ตอนที่แล้วบทที่ 766 พื้นที่ที่มีการโทรเข้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 768 ตัดสายทิ้ง

บทที่ 767 ทำไมไม่ระเบิดตายห่ากันไปให้หมด!(ตอนฟรี)


บทที่ 767 ทำไมไม่ระเบิดตายห่ากันไปให้หมด!

ครั้งนี้จี้เฟิงไม่ทำให้หวังซินและคนอื่นๆในบริษัทเครือข่ายเถิงเฟยผิดหวัง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เขากลับไปที่สำนักงานของบริษัทเครือข่ายเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเบราว์เซอร์ใหม่ที่หวังซินและคนอื่นๆกำลังพัฒนา

อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงการแนะนำอย่างง่ายๆ ไม่กี่อย่างจากหยางหยูและหวังซิน แต่มันก็ทำให้จี้เฟิงรู้สึกตกใจ

“จุดขายและคุณสมบัติที่ดีที่สุดของเบราว์เซอร์ที่เรากำลังพัฒนาคือมันสามารถนำเสนอโหมด 3 มิติได้ และยังใช้ได้กับทีวีและคอมพิวเตอร์ออลอินวันทุกประเภท! พูดง่ายๆคือ เมื่อเบราว์เซอร์นี้ได้เปิดตัวสู่ตลาด ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องวิ่งแจ้นไปที่โรงภาพยนตร์อีกต่อไป แต่แค่นั่งอยู่ที่บ้านก็สามารถเพลิดเพลินไปกับโหมดภาพ 3 มิติได้แล้ว!” หยางหยูกล่าว

จี้เฟิงตกตะลึง “มันร้ายกาจขนาดนั้นเลยเหรอ? เทคโนโลยี 3 มิติที่นายพูดคือจะทำให้หนังธรรมดาดูเป็น 3 มิติได้งั้นเหรอ? เพราะเท่าที่ฉันจำได้การจะทำหนัง 3 มิติ เขาจะต้องใช้เทคโนโลยีนั้นตั้งแต่ตอนถ่ายทำ”

“เบราว์เซอร์ที่เราพัฒนาขึ้นนี้มีฟังก์ชันในการแปลง หากเป็นภาพยนตร์ 3 มิติ ก็จะสามารถสร้างเอฟเฟกต์ของโรงภาพยนตร์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าหากเป็นภาพยนตร์ในโหมดปกติ ก็สามารถปรับปรุงเอฟเฟกต์สามมิติได้ด้วย!” หยางหยูก็ไม่ต่างจากหวังซิน เมื่อพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีที่เขาชื่นชอบ ดวงตาของเขาจะลุกวาวเป็นประกาย เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเรียกดูผ่านหน้าเว็บ ก็ยังเป็นแบบ 3 มิติด้วยเช่นกัน มันจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกแปลกใหม่มาก!”

อันที่จริงเบราว์เซอร์ที่เราพัฒนาเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการทดสอบการตอบสนองของผู้คนในวงกว้าง แต่จุดประสงค์ก็คือทำให้ผู้ใช้ได้รู้สึกถึงประสบการณ์ใหม่ๆ กระตุ้นความต้องการที่อยากจะครอบครอง จะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองตามยุคสมัยไม่ทัน และเป็นการวางรากฐานสำหรับการโปรโมตผลิตภัณฑ์ในอนาคตของเรา” หวังซินที่อยู่ข้างๆอธิบายขึ้น

จี้เฟิงที่ได้ฟังรายละเอียดก็เข้าใจมากขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าและยิ้ม “เข้าใจล่ะ แล้วเบราว์เซอร์นี้จะใช้งานได้เมื่อไหร่?”

“น่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้น ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการทดสอบขั้นสุดท้ายและปรับปรุงบางส่วนที่ยังไม่เสถียร” หยางหยูกล่าว

จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “แล้วพวกคุณวางแผนที่จะโปรโมตยังไง ต้องการให้ฉันสนับสนุนเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

จี้เฟิงไม่มีประสบการณ์ในการโปรโมตและส่งเสริมธุรกิจทางด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เลย ทั้งยังไม่มีความรู้ในเรื่องนี้มากนัก ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่คิดที่จะเข้าไปแทรกแซงและเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ และวิธีที่ดีที่สุดคือทำตามคำแนะนำของหยางหยูและหวังซินพร้อมทั้งให้การสนับสนุนที่จำเป็น เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“เนื่องจากนี่เป็นการทดสอบประสิทธิภาพเบื้องต้นหากใช้งานจริง เราจึงยังไม่ได้วางแผนที่จะทำการโฆษณาแบบครอบคลุมขนาดนั้น แต่จะมุ่งเน้นไปที่การโปรโมตบนอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก แน่นอนว่าเป้าหมายของกลุ่มลูกค้าชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้ว พวกเขาเหล่านั้นมักจะอยู่ตามเว็บบอร์ดต่างๆ และฉันเชื่อว่าผลการโปรโมตจะไม่เลวร้ายจนเกินไป” หยางหยูยิ้ม

“อันที่จริง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของเวลา ตราบใดที่เวลาเพียงพอ ฉันเชื่อว่าผู้คนจะรู้จักเบราว์เซอร์ของเรามากขึ้นเรื่อยๆ และจำนวนคนที่จะใช้เบราว์เซอร์ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น...” หวังซินอธิบายเสริม

จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่นัก แต่มีอะไรก็สามารถพูดคุยกับฉันได้ตลอดนะ หรือถ้าพวกคุณต้องการอะไรก็บอกผู้จัดการหรือบอกฉันโดยตรงได้เลย ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนพวกคุณ!”

“เยี่ยมไปเลย พวกเราต้องการการสนับสนุนจากคุณจริงๆ!” หยางหยูหัวเราะ “แต่บอสครับ อันที่จริง ตามแผนของฉันกับหวังซิน บริษัทเครือข่ายของเราไม่ได้ตั้งใจจะทำเบราว์เซอร์หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆเท่านั้น แต่มันยังเป็นการเปิดช่องทางให้บริษัทเราได้เปิดตัวสู่ตลาดด้วย ให้โลกภายนอก ได้รู้ถึงการมีอยู่ของบริษัทเครือข่ายเถิงเฟย ได้รู้จักพวกเรามากขึ้น และให้พวกเขารู้จักเทคโนโลยีของเรา!”

“แล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงของนายคืออะไร?” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม

แปลกจริงๆ เป็นเจ้าของบริษัทแท้ๆ แต่เขากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป้าหมายสูงสุดของบริษัทเครือข่ายคืออะไร!

“การใช้เบราว์เซอร์ที่เรากำลังพัฒนาอยู่นี้เป็นตัวบุกเบิกพาเราเข้าสู่ตลาด ให้ผู้คนในอุตสาหกรรมนี้รู้จักบริษัทของเรามากขึ้น เพื่อที่พวกเขาจะสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากเราได้อย่างมั่นใจ ส่วนเป้าหมายสูงสุดของเราคือการพัฒนาซอฟต์แวร์ควบคู่ไปกับการทำธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีแบบครบวงจร ให้สมกับเป็นบริษัทเครือข่ายและกลายเป็นบริษัทเครือข่ายขนาดใหญ่!” หยางหยูพูดเสียงดัง

จี้เฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “โอเค! ถ้าอย่างนั้นฉันจะตั้งตารอวันนั้น!”

“ไม่นานเกินรอแน่ครับบอส!” หยางหยูกล่าวอย่างมั่นใจ

“แน่เหมือนกันนี่เรา!” จี้เฟิงต่อยหยางหยูและหัวเราะ

หยางหยูยิ้มอย่างบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ “บอส... คุณต่อยแรงเกินไปแล้ว!”

“ฮ่าๆๆๆ!” จี้เฟิงหัวเราะเสียงดัง “เอาล่ะ พวกคุณก็กลับไปทำงานกันเถอะ ฉันจะไปดูข้างบน!”

“เชิญทางนี้ครับท่านประธาน!” ผู้จัดการพูดด้วยรอยยิ้ม

หลังจากนั้นจี้เฟิงได้พูดคุยกับผู้จัดการของบริษัทเครือข่ายอย่างละเอียด โดยจี้เฟิงกำชับไปที่เวลางานและเวลาพักผ่อนของหวังซิน หยางหยูและคนอื่นๆ ให้เป็นระบบระเบียบ ร่วมถึงการสนับสนุนด้านลอสจิสติกส์ของพวกเขา

ผู้จัดการคนนี้เป็นผู้จัดการคนใหม่ ส่วนเรื่องนิสัยเป็นยังไง เก่งแค่ไหน มีความสามารถเท่าไหร่ จี้เฟิงไม่ค่อยรู้รายละเอียดลึกซึ้งมากนัก ข่าวที่เกี่ยวกับผู้จัดการคนนี้ที่เขาได้ยินก็เป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำจากปากของหยางหยูและหวังซิน ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เขารู้อะไรเท่าไหร่ ดังนั้นบทสนทนานี้จึงเท่ากับเป็นการตอกย้ำจุดยืนของเขาว่าความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งสำคัญคือต้องดูแลสุขภาพของช่างเทคนิคทุกคน การรักษาบุคคลที่มีพรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด รวมถึงการสร้างบรรยากาศต่างๆไม่ให้พวกเขารู้สึกหมกมุ่นกับงานหรือหดหู่จนเกินไปที่นี่!

พูดกันตามความจริง แม้ว่าจะยังไม่ได้เห็นผลลัพธ์ใดๆจากบริษัทเครือข่าย นับตั้งแต่ก่อตั้งมา แต่จี้เฟิงไม่ได้รู้สึกกังวลเลย เขารู้ว่าหวังซินและหยางหยูคือผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ที่หาตัวจับได้ยาก ความอดทนรอของเขาไม่ใช่การเสียเวลาเปล่าอย่างแน่นอน แต่จี้เฟิงกังวลว่าพนักงานคนอื่นๆอาจจะเบื่อด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องคุยและกำชับกับผู้จัดการให้ดี

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีวี่แววของเรื่องนี้ นั่นจึงทำให้จี้เฟิงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง

.....

เมื่อจี้เฟิงออกมาจากบริษัทเครือข่ายก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว เกล็ดหิมะเล็กๆที่ตกลงมาเบาๆเมื่อตอนเที่ยงตอนนี้มันตกหนักจนพื้นดินทั้งหมดกลายเป็นสีขาว ในสถานที่เปลี่ยวนี้ แสงไฟในอาคารสำนักงานช่วยทำให้ฤดูหนาวนี้อุ่นขึ้นเล็กน้อย

จี้เฟิงนั่งอยู่ในรถ มองกระจกมองหลังและอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย

ในตอนนี้มันไม่สำคัญเลยว่าบริษัทเครือข่ายจะประสบความสำเร็จหรือไม่ กุญแจสำคัญคือมีบุคคลที่มากความสามารถอยู่ที่นี่แล้ว และจี้เฟิงจะต้องเข้าสู่การฝึกขั้นที่สามให้เร็วที่สุด จะได้เริ่มเรียนรู้วิธีสร้างม่านแสงของกาแล็กซีแกรมมา เมื่อถึงเวลานั้นบริษัทเครือข่ายจะได้ก้าวสู่การเดินทางที่แท้จริง!

สำหรับตอนนี้ มันยังอยู่ในขั้นตอนสะสมประสบการณ์เท่านั้น ถ้าหยางหยูและหวังซินสามารถบรรลุผลได้เมื่อไหร่ จี้เฟิงเชื่อว่าพวกเขาจะยิ่งต้องสร้างความประหลาดใจให้กับวงการนี้อีกมาก!

แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ใดๆได้เลยก็ตาม จี้เฟิงก็ไม่เสียใจ สุดท้ายแล้วพวกเขาสองคนก็เป็นช่างเทคนิค พวกเขาไม่มีแผนงานอย่างเป็นระบบ ไม่มีใครออกมารับคำสั่งและจัดการขั้นตอนการดำเนินธุรกิจ และไม่มีใครมอบหมายงานให้

ดังนั้นความคิดและมุมมองของช่างเทคนิคอาจไม่สอดคล้องกับการจัดการที่ต้องการสร้างผลกำไร มันเป็นเรื่องยากที่จะให้คนเราเก่งไปเสียทุกเรื่อง

แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป จี้เฟิงได้มอบหมายงานเหล่านี้ให้กับผู้จัดการและหวังซิน เพื่อจัดตั้งโครงสร้างของบริษัทเครือข่าย ตั้งแผนกต่างๆที่จำเป็น และรับสมัครบุคลากรทางธุรกิจอื่นๆเพิ่มเติม

“ถึงเวลาแล้ว!” จี้เฟิงพูดในใจ เขาจะต้องเข้าสู่การฝึกขั้นที่สามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นธุรกิจต่างๆของบริษัทเครือข่ายจะค่อยๆเสถียรขึ้นเช่นกัน และเมื่อเขาเข้าถึงเทคโนโลยีด้วยตัวเอง ขั้นตอนการพัฒนาก็จะสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น

แต่ก่อนหน้านั้นจี้เฟิงต้องการปลูกฝังการจัดการให้กับคนที่เข้าใจเทคโนโลยีเป็นอย่างดี เป็นผู้จัดการที่เอาใจใส่และเข้าใจงานด้านนี้เป็นอย่างดี และคนที่เขาเลือกก็คือหวังซิน

ในอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกหวังซินนั้นเป็นเพราะหวังซินมีความยืดหยุ่นมากกว่าหยางหยู ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่เธอก็มีทักษะที่ดีและมีสุขภาพดีกว่าหยางหยู และเมื่อการจัดการกับเทคโนโลยีต้องดำเนินการไปพร้อมกัน ความกดดันก็จะสูงขึ้น ดังนั้นแล้ว สุขภาพร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ จนกว่าจะถึงวันนั้น ถ้าไม่มีใครที่เพียบพร้อมไปกว่านี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับจี้เฟิงจึงมีเพียงแค่หวังซินเท่านั้น

ตั้งแต่การจัดตั้งโครงสร้างบริษัท ไปจนถึงการสรรหาบุคลากรทางธุรกิจ การฝึกอบรม จากนั้นจึงออกไปดำเนินการทางธุรกิจและรับคำสั่งต่างๆ หวังซินจะต้องเข้าร่วมในกิจกรรมเหล่านี้ทั้งหมด และมันจะทำให้เธอค่อยๆเติบโต และเปลี่ยนผ่านสิ่งเหล่านี้มาเป็นการจัดการทั่วไป ไม่ได้เป็นเพียงแค่ช่างเทคนิคอีกต่อไป

ในขณะที่บริษัทค่อยๆเติบโต จี้เฟิงต้องการคนใกล้ชิดมาดูแลบริษัท ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ของบริษัทได้อย่างสมบูรณ์ และอาจเกิดปัญหาภายในขึ้น

ดังนั้นจี้เฟิงจึงตัดสินใจออกมาในรูปแบบนี้

“ฉันหวังว่าในอนาคต หวังซินจะสามารถสนับสนุนบริษัทเครือข่ายเถิงเฟยให้ไปถึงจุดสูงสุดได้ ทั้งตัวเธอและบริษัทจะต้องเติบโตเป็นยักษ์ใหญ่ที่ใครๆก็ต้องรู้จัก!” จี้เฟิงผู้ซึ่งกำลังขับรถอยู่อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น “ฉันมั่นใจว่ามันจะต้องสำเร็จ!”

แต่พอจี้เฟิงนึกถึงเสียงของคนจากประเทศเกาะที่โทรมาข่มขู่ ใบหน้าของเขาก็ดำมืดลงทันที

ตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้ว เขาก็คิดมาโดยตลอดว่าเขาไปทำให้ใครผูกใจเจ็บได้ขนาดนั้น อีกฝ่ายเป็นใคร? ทำไมถึงได้โทรศัพท์มาข่มขู่ด้วยความโกรธแค้นแบบนี้ แต่ในเมื่อคิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่ได้คำตอบ จี้เฟิงจึงตัดสินใจที่จะไม่คิดถึงมันอีก แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของจี้เฟิง

“ตอนที่อีกฝ่ายพูด มันเป็นสำเนียงหยานจิงอย่างชัดเจน...” จี้เฟิงยังคงครุ่นคิดอยู่ในใจ และยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าอีกฝ่ายเคยอยู่ที่หยานจิงมาระยะเวลาหนึ่งหรือแค่จงใจเลียนแบบสำเนียงหยานจิงเพื่อให้เขาเข้าใจผิดและไม่สามารถค้นหาได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนกันแน่

“เจ้าเล่ห์นักนะ!”

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเย้ย “โผล่แต่หาง หัวกลับซ่อนซะมิดชิด ขี้ขลาด!” ถ้ามันเป็นเพียงการโทรขู่ธรรมดา จี้เฟิงจะไม่กังวลมากขาดนี้เลย กับคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะโชว์หน้าตาตัวเอง จะมีอะไรที่ต้องกลัว

แต่คนที่โทรมาขู่ครั้งนี้ไม่เหมือนอย่างองค์กรหวางฉาวหรือคนจากสำนักซวนเหมิน จี้เฟิงรู้สึกได้ถึงพลังงานอันมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในความมืดของอีกฝ่าย และมันรอแค่เพียงโอกาสที่จะทำให้จี้เฟิงรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสอย่างที่มันได้ขู่เอาไว้!

จากน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นฝังลึก มันเหมือนกับว่าต่อให้อีกฝ่ายจะจับจี้เฟิงมาสับเป็นพันๆชิ้นก็ไม่อาจลบล้างความแค้นในจิตใจไปได้ ความเกลียดชังนี้ลึกซึ้งเกินไป มันดูไม่เหมือนการโทรขู่คุกคามทั่วไป

ดังนั้นจี้เฟิงจึงตื่นตัวและรีบไปหาหวังซินเพื่อให้เธอช่วยตรวจสอบ แต่เมื่อพบว่าเป็นสายที่มาจากประเทศเกาะ ก็ยิ่งทำให้จี้เฟิงต้องงุนงงยิ่งขึ้น!

จี้เฟิงรู้สึกว่าเขาต้องให้ความสนใจกับเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกอ่อนไหวเมื่อได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับประเทศเกาะ เขาดูเหมือนเม่นที่หวาดกลัว หนามทั้งหมดตั้งชันเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้!

และในเมื่อตอนนี้เขาได้รู้ว่าโทรศัพท์ที่โทรมาข่มขู่เป็นสายที่มาจากประเทศเกาะ ก็คงจะแปลกหากเขาจะยังนิ่งเฉยและไม่ระมัดระวังตัว!

“ทำไมอะไรหลายๆอย่างมันถึงได้โยงมาเกี่ยวข้องกับคนประเทศเกาะได้?!” จี้เฟิงพูดอย่างดุดัน “ไอ้พวกชาวเกาะโรคจิต ทำไมระเบิดปรมาณูสองลูกถึงไม่จมไอ้ประเทศเกาะเล็กๆแห่งนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปวะ เรื่องมันผ่านไปไม่รู้กี่สิบปีแล้ว หรือต้องการจะก่อสงครามอีก ไอ้พวกเวรเอ๊ย!”

ด้วยความโกรธ จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะสบถคำหยาบคายออกมา สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาโกรธมากแค่ไหน

.....จบบทที่ 767 ~

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด