ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 38 ฆ่าไม่เลี้ยง
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 38 ฆ่าไม่เลี้ยง
แปลโดย iPAT
“ผู้ใด? ใครอยู่ตรงนั้น!?” นายน้อยสามตะโกน แม้เขาจะได้รับบาดเจ็บแต่เขายังมีทักษะบางอย่าง
“ตุบ!” โจรอีกคนถูกกรีดคอและทรุดลงกับพื้น เขาเป็นคนที่แนะนำให้นายน้อยสามตัดหัวหลี่ฉิงซาน
อสูรกายที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนตัวอยู่ในความมืด ความหวาดกลัวกลืนกินหัวใจของโจรทั้งหมดทันที ไม่มีผู้ใดเห็นศัตรูหรือรู้ว่าสหายของพวกเขาเสียชีวิตอย่างไร ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครจะตายเป็นรายต่อไป หลังจากทั้งหมดสิ่งที่มองไม่เห็นน่ากลัวที่สุด
ท่ามกลางความโกลาหล โจรคนที่สามและสี่ล้มลงบนพื้นราวกับถูกเคียวของมัจจุราชคร่าชีวิต
ในสายลมที่หนาวเย็นของยามค่ำคื่น มีดล่าสัตว์เลื่อนผ่านทุ่งหญ้าราวกับอสรพิษ ใบมีดทาด้วยน้ำผลไม้สีเข้ม ดังนั้นมันจึงไม่สะท้อนแสง
มันเป็นคืนเดือนมืดที่ไร้แสงจากดวงจันทร์
หลี่ฉิงซานยืนอยู่บนเนินเขาและเฝ้ามองทุกสิ่ง มีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็นเสี่ยวอันกำลังกวัดแกว่งมีดล่าสัตว์ไปรอบๆด้วยความโกรธบนใบหน้า
บทสนทนาของกลุ่มโจรทำให้ผีน้อยโกรธจัด อารมณ์ที่รุนแรงปะทุขี้นใจในของมันอีกครั้ง มันต้องการฆ่าคนเหล่านี้ทั้งหมด
หลี่ฉิงซานเห็นเสี่ยวอันพยายามเข้าหานายน้อยสามหลายครั้ง แต่ผีน้อยกลับถูกบังคับให้ล่าถอยออกมาเพราะกลิ่นอายที่ทรงพลังของนักสู้ชั้นสามเพียงพอที่จะกำหราบภูตผี เสียวอันสามารถเข้าใกล้เขาเพียงเพราะปราณหยางของหลี่ฉิงซานที่หล่อเลี้ยงมันทุกวัน
“อา...” “อา...” โจรอีกสองคนถูกสังหารโดยไม่รู้ตัว แต่นายน้อยสามก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์มากนัก เขาตะโกน “ทุกคน มารวมตัวกันที่นี่!” โจรทั้งหมดรีบวิ่งเข้าไปหาเขา ท้ายที่สุดนายน้อยสามก็ต้องรับประกันความปลอดภัยของตนเองเป็นอันดับแรก
ด้วยพลังชีวิตของคนจำนวนมากที่รวมตัวกัน มันกลายเป็นเหมือนกองไฟขนาดใหญ่ที่ป้องกันไม่ให้เสี่ยวอันเข้าไปใกล้
หลี่ฉิงซานจิบสุราจิตวิญญาณ หลังจากทั้งหมดหมัดปีศาจวัวไม่เกี่ยวข้องกับความเร็วและเขาก็ไม่มีทักษะท่าร่างที่ช่วยสนับสนุนการเคลื่อนไหว เขาอาศัยเพียงความทนทรหดเหมือนวัวกระทิงและการเติมพลังด้วยสุราจิตวิญญาณเท่านั้น
หลังจากเติมพลังเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยกธนูแยกหินขึ้น “ถึงเวลาเปิดตัวข้าแล้ว!”
เสียงตัดอากาศอันแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความมืด หากพิจารณาจากเสียงเพียงอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้ที่คนผู้หนึ่งจะสามารถบอกว่าลูกธนูถูกยิงออกมาแล้ว
ลูกศรขนนกพุ่งผ่านระยะทางอันยาวไกลก่อนจะแทงเข้าที่หน้าอกของโจรผู้หนึ่งและทะลุไปแทงโจรอีกคนที่อยู่ข้างหลัง นี่เป็นการยิงนกสองตัวด้วยศรดอก!
เพียงเมื่อกลุ่มโจรได้ยินเสียงธนู พวกเขาก็ถูกโจมตีไปแล้ว พวกเขาเคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้หลายครั้ง แต่ไม่มีโจรคนใดสามารถตอบสนองได้ทันเวลา นายน้อยสามรู้ว่าลูกธนูมีความเร็วเหนือเสียง ดังนั้นนักธนูผู้นี้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการยิงธนู ในเมืองชิงหยาง อาจมีเพียงคนเดียวที่สามารถยิงธนูลักษณะนี้
‘ไม่ ไม่ใช่เขา มิฉะนั้นข้าคงตายไปแล้ว!’ นายน้อยสามชำเลืองมองไหลขวาที่ได้รับบาดเจ็บของเขาและนึกถึงเด็กหนุ่มที่บังคับให้เขาอยู่ในสภาพนี้ เดิมทีเขาคิดว่าตนเองเพียงใจร้อนและประมาทเกินไปซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาตกลงสู่หลุมพราง อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าฝีมือการยิงธนูของเด็กนั่นจะน่ากลัวถึงเพียงนี้
ในความเป็นจริงการยิงธนูของหลี่ฉิงซานยังไม่แม่นยำมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาใช้ธนูหนักเช่นธนูแยกหินและยิงจากระยะไกล อย่างไรก็ตามโจรยืนรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่ม ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องใช้ความพยายามในการเล็งเป้ามากนัก เขาเพียงต้องยิงไปที่จุดศุนย์กลางเท่านั้น
“นายน้อยสาม เป็นเด็กจากก่อนหน้า เขาไล่ล่าพวกเรามาจนถึงที่นี่!”
“ขะ...เขาจะฆ่าพวกเขาทุกคน!”
“ลูกธนูมาจากทิศนั้น ไปเอาตัวเขามา!”
“ไม่ เราไม่สามารถแยกกัน...”
ขณะที่พวกเขากำลังโต้เถียง ลูกธนูดอกที่สองก็ปักหน้าอกของโจรอีกคน ใบหน้าของโจรทั้งหมดกลายเป็นบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว พวกเขารู้สึกราวกับตนเองเป็นแกะที่กำลังรอเวลาถูกเชือด
นายน้อยสามสั่ง “ทั้งหมดเป็นเพราะเด็กนั่น บุกไปฆ่าเขาซะ!” เขาคำรามและพุ่งไปที่เนินเขาพร้อมกับโจรคนอื่นๆ
หลี่ฉิงซานยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้าน เขายังยิงธนูต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ลูกธนูพุ่งผ่านความมืด แทงทะลใบไม้สามใบ หมุนเป็นเกลียว และเจาะเข้าไปในมัดกล้ามเนื้อ ในที่สุดก็ฝังลึกอยู่ในกระดูกของโจรก่อนจะหยุดหมุน
พลังทำลายล้างจากลูกธนูไม่แม้แต่จะให้เวลาพวกโจรได้กรีดร้องออกมา โจรที่อยู่ด้านข้างหยุดและมองสหายของตนด้วยความสยดสยอง ก่อนที่ความหวาดกลัวจะบรรเทาลง เขาก็รู้สึกปวดที่ศีรษะ จากนั้นทุกอย่างก็ดับมืดลง
ระยะห่างระหว่างลูกธนูสั้นมาก กลุ่มโจรพยายามหาที่กำบังอย่างเร่งรีบ อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำสิ่งใด พวกเขาก็หยุดหายใจไปแล้ว ลำคอของบางคนถูกแทงทะลุ มันแม่นยำจนน่าขนลุก
โจรเสียชีวิตลงอย่างต่อเนื่อง ขวัญกำลังใจของพวกเขาพังทลายลงอีกครั้ง เมื่อพวกเขากลับมารู้สึกตัว พวกเขาก็พบว่านายน้อยของพวกเขาขี่ม้าหลบหนีกลับไปที่ป้อมวายุทมิฬเรียบร้อยแล้ว นี่ทำให้กลุ่มโจรกระจัดกระจายกันไปทันที
หลี่ฉิงซานเก็บธนูแยกหินกลับไปพร้อมกับความรู้สึกปวดแขน น้ำหนักและพลังอำนาจของมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หลังจากยิงธนูหลายสิบดอกติดต่อกัน เขาก็รู้สึกว่าไม่สามารถยิงต่อไปได้อีก เขาสูดหายใจลึกและจิบสุราจิตวิญญาณอีกครั้ง
“เสี่ยวอัน เราจะไล่ล่าพวกเขา!”
…..
ชาวบ้านของหมู่บ้านกระทิงหมอบยังเต็มไปด้วยความกังวล หลี่หลงสั่งให้ผู้คนรวบรวมศพคนตายและฝังพวกเขา
“อาหลง เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?” ทันใดนั้นเสียงที่แก่ชราแต่มั่นคงพลันดังขึ้นจากความมืด
หลี่หลงตัวสั่น “ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงมาที่นี่?” เขาคือเจ้าสำนักกำปั้นเหล็กที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยาง ราชสีห์เหล็ก หลิวหง
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่สามารถขับไล่โจรภูเขา ดังนั้นข้าจึงมาดู” หลิวหงโผล่ออกมาจากความมืด ดวงตาของเขาส่องประกายเจิดจ้าขณะที่เขาปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมาตามธรรมชาติ เขาสวมชุดคลุมยาวที่หรูหรา เขาดูสง่างามและน่ากลัวราวกับราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ เขามองไปที่ศพของโจรและกล่าวต่อ “เจ้าล้มพวกเขา...หือ? ไม่ใช่เจ้า ผู้ใดที่ทำเรื่องนี้ บอกข้าว่าเกิดสิ่งใดขึ้น?”
หลี่หลงเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด เมื่อหลิวหงได้ยินเกี่ยวกับคำพูดและการกระทำของนายน้อยสาม เขาก็ก่นเสียงเย็นไม่พอใจ “ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาและดูแคลนสำนักกำปั้นเหล็กถึงเพียงนี้ หากข้าอยู่ที่นั่น ข้าจะฆ่าเขาด้วยตนเอง ข้าอยากรู้นักว่าหมีเฒ่าตัวนั้นกล้าพอที่จะต่อต้านข้าหรือไม่?”
เมื่อเขาได้ยินเกี่ยวกับการกระทำของหลี่ฉิงซาน เขายกย่องทันที “ช่างกล้าหาญและแข็งแกร่ง หลี่ฉิงซานที่เจ้าพูดถึงอายุเท่าใด?”
“ประมาณสิบห้า” เมื่อกล่าวถึงอายุของหลี่ฉิงซาน แม้แต่หลี่หลงก็ยังรู้สึกประหลาดใจ หลังจากทั้งหมดหลี่ฉิงซานยังเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นเท่านั้น
“อันใด!? สิบห้าเท่านั้นหรือ?” หลิวหงตกใจ เขาเป็นผู้อาวุโสที่มากประสบการณ์ เขาเคยเห็นนักสู้ชั้นสามอายุสิบห้าหรือสิบหกมามาก เขายังเคยเห็นกระทั่งนักสู้ชั้นหนึ่งในช่วงอายุเดียวกันนี้ อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นล้วนได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังใหญ่ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็มีอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง
โดยปราศจากคำแนะนำจากอาจารย์ที่ดี มันเป็นไปไม่ได้ที่เด็กอายุเท่านี้จะประสบความสำเร็จถึงระดับนี้ไม่ว่าพวกเขาจะมีพรสวรรค์สูงส่งเพียงใดก็ตาม “เจ้าตัดสินใจถูกต้องแล้วที่คืนดีกับเขา หลี่ฉิงซานผู้นี้อาจเป็นศิษย์ของผู้ยิ่งใหญ่บางคนในยุทธภพ ไปกันเถอะ ไปดูกัน”