ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 40 มีชื่อเสียงไปทั่วชิงหยาง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 42 ความแข็งแกร่งของกระทิงหนึ่งตัว

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 41 กระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 41 กระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์

แปลโดย iPAT  

ที่ปรึกษาจำใจทำตามคำสั่ง ความปรารถนาของเจ้าเมืองด้านการเงินอยู่เหนือความกลัวที่เขามีต่อป้อมวายุทมิฬ เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนใจเจ้าเมืองด้วยการเจรจาและป้อมวายุทมิฬก็อาจไม่กล้าพอที่จะฆ่าเจ้าหน้าที่ทางการอย่างเปิดเผย

ทันใดนั้นกลิ่นอายที่ทรงอำนาจของเจ้าเมืองอ้วนก็หายไปอย่างกะทันหัน เขากระซิบ “ข้าไม่ใช่คนฆ่าพวกเขา ป้อมวายุทมิฬไม่ควรมาสร้างปัญหาให้ข้าใช่หรือไม่?”

ที่ปรึกษาลูบหนวดของเขา “พวกเขาไม่ควร แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน เราควรขอความช่วยเหลือจากน้องสาวของท่านและขอกำลังเสริมจากท่านผู้ว่า”

เจ้าเมืองอ้วนกล่าว “ถูกต้อง เขาอาจเป็นผู้ว่ามณฑล แต่เขาก็เป็นน้องเขยของข้าเช่นด้วย พวกเราเป็นครอบครัว ตราบเท่าที่เขาส่งผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มาที่นี่แม้จะเพียงคนเดียว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใดอีก” แม้รูปลักษณ์ของเจ้าเมืองอ้วนจะดูค่อนข้างน่าเกลียด แต่น้องสาวของเขาเป็นหญิงงาม ก่อนหน้านี้น้องสาวของเขาก็ช่วยกดดันให้สามีของนางมอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้เขา

อย่างไรก็ตามผู้ว่าผู้นั้นไม่ค่อยชอบพี่เขยผู้นี้ ดังนั้นชายอ้วนจึงถูกส่งมายังเมืองชิงหยางที่อยู่ห่างไกล ด้วยวิธีนี้ผู้ว่าก็ไม่ต้องกังวลว่าตนเองใช้อำนาจในทางที่ผิดและยังสามารถแยกชายอ้วนออกจากภรรยาของเขา มันเป็นการยิงนกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว

ที่ปรึกษาคิด ‘ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จะถูกส่งมาโดยง่ายได้อย่างไร? นอกจากนั้นพวกเราจะปลอดภัยหากท่านผู้ว่าส่งผู้พิทักษ์บางคนมาจริงๆงั้นหรือ?”

“แล้วหลี่ฉิงซาน?”

ชายอ้วนคิดก่อนตอบ “ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นผู้มีพระคุณของข้า หากข้าพบเขา ข้าจะมอบรางวัลให้เขาและส่งเขาไปที่อื่น มณฑลชิงเหอกว้างใหญ่มาก เขาสามารถไปที่ใดก็ได้้”

…..

ในหมู่บ้านบังเหียนม้า เมื่อฮวงปิงหูได้ยินข่าว แรกเริ่มเขาแปลกใจ แต่แล้วเขาก็หัวเราะออกมา “ทำได้ดีมาก!” ตั้งแต่เขาดื่มสุราจิตวิญญาณ อาการป่วยของเขาก็หายไป ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยพลังงาน ไม่เพียงทักษะการต่อสู้ของเขาจะฟื้นฟูกลับมาแต่เขายังมีความก้าวหน้าอีกด้วย

“ท่านหัวหน้า เขารุกรานป้อมวายุทมิฬ มันจะสร้างปัญหาให้หมู่บ้านบังเหียนม้าของเราหรือไม่? เขาใช้ธนูแยกหินของท่าน ท่านไม่ควรมอบมันให้เขาตั้งแต่แรก ตอนนี้เขาหายตัวไป เขาอาจหนีไปแล้ว!”

เสี่ยวเฮยรู้สึกไม่มีความสุข หลังจากทั้งหมดเขายังไม่พอใจหลี่ฉิงซานอยู่บ้าง เขาควรเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นนี้ แต่การมาของหลี่ฉิงซานทำให้เขาดับแสงไปอย่างสมบูรณ์ หลี่ฉิงซานได้รับความสนใจอย่างมาก แล้วเขาจะไม่รู้สึกอิจฉาได้อย่างไร

ฮวงปิงหูกล่าว “หากป้อมวายุทมิฬมา เราจะต้อนรับพวกเขาอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามฉิงซานจะไม่วิ่งหนีและเขาก็จะไม่ขอความช่วยเหลือจากเรา ข้าเป็นเพียงเสือป่วย ขณะที่เขาเป็นเสือโคร่งที่ดุร้ายแห่งขุนเขาที่แท้จริง”

ด้วยเหตุนี้เสือโคร่งจึงกลายเป็นฉายาของหลี่ฉิงซานไปโดยปริยาย

…..

เมื่อศีรษะของกลุ่มโจรถูกแขวนไว้บนกำแพงเมือง ชื่อของหลี่ฉิงซานก็ยิ่งแพร่สะพัดออกไป

เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า กลางดึก เงาดำเคลื่อนผ่านด้านบนของกำแพงเมืองและนำศีรษะของนายน้อยสามลงมา จากนั้นพวกเขาก็ขี่ม้ากลับป้อมวายุทมิฬอย่างเร่งรีบเพื่อส่งมอบศีรษะดังกล่าวให้ซ่งเซียงอู๋

ซ่งเซียงอู๋มีร่างกายใหญ่โต นอกจากนั้นเขายังมีเส้นผมสีเข้มที่ดกดำและหนาทึบ หากมองจากระยะไกล เขาดูเหมือนหมีดำ มันสามารถบอกได้ด้วยการชำเลืองมองเพียงครั้งเดียวว่าเขาเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งตามธรรมชาติ เขายืนขึ้นและมองไปรอบๆ ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ชิดหรือกลุ่มโจรที่อยู่รอบๆ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมาแม้เพียงเล็กน้อย

“ปัง!” มือที่ใหญ่โตเหมือนอุ้งเท้าหมีกระแทกลงบนศีรษะที่วางอยู่บนโต๊ะ มันทำให้ทั้งศีรษะและโต๊ะไม้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย “นี่คือชะตากรรมของคนไร้ประโยชน์และเป็นชะตากรรมของผู้ที่กล้ายั่วยุข้า!”

เศษไม้บินออกไปรอบๆ บางส่วนยังเจาะเข้าไปในชั้นผิวหนังของลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆ อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง

ผู้นำลำดับที่สองโบกพัดที่อยู่ในมือ เขาเป็นชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิต แม้สภาพอากาศในปัจจุบันจะหนาวเย็นแต่เขายังสวมชุดปกติ นี่แสดงให้เห็นถึงกำลังภายในที่หนาแน่นของเขา “ท่านเจ้าป้อม น้องสามถูกลอบโจมตีและได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยธนูแยกหิน นั่นเป็นสาเหตุที่เด็กคนนั้นสามารถเอาชนะเขา”

“ธนูแยกหิน? ฮวงปิงหู!” ความระมัดระวังปรากฏขึ้นในดวงตาของซ่งเซียงหู “ไม่ใช่ว่าเขาป่วยหนักงั้นหรือ?”

“อย่าบอกว่าเขาหายแล้ว!” คิ้วของซ่งเซียงอู๋ขมวดแน่นขณะที่เขาจมลงสู่ห้วงแห่งความคิด

…..

บนยอดเขาไป่เหลา หยางจุนถาม “พวกเจ้ายังไม่พบมันอีกงั้นหรือ?” ความโกรธทำให้ใบหน้าที่หล่อเหล่าของเขากลายเป็นบิดเบี้ยว เขาไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากนัก

“นายน้อย ข้าได้ยินข่าวบางอย่างมาเมื่อไม่นานนี้!” ซือต้ากล่าว

“ฮวงปิงหูแห่งหมู่บ้านบังเหียนม้าหายจากอาการป่วยแล้ว!”

“เป็นไปได้อย่างไร?” หยางจุนพูดอย่างหมดความอดทน

ซือต้าเร่งตอบ “กล่าวกันว่าอาการป่วยของเขาเป็นปัญหาเรื้อรังและสามารถรักษาได้ด้วยโสมจิตวิญญาณเท่านั้น!”

ดวงตาของหยางจุนส่องประกายขึ้น เขาถุกล่อลวงให้ไปที่หมู่บ้านบังเหียนม้าทันที อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้บ้าและไม่ใช่คนโง่ เขากล่าว “ไปเชิญท่านพ่อมาที่นี่ โสมจิตวิญญาณไม่สามารถย่อยได้โดยง่าย แม้เขาจะกินมันเข้าไปแล้ว แต่ข้าก็จะทำให้เขาคายมันออกมา!”

ขณะที่โลกภายนอกกำลังปั่นป่วน ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าโถกระเบื้องที่ถูกฝังไว้หลังบ้านของหลี่ฉิงซานถูกขุดขึ้นมา

เมื่อหิมะตกหนัก น้ำในสระก็เย็นเยียบไปถึงกระดูก หลี่ฉิงซานปีนขึ้นจากสระน้ำแข็งด้วยปากที่เปลี่ยนเป็นสีม่วง จากนั้นเขาก็ล้มตัวลงนอนบนหญ้าแห้ง เขามองท้องฟ้าสีเทาที่อยู่ถัดจากน้ำตกสีขาวและหายใจออกมาเป็นหมอกสีขาว

วิธีการบ่มเพาะของเขาอันตรายถึงชีวิต เพียงเมื่อถึงขีดจำกัด เขาจึงจะปีนขึ้นมาและพักผ่อนชั่วครู่

หลังจากจิบสุราจิตวิญญาณ ร่างกายของเขาก็ฟื้นตัวขึ้น ความอบอุ่นและพลังปราณย้อนกลับมาอีกครั้ง

สัตว์ตัวหนึ่งถูกย่างอยู่บนกองไฟ มันกำลังส่งกลิ่นหอมลอยออกมา เสี่ยวอันหมอบอยู่ด้านข้างราวกับพ่อครัวมืออาชีพ ผีน้อยหมุ่นไม้ขณะโรยเครื่องปรุงและสุราลงไปก่อนจะทำซ้ำกระบวนการเดิมอีกหลายรอบ

เมื่อเห็นหลี่ฉิงซาน เสี่ยวอันก็แล่เนื้อชิ้นใหญ่ออกมาด้วยมีดล่าสัตว์ก่อนจะส่งให้หลี่ฉิงซาน เพียงเมื่อผีน้อยเห็นหลี่ฉิงซานกินอาหารอย่างตะกละตะกลามเท่านั้น มันจึงสามารถยิ้มออกมา

หลี่ฉิงซานเผยรอยยิ้มประหลาดใจ “เจ้าไม่กลัวไฟแล้วงั้นหรือ?”

เดิมทีเสี่ยวอันกลัวแสงแดดและไฟ ผีถูกกำจัดด้วยหลายสิ่ง ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มันจะหมอบอยู่ด้านข้างกองไฟ แม้วันนี้จะค่อนข้างมืด แต่ปกติแล้วในเวลากลางวันเสี่ยวอันมักซ่อนตัวอยู่ในป้ายไม้และไม่เต็มใจออกมา

เสี่ยวอันชะงัก มันไม่สามารถตอบคำถามนี้

หลี่ฉิงซานยิ้ม “เจ้าเรียนรู้บางสิ่งจากพี่วัวใช่หรือไม่? มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เขามอบบางอย่างให้เจ้า เหตุใดเจ้าต้องปิดบังข้า?”

เสี่ยงอันลังเลก่อนที่จะหยิบโถกระเบื้องออกมาอย่างยากลำบาก หลี่ฉิงซานเปิดฝาและเห็นกระดูกสีขาวกับเลือดสีแดงอยู่ภายใน

หลี่ฉิงซานขมวดคิ้ว “นี่อะไร?”

เสี่ยวอันทำตัวราวกับเด็กที่กระทำความผิด มันก้มศีรษะลงและนิ่งเงียบ

“กระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์” วัวดำปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน

“นี่ก็เป็นเคล็ดวิชาบางอย่างงั้นหรือ?”

“ผีไม่มีร่างกาย พวกมันดูเหมือนมีอิสระและสามารถหลีกเลี่ยงจากการรับรู้ของมนุษย์ แต่เมื่อกล่าวถึงการบ่มเพาะ พวกมันย่อมมีข้อบกพร่องโดยธรรมชาติ นอกจากนั้นพวกมันยังกลัวไฟและแสงสว่าง พวกมันจะถูกปราบปรามด้วยทักษะมากมาย”

“แต่มีวิธีจัดการปัญหานี้ การดูดซับปราณหยางของสิ่งมีชีวิตเป็นเพียงวิธีพื้นฐานที่สุด ดังคำกล่าวของพระพุทธองค์ ความงามอันเป็นนิรันดร์คือการสลายกลายเป็นกระดูกสีขาวหลังจากความตาย ทุกคนถูกสร้างขึ้นจากเนื้อหลังและกระดูก รูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือรูป ในชั่วพริบตา ความงามก็จะเปลี่ยนเป็นโครงกระดูก ขณะที่โครงกระดูกก็สามารถหลอมรวมชั้นผิวหนังและเลือดเนื้อ นักบวชที่มีชื่อเสียงรูปหนึ่งเคยพยายามที่จะบรรลุมรรคผลแต่กลับล้มเหลวในท้ายที่สุด เขารู้สึกทุกข์ทรมานและไม่เต็มใจที่จะยอมรับผลลัพธ์ดังกล่าว ดังนั้นจิตมารในใจของเขาจึงเติบโตขึ้น เขาเดินเข้าสู่เส้นทางสายปีศาจและพลิกคว่ำเส้นทางสายธรรมะ เขาสร้างเคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ขึ้นมา สุดท้ายเขากลายเป็นเทพอสูรกระดูกขาว แต่เขาเรียกตัวเองว่าพระโพธิสัตว์กระดูกขาว”