ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 40 มีชื่อเสียงไปทั่วชิงหยาง
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 40 มีชื่อเสียงไปทั่วชิงหยาง
แปลโดย iPAT
วัวดำกล่าว “เจ้าต้องการทำต่อหรือไม่? ข้าเตือนเจ้าแล้ว เจ้าอาจกลายเป็นปีศาจหรืออสูรกายจริงๆ”
“ตราบเท่าที่ข้ามีจิตสำนึกที่ชัดเจนและสามารถทำสิ่งที่ข้าต้องการ ข้าจะไม่โต้แย้งหรือเสียใจแม้ข้าจะกลายเป็นปีศาจหรืออสูรกาย!” หลี่ฉิงซานกล่าวด้วยศีรษะที่เชิดขึ้น คำกล่าวของวัวดำราวกับช่วยดึงสติของเขาให้กับมากระจ่างชัดอีกครั้ง
วัวดำอดไม่ได้ที่จะต้องประเมินเขาใหม่ แม้แต่ผู้ฝึกตนที่มีพลังจิตตานุภาพที่แข็งแกร่งหรือความมุ่งมั่นที่แรงกล้าก็ยังรู้สึกกลัวหรือรังเกียจเมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะกลายเป็นปีศาจหรืออสูรกาย
เดิมทีวัวดำคิดว่ามันต้องชี้แนะเขาด้วยความอดทนไปทีละขั้น แต่หลี่ฉิงซานกลับไม่ได้รับผลกระทบต่อเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังยืนหยัดกับทางเลือกของตนโดยไม่มีวี่แววว่าจะหวั่นไหว คนเช่นนี้หาได้ยากนัก อย่างไรก็ตามมันถือเป็นเรื่องดี หากเขาเป็นคนประเภทที่มีปัญหากับภาพลักษณ์ เขาก็ไม่คู่ควรกับความกังวลของมัน
ในชีวิตก่อนหน้า หลี่ฉิงซานอาศัยอยู่ในยุคของการระเบิดขึ้นของข้อมูล เขาดูหนังและอ่านนิยายจนเบื่อหน่าย เขามีมุมมองที่กว้างขวางและได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่ากลัวและยิ่งใหญ่มามากมาย
ด้วยข้อมูลทั้งหมดนั้น ความสามารถในการยอมรับและทำความเข้าใจของเขาจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนในยุคนี้หรือโลกใบนี้ เขาจะไม่ติดอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆ ข้อได้เปรียบของการเดินทางข้ามโลกของเขาค่อยๆแสดงออกมาทีละเล็กทีละน้อย อาจกล่าวได้ว่ามันมีบทบาทสำคัญที่ไม่สามารถแทนที่ด้วยพรสวรรค์หรือสมบัติใดๆ
ไม่ว่าหลี่ฉิงซานจะมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะสูงส่งเพียงใด มันก็ไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของวัวดำ แต่คุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวเขาทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่นๆอย่างสมบูรณ์ วัวดำให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากที่สุด “มากับข้า!”
วัวหนึ่งตัวและเด็กหนุ่มหนึ่งคนเดินเข้าไปในภูเขาที่ไร้หนทาง
วัวดำไม่ได้บอกว่าจะไปไหนและหลี่ฉิงซานก็ไม่ได้ถาม หลังจากเรื่องรู้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของป้อมวายุทมิฬจากนายน้อยสาม เขาตระหนักได้ทันทีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
ไม่รู้นานเท่าใดเมื่อเสียงบางอย่างดังออกมาจากป่าขณะที่พวกเขายังเดินหน้าต่อไป เสียงก้องกังวานดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดมันก็ดังเหมือนเสียงฟ้าร้อง
เป็นเพียงเวลานี้ที่พื้นที่ด้านหน้าของพวกเขาเปิดโล่งอย่างกะทันหัน บนหน้าผาสูงหลายสิบเมตรมีน้ำตกขนาดใหญ่ มันตกลงไปที่สระน้ำด้านล่างเหมือนมังกรทะยานก่อนจะสร้างละอองน้ำระเบิดออกไปรอบๆราวกับเกล็ดหิมะ มีวังน้ำวนขนาดใหญ่หมุนวนอยู่กลางสระตลอดเวลา นอกจากนั้นยังมีวังน้ำวนขนาดเล็กจำนวนมากอยู่รอบๆ
หลี่ฉิงซานยืนอยู่หน้าน้ำตก แม้จะมีความแข็งแกร่งทางจิตใจ เขาก็ยังรู้สึกถึงความอัศจรรย์ของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ เขาสูดหายใจลึกก่อนถาม “พี่วัว ที่นี่คือ?”
“น้ำตก”
“แน่นอน ข้ารู้ว่ามันคือน้ำตก! แต่ท่านพาข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด?”
“แน่นอนว่ามาฝึกฝน!”
ทันใดนั้นท่อนไม้ขนาดใหญ่ก็ร่วงลงมาจากน้ำตกและถูกดูดเข้าสู่วังน้ำวนอย่างไม่สามารถต่อต้าน มันกระแทกหินใต้น้ำและแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตา หากมนุษย์ถูกดูดเข้าไป พวกเขาจะต้องถูกฉีกเป็นชิ้นๆอย่างแน่นอน
หลี่ฉิงซานอ้าปากค้าง “นั่น...”
วัวดำกล่าว “นี่เป็นทางลัดที่จะทำให้เจ้าบรรลุความแข็งแกร่งของกระทิงหนึ่งตัวได้เร็วที่สุด แต่เจ้าจะทำมันหรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”
ทันทีที่วัวดำกล่าวจบ หลี่ฉิงซานก็กระโดลงจากหน้าผาอย่างเด็ดเดี่ยว ขณะที่เขาร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า เขายังนึกถึงข้อมูลที่นายน้อยสามบอก
ป้อมวายุทมิฬมีสมาชิกประมาณสามร้อยคนและมีหัวหน้าเจ็ดคน แน่นอนว่าตอนนี้เหลือหกแล้ว ห้าคนเป็นนักสู้ชั้นสาม ขณะที่เจ้าป้อมเป็นหัวหน้าใหญ่ที่ได้รับสมญานามว่าหมีดำ เขาเป็นนักสู้ชั้นสองที่แท้จริง ชื่อของเขาคือซ่งเซียงอู๋ เขาสามารถจัดการหัวหน้าคนอื่นๆได้อย่างง่ายดาย
ทักษะการต่อสู้ของหลี่ฉิงซานในปัจจุบันอยู่บนจุดสูงสุดของนักสู้ชั้นสามเท่านั้น หากเขาไม่ได้ใช้การซุ่มโจมตีหรือลอบโจมตี เขาอาจต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากหากต้องการเอาชนะคนระดับหัวหน้าสองคนพร้อมกัน กรณีที่เขาต้องต่อสู้กับหัวหน้าสามคน เขาจะแพ้อย่างแน่นอน ในสถานการณ์นั้น เขาจะต้องหลบหนี สำหรับการเผชิญหน้ากับเจ้าป้อม เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาเป็นชายที่หลี่ฉิงซานยังไม่สามารถเอาชนะในเวลานี้
ข่าวดีเพียงอย่างเดียวคือเมื่อฤดูหนาวมาถึง หิมะจะปกคลุมภูเขา หากป้อมวายุทมิฬต้องการทำการใหญ่ พวกเขาต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ผลิเป็นอย่างน้อยซึ่งนั่นทำให้เขามีเวลาเตรียมตัว เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อหยุดป้อมวายุทมิฬและช่วยหมู่บ้านกระทิงหมอบ เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด
ความคิดมากมายพุ่งผ่านจิตใจของเขา เมื่อเห็นสระน้ำใกล้เข้ามา หลี่ฉิงซานก็รวบรวมสติและความกล้า ความประหม่าและความกลัวทั้งหมดถูกผลักออกไป จิตใจของเขากลายเป็นปลอดโปร่ง เขาปรับร่างกายให้พร้อมรับแรงกระแทกที่กำลังจะมาถึง ด้วยการสูดหายใจลึก เขาพุ่งลงสู่สระน้ำอย่างไม่หวั่นเกรง
วัวดำพึมพำ “ข้ากำลังจะบอกให้เจ้านั่งสมาธิใต้น้ำตกและฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไป”
เสี่ยวอันมองวัวดำด้วยความขุ่นเคือง วัวดำกล่าว “ผีน้อย อย่ามองข้าแบบนั้น นี่ช่วยไม่ได้ เขาใจร้อนเอง”
กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากโจมตีหลี่ฉิงซานอย่างหนักหน่วง เขารู้สึกเหมือนเรือเล็กท่ามกลางพายุใหญ่ เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตน เขาพุ่งชนหินและจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ
ความสามารถในการว่ายน้ำของหลี่ฉิงซานไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เขาทำได้เพียงพึ่งพาทักษะหมัดปีศาจวัวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เงาดำก็กดทับลงมา
กระแสน้ำผลักเขาเข้าไปหาก้อนหิน ท่อนไม้ใหญ่จากก่อนหน้าเป็นเครื่องเตือนถึงชะตากรรมของเขา แม้ทักษะหมัดปีศาจวัวจะทำให้ผิวหนังและมัดกล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่งขึ้นแต่เขาก็สามารถตายเพราะกระดูกทั้งร่างแตกเป็นเสี่ยงๆ ท้ายที่สุดการใช้ร่างมนุษย์ต่อสู้กับพลังธรรมชาติก็ยากเกินไป
‘ปีศาจวัวกระทืบ!’ พลังปราณในร่างของเขาควบแน่น นั่นทำให้หลี่ฉิงซานดูเหมือนหนักขึ้นขณะที่เขาจมลงอย่างรวดเร็วด้วยการทิ้งรอยเท้าสองรอยไว้บนก้อนหิน
อย่างไรก็ตามลึกลงไปใต้น้ำ ทิศทางของกระแสน้ำเปลี่ยนไปจากก่อนหน้า มันดึงเขาเข้าสู่วังน้ำวนที่ใหญ่ที่สุด หลี่ฉิงซานต้องใช้ทุกสิ่งที่มีเพื่อต่อต้านกระแสน้ำและบังคับให้ตนเองอยู่ในตำแหน่งเดิม
อากาศในปอดของเขาถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกหายใจไม่ออกจับเขาไว้แน่น ในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะว่ายขึ้นไปรับอากาศเหนือผิวน้ำ ตราบเท่าที่เท้าของเขาหลุดออกจากก้นสระ กระแสน้ำจะพัดเขาออกไปทันที
สติของเขาเริ่มพร่าเลือน อย่างไรก็ตามในจังหวะนี้เขากลับรู้สึกเย็นที่หน้าอก พลังปราณในร่างของเขาตอบสนองโดยอัตโนมัติ
จิตใจของหลี่ฉิงซานเริ่มกลับมากระจ่างชัด เขาเห็นเสี่ยวอันใช้มือแตะหน้าอกของเขาเพื่อกระตุ้นพลังปราณของเขาด้วยความกังวล
เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย พลังปราณในร่างของเขาก็เคลื่อนที่เร็วขึ้น มันพุ่งไปที่ปอดก่อนจะเคลื่อนไปที่จมูกของเขา ความรู้สึกหายใจไม่ออกหายไปเมื่อพลังปราณเข้าแทนที่อากาศ หลี่ฉิงซานไม่เคยคาดหวังว่าพลังปราณจะมีประโยชน์เช่นนี้ มันน่าอัศจรรย์เกินไป เขาพยักหน้าให้เสี่ยวอันด้วยความรู้สึกสำนึกขอบคุณก่อนจะกัดฟันและปล่อยให้กระแสน้ำพัดเขาไปยังวังน้ำวนที่ใหญ่ที่สุด
เสี่ยวอันเคลื่อนที่ไปตามกระแสน้ำอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจกลับขึ้นไปที่ขอบสระ ผีน้อยคุกเข่าลงบนพื้นและก้มศีรษะต่อหน้าวัวดำ
วัวดำถาม “เจ้าอยากช่วยเขางั้นหรือ?”
เสี่ยวอันพยักหน้าอย่างหนักแน่น
…..
หลิวหงและหลี่หลงกลับไปที่หมู่บ้านกระทิงหมอบเพื่อปลอบโยนชาวบ้านก่อนจะกลับเมืองชิงหยาง
หมู่บ้านกระทิงหมอบดูเหมือนจะกลับคืนสู่ความสงบแต่บรรยากาศของความหวาดกลัวและไม่สบายใจยังอ้อยอิ่งอยู่รอบๆ ป้อมวายุทมิฬเหมือนภูเขาที่กดทับอยู่บนศีรษะของพวกเขา มันทำให้หลายคนต้องการหนีออกจากหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตามคำสัญญาที่หลี่ฉิงซานให้ไว้ก่อนจะจากไปทำให้ทุกคนยังมีความหวัง ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หลี่หลง อัจฉริยะของหมู่บ้านไม่สามารถปกป้องพวกเขา หลิวหง ผู้ยิ่งใหญ่จากเมืองชิงหยางที่มาถึงหลังจากนั้นก็เช่นกัน มีเพียงหลี่ฉิงซานเท่านั้นที่ยืนหยัดอยู่ต่อหน้าพวกเขาและปกป้องพวกเขาเพียงลำพัง
หลังจากนั้นหัวของนายน้อยสามและโจรหลายสิบคนก็ถูกเจ้าหน้าที่ทางการนำกลับเมืองชิงหยาง นั่นทำให้เมืองชิงหยางตกสู่ความโกลาหล มีคนกล้าสร้างความขุ่นเคืองให้ป้อมวายุทมิฬ! ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมของยุทธภพ ทุกคนต่างรู้จักชื่อหลี่ฉิงซาน
ในสถานที่ราชการ เจ้าเมืองร่างอ้วนออกคำสั่งที่ปรึกษาของเขา “เร็วเข้า ประกาศเรื่องนี้ออกไป กลุ่มโจรถูกกวาดล้างขณะที่ข้าก้าวเข้ามาในเมืองชิงหยาง ต่อไปจะมีใครกล้ากล่าวว่าข้าไร้ประโยชน์? แขวนหัวโจรไว้ที่กำแพงเมืองให้ชาวเมืองเห็นพลังอำนาจของข้าและไปหาหลี่ฉิงซานผู้นั้น ข้าอยากขอบคุณเขาด้วยตัวเองที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ มอบรางวัลก้อนโตให้เขาด้วย!”
ที่ปรึกษากล่าว “นายท่าน เราควรรายงานต่อไปยังคนระดับสูง เราไม่จำเป็นต้องวางศีรษะไว้บนแท่นประหาร ป้อมวายุทมิฬไม่สามารถยั่วยุ สำหรับหลี่ฉิงซาน เขาจบสิ้นแล้ว”
ในสายตาของคนส่วนใหญ่ หลี่ฉิงซานเป็นคนตายไปแล้ว
แม้พวกเขาจะยกย่องความแข็งแกร่งของหลี่ฉิงซานแต่ไม่มีใครเชื่อว่าเขาสามารถรับมือป้อมวายุทมิฬ ในเมืองชิงหยาง หมีดำซ่งเซียงอู๋เป็นตัวละครที่ทำให้เด็กกลัวจนหยุดร้องไห้ เขามีชื่อเสียงมานานกว่าหลี่ฉิงซานมาก ทั้งสองอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เจ้าเมืองอ้วนลังเล ด้วยผลงานที่ถูกส่งตรงถึงหน้าประตู มันน่าเสียดายหากเขาจะไม่ใช้ประโยชน์จากมัน ดวงตาของเขากรอกไปมาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เขาจะใช้กำปั้นทุบโต๊ะ “ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ทางการและพวกเขาเป็นโจร ข้าต้องกลัวพวกเขางั้นหรือ? ถ่ายทอดคำสั่งของข้า แขวนศีรษะทั้งหมดบนกำแพงเมือง ข้าจะดูว่าขุนนางและผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นเหล่านั้นจะกล้าพอที่จะไม่จ่ายภาษีเพื่อจัดการโจรหรือไม่?”