำวนเหมือนกับการเผชิญหน้ากับศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วน หลี่ฉิงซานขยับร่างกายเหมือนวิธีการฝึกหมัดปีศาจวัวในเวลาที่เขาอยู่บนบกโดยไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย ตรงข้าม มันเต็มไปด้วยพลังและความหนักหน่วง
พลังปราณของเขาหมุนวนเหมือนกระแสน้ำ มันไหลไปทั่วร่างของเขาด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นั่นทำให้กระแสน้ำในสระหยกไหลแรงขึ้นสิบเท่า
ทันใดนั้นหลี่ฉิงซานพลันปล่อยหมัดออกไป
น้ำระเบิดขึ้นสู่อากาศพร้อมกับเสียงดังราวกับฟ้าร้อง นกและสัตว์น้อยใหญ่ต่างตื่นตกใจ
เสี่ยวอันรู้สึกหัวใจเต้นแรงแม้มันจะไม่มีหัวใจก็ตาม ผีน้อยมองไปยังผิวน้ำ ในเวลานี้วังน้ำวนขนาดใหญ่ที่ไม่เคยหยุดหมุนหายไปแล้ว สระที่เคยปั่นป่วนกลายเป็นสงบนิ่ง
วัวดำยิ้มด้วยดวงตาของมัน
ร่างหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากสระและร่อนลงบนโขดหิน ตอนนี้ร่างกายของหลี่ฉิงซานดูแข็งแกร่งราวกับรูปปั้นหินอ่อน มัดกล้ามเนื้อทุกส่วนของเขาเต็มไปด้วยพลังงานที่พร้อมจะระเบิดออกมา
เขาต่อยหินใต้ฝ่าเท้าทำให้เกิดเสียงดัง เสียงนี้ไม่เหมือนเนื้อชนหินแต่เหมือนหินปะทะหินมากกว่า
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ก็มีเสียงแตกร้าว หินก้อนใหญ่ที่ถูกน้ำกัดเซาะมานานเกิดรอยแตกร้าวก่อนจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ก่อนที่หินจะแตก หลี่ฉิงซานก็กระโดดขึ้นฝั่งไปแล้ว เขามองมือของตนเองและพึมพำ “นึ่คือความแข็งแกร่งของกระทิงหนึ่งตัวงั้นหรือ?” เขารู้สึกเหมือนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังงาน ร่างกายทั้งหมดของเขาเหมือนพึ่งถูกดัดแปลง หากเขาเผชิญหน้ากับนักสู้ชั้นสามเช่นนายน้อยสามอีกครั้ง เขาสามารถใช้มือเพียงข้างเดียวบดขยี้ฝ่ายหลังจนตาย เขารู้สึกว่าตอนนี้นักสู้ชั้นสามไม่แม้แต่จะสามารถสัมผัสตัวเขา
วัวดำกล่าว “ในที่สุดเจ้าก็บรรลุขั้นพื้นฐานแล้ว”
หลี่ฉิงซานหยิบธนูแยกหินขึ้นมาและดึงสายธนูจนคันธนูกลายเป็นรูปจันทร์เต็มดวง ธนูแยกหินที่เคยแข็งทื่อกลายเป็นอ่อนนุ่มราวกับธนูไม้ธรรมดา
“บึม บึม บึม!” หลี่ฉิงซานยิงธนูสามครั้งติตด่อกันพร้อมกับเสียงดังราวกับจุดระเบิด
หลี่ฉิงซานรู้สึกว่าเขายังมีแรงเหลืออยู่ ดังนั้นเขาจึงยิงต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซ้าย ขวา บน และล่าง เขายิงลูกธนูออกไปทุกทิศทุกทาง
ด้วยความแข็งแกร่งนี้ ตราบเท่าที่เขาต้องการ เขาสามารถทำทุกสิ่งและเอาชนะทุกคน นี่คือความรู้สึกของผู้แข็งแกร่ง
เสี่ยวอันมองจากด้านหนึ่งด้วยความชื่นชมยินดี
“เสี่ยวอัน ได้เวลาออกจากภูเขาแล้ว!” หลี่ฉิงซานยกโถกระเบื้องขึ้นและเดินออกจากภูเขา เขาไม่ได้ไปที่ป้อมวายุทมิฬแต่มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหยาง
เสียงน้ำตกดังห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป น้ำในสระค่อยๆเคลื่อนตัวและสร้างวังน้ำวนขึ้นมาอีกครั้ง
ป้ายขนาดใหญ่ที่สลักคำว่า ชิงหยาง แขวนอยู่เหนือประตูเมือง หลี่ฉิงซานมองมันอยู่ชั่วครู่ นี่เป็นเมืองที่เขาเคยได้ยินชื่อมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่