ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 39 เส้นทางปีศาจ
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 39 เส้นทางปีศาจ
แปลโดย iPAT
หลี่หลงนำหลิวหงออกเดินทาง สำนักกำปั้นเหล็กไม่เน้นทักษะท่าร่างที่สนับสนุนการเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตามพวกเขายังสามารถเคลื่อนที่เป็นระยะทางเจ็ดหรือแปดก้าวขณะที่คนทั่วไปเคลื่อนที่ได้เพียงหนึ่งก้าว พวกเขาเดินทางอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงจุดที่โจรจากป้อมวายุทมิฬเคยตั้งค่ายพักแรม แต่มันมีเพียงซากศพที่กำลังถูกกัดกินโดยหมาป่าสองสามตัวเท่านั้น เมื่อพวกเขามาถึง หมาป่าก็เงยหน้าขึ้นคำราม
หลิวหงก่นเสียงเย็น นั่นทำให้ฝูงหมาป่าหวาดกลัวและหลบหนีไปทันที จากนั้นหลิวหงก็ตรวจสอบศพ “นี่คือพลังอำนาจของธนูแยกหินจริงๆ ฮวงปิงหูมอบอาวุธที่ใช้สร้างชื่อให้เด็กคนนี้ เขาเป็นศิษย์ของฮวงปิงหูงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้ ด้วยความสามารถของเจ้าเสือป่วย เขาไม่สามารถเลี้ยงดูศิษย์เช่นนี้”
“แต่เขายังมอบธนูแยกหินให้เด็กนั่น บางทีฮวงปิงหูอาจต้องการให้เด็กผู้นี้รับตำแหน่งหัวหน้านักล่าของหมู่บ้านบังเหียนม้า ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่กลัวป้อมวายุทมิฬ ตราบเท่าที่เขากลับหมู่บ้านบังเหียนม้า ป้อมวายุทมิฬจะไม่สามารถทำสิ่งใด หลังจากทั้งหมดพวกเขาจะกล้าบุกทำลายหมู่บ้านบังเหียนม้างั้นหรือ?”
“หลี่ฉิงซานต้องการฆ่าพวกเขาทั้งหมดจริงๆงั้นหรือ?” หลี่หลงตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อกลิ่นคาวเลือดพุ่งเข้าโจมตีจมูกของเขา เขาฝึกศิลปะการต่อสู้มานานกว่าทศวรรษ การต่อสู้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขา อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยเข้าร่วมในการต่อสู้แห่งชีวิตและความตาย อย่างมากที่สุดเขาก็จะลงโทษพวกอันธพาลข้างถนนหรือรังแกคนจรที่เดินทางอยู่ในยุทธภพเท่านั้น เขาไม่เคยเห็นคนตายมากมายเช่นนี้มาก่อน
“ตั้งแต่เขาเริ่มลงมือ เขาก็ต้องฆ่าโจรทั้งหมด อาหลง เมืองชิงหยางสงบสุขเกินไป เดิมทีด้วยพรสวรรค์และทักษะของเจ้า เจ้าควรยิ่งใหญ่กว่านี้” หลิวหงต้องการใช้โอกาสนี้สอนบทเรียนให้กับศิษย์ของตน
หลี่หลงคิดแต่ไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไร
หลิวหงยังตรวจสอบศพต่อไป “หือ? แผลนี้แปลกมาก!” เขาค้นพบโจรที่ถูกกรีดคอ
“แปลกอย่างไร?”
“โจรคนนี้เสียชีวิตท่ามกลางกลุ่มคน ดูจากท่าทางตอนที่เขาเสียชีวิต มันเหมือนเขาตายโดยไม่รู้ตัว”
“นี่เป็นไปได้อย่างไร?” หลังจากนั้นหลี่หลงก็ค้นพบศพของโจรอีกหลายคนที่มีบาดแผลลักษณะเดียวกัน หลี่หลงจินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและตัวสั่น เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆและสงสัยว่าสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวกำลังซ่อนตัวอยู่ในป่าที่มืดมิดแห่งนี้หรือไม่ เขาสามารถผ่อนคลายลงเพียงเมื่อเขามองไปที่หลิวหงเท่านั้น
“ทักษะการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มีเพียงศิษย์สายในของนิกายถ้ำมังกรเท่านั้น ไม่เพียงหลี่ฉิงซานจะมีผู้ช่วยแต่พวกเขายังแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน” แม้หลิวหงจะมีประสบการณ์มากมายแต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าสาเหตุที่โจรเหล่านี้ตายโดยไม่สามารถตอบสนองเป็นเพราะพวกเขามองไม่เห็นคู่ต่อสู้
ทั้งสองติดตามร่องรอยของการต่อสู้และสำรวจลึกเข้าไปในภูเขา ศพของโจรชัดเจนพอๆกับเสาไฟนำทาง
มีโจรที่ล้มลงเพราะลูกธนูและมีโจรที่เสียชีวิตด้วยการถูกกรีดคอ
หลี่หลงรู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจโดยเฉพาะเมื่อเขานึกถึงคำกล่าวก่อนหน้านี้ของหลี่ฉิงซานที่ว่า “วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดต้องตาย!” เดิมทีหลี่หลงปฏิบัติต่อคำกล่าวของหลี่ฉิงซานเหมือนเรื่องตลก แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะเป็นคำสัญญาจริงๆ ย้อนกลับไปเมื่อหลี่ฉิงซานคว้าคอของเขา เขาไม่รู้สึกกลัวเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้เขารู้สึกหวาดกลัวมาก
หลังจากพบศพของโจรอีกคน หลี่หลงกล่าว “พวกโจรตายหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงนายน้อยสามเท่านั้น” ต่อมาพวกเขาก็พบม้าตัวหนึ่งนอนอยู่บนพื้นพร้อมน้ำลายฟูมปาก
ไม่นานหลิวหงก็หยุดเท้าและมองไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แม้จะเป็นผู้อาวุโสที่มากประสบการณ์ก็ยังตกใจอย่างมาก เลือดไหลเป็นทางยาวราวกับสายน้ำ กลิ่นคาวเลือดทั้งแหลมคมและอบอวลยิ่งกว่ากองซากศพของกลุ่มโจร ซากร่างที่นอนอยู่ที่นั่นอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ ชัดเจนว่าเขาถูกทรมานอย่างหนักก่อนตาย
หลี่หลงชำเลืองมองเพียงครั้งเดียวแต่แทบอาเจียนออกมา
ตลอดทั้งคืน นายน้อยสามผู้นี้รู้สึกเหมือนติดอยู่ในฝันร้ายที่ไม่สามารถตื่น คนข้างกายของเขาตกตายไปทีละคนขณะที่เทพแห่งความตายเดินเข้ามาหาเขาทีละก้าว
นายน้อยสามใช้ทักษะการเคลื่อนไหวของเขาเพื่อหนีกลับป้อมวายุทมิฬอย่างสิ้นหวัง การเคลื่อนไหวของเขาไม่ใกล้เคียงกับคำว่าสง่างาม มันไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนของนิกายถ้ำมังกร อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้เชื่องช้า แต่อาจเป็นเพราะศัตรูที่เขาเผชิญหน้าอันตรายเกินไป
ลมหนาวพัดเข้าปะทะลำคอด้านหลังของเขา ศัตรูประชิดเข้ามาเรื่อยๆ เขากลัวจนไม่กล้าหยุดเท้า เพียงเมื่อพละกำลังของเขาหมดลง เขาจึงหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
เมื่อมองลงจากเนินเขา เขาสามารถมองเห็นป้อมวายุทมิฬแล้ว นั่นทำให้เขาสามารถเผยรอยยิ้ม
แต่...
“ปุ!”
ลูกธนูพุ่งผ่านอากาศมาเข้ามาแทงต้นขาของเขาก่อนจะฝังลึกเข้าไปในเนื้อไม้ ใบไม้ร่วงลงมาจากต้นอย่างช้าๆราวกับสายฝน
นายน้อยสามเพิกเฉยต่ออาการบาดเจ็บและมองร่างอันน่าสะพรึงกลัวที่โผล่ออกมาจากป่า ร่างนี้เผยรอยยิ้มราวกับนักล่าที่จับเหยื่อได้หลังจากไล่ล่ามาเป็นเวลานาน
“มันจบแล้ว นายน้อยสาม!”
“ข้ายอมรับว่าวันนี้ข้าทำผิด ยุทธภพมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากเราหันมาเป็นมิตร อ๊าก!” ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย นายน้อยสามพยายามหลอกล่อหลี่ฉิงซานโดยเอ่ยอ้างถึงคำกล่าวที่ฟังดูดีของยุทธภพ อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะกล่าวจบ ลูกธนูอีกดอกก็แทงทะลุร่างของเขาอีกครั้ง
“อย่าพูดคำนั้น เจ้าไม่คู่ควร บอกข้าทุกอย่างเกี่ยวกับป้อมวายุทมิฬ พวกเจ้ามีสมาชิกกี่คน มีหัวหน้าและลูกน้องกี่คน ทักษะของเจ้าป้อมเป็นอย่างไร?”
“หากข้าบอกเจ้า เจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไม่?” ร่างกายของนายน้อยสามเปียกโชกไปด้วยเหงื่อและเลือด เขารู้สึกทั้งเจ็บปวดและหวาดกลัว
หลี่ฉิงซานพิจารณาคำถามนั้นก่อนตอบ “ไม่ ข้าไม่สามารถ ข้าเคยบอกไปแล้วว่าวันนี้พวกเจ้าทั้งหมดต้องตาย แต่ข้าจะให้เจ้าตายอย่างรวดเร็ว!” เขาไม่ได้พยายามโกหก เขาจะฆ่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดหรือไม่ก็ตาม
นายน้อยสามกล่าว “สารเลว! หากต้องการฆ่าก็ฆ่า ข้าจะไม่บอกและไม่แม้แต่จะสบตาเจ้า!”
หลี่ฉิงซานเผยรอยยิ้มเย็นชา “ตามที่ต้องการ!” แสงสีแดงส่องประกายขึ้นจากส่วนที่ลึกที่สุดในดวงตาของเขา กระทั่งหลี่ฉิงซานก็ไม่ตระหนักถึงมัน
หลี่หลงไม่สามารถสงบจิตใจขณะที่พยายามละสายตาจากศพใต้ต้นไม้ให้มากที่สุด “ท่านอาจารย์ พวกเรายังต้องไล่ตามเขาอีกหรือไม่?”
หลิวหงโบกมือ “ไม่จำเป็น ตอนนี้ตัวอันตรายปรากฏขึ้นแล้ว ยุทธภพจะต้องปั่นป่วนอย่างแน่นอน” เขาเคยเห็นคนดุร้ายมามากมาย นายน้อยสามสามารถต่อสู้กับคนเหล่านั้น อย่างไรก็ตามสำหรับบางคนที่ดุร้ายและไร้ปรานีตั้งแต่เด็กเช่นนี้หาได้ยาก โดยทั่วไปผู้คนมักอาเจียนออกมาในครั้งแรกๆของการฆ่า เพียงเมื่อผ่านประสบการณ์แห่งชีวิตและความตายมาหลายครั้ง หัวใจของพวกเขาจึงจะค่อนๆเย็นชาและแข็งกระด้าง
หลี่หลงกล่าว “เขาเป็นเพียงนักสู้ชั้นสาม เขาใช้วิธีลอบโจมตีเพื่อทำให้นายน้อยสามตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงให้ความสำคัญกับเขามากนัก?”
หลิวหงตอบ “ข้าจะบอกเจ้า คนเช่นนี้จะปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่รู้จบสิ้นในยุทธภพและทุกคนล้วนทรงพลัง พวกเขาสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจที่น่าเหลือเชื่อออกมา เจ้าไม่สามารถเป็นศัตรูกับพวกเขาโดยไร้เหตุผล”
“มันเป็นไปได้อย่างไร?” หลี่หลงยังไม่เข้าใจ พวกเขาสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวออกมาเพียงเพราะความดุร้ายและไร้ปรานีงั้นหรือ?
“แก่นแท้ของศิลปะการต่อสู้คือการสังหาร”
อย่างไรก็ตามคนที่หลิวหงระบุว่าเป็นตัวอันตรายกำลังคุกเข่าอยู่ข้างลำธารเล็กๆและหลั่งน้ำตา
สุดท้ายแล้วนายน้อยสามก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่แสดงออก เขาบอกทุกสิ่งที่หลี่ฉิงซานต้องการรู้ก่อนจะอ้อนวอนร้องขอความตาย
หลังจากจัดการนายน้อยสามด้วยดาบ แสงสีแดงในดวงตาของหลี่ฉิงซานก็เลือนหายไปขณะที่เขาพึ่งรู้ตัวว่าตนเองทำสิ่งใดลงไปบ้าง เขาใช้วิธีที่โหดเหี้ยมที่สุดในการทรมานคนผู้หนึ่ง คนที่มีชีวิต! แต่นั่นยังไม่ใช่ส่วนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด ส่วนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดที่แท้จริงคือการที่เขารู้สึกยินดีที่ได้ทำเช่นนั้น
‘เกิดสิ่งใดขึ้นกับข้า?’
กีกเท้าวัวก้าวมาจากฝังตรงข้ามของลำธาร หลี่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น วัวดำมองมาที่เขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนการยอมรับและเย้ยหยัน “เจ้าดูเหมือนปีศาจมากขึ้นแล้ว”
“อะ...อันใด!?” หลี่ฉิงซานรู้สึกไม่อยากยอมรับแต่เขาเข้าใจแล้วว่ายิ่งเขาก้าวหน้าไปมากเท่าใด ทักษะที่เขาฝึกฝนก็ยิ่งส่งผลต่ออารมณ์ของเขามากเท่านั้น ตั้งแต่มันเป็นทักษะของปีศาจ มันย่อมไม่เกี่ยวข้องกับความเมตตาปรานีใดๆทั้งสิ้น