ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 34 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองชิงหยาง
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 34 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองชิงหยาง
แปลโดย iPAT
แม้ฮวงปิงหูจะป่วย เขาก็ยังทำให้หลี่ฉิงซานรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ที่ดุร้ายและอันตราย ในการประลองครั้งสุดท้ายของพวกเขา ฮวงปิงหูใช้กลยุทธ์ที่ผิดพลาด เขาเลือกที่จะต่อสู้ระยะประชิดซึ่งเป็นจุดแข็งของหลี่ฉิงซาน ดังนั้นพยัคฆ์เฒ่าจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ในทางกลับกัน หากฮวงปิงหูใช้ธนู หลี่ฉิงซานจะไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามแม้เขาจะมีอาวุธอยู่ในมือก็ตาม
หลี่หลงกล่าว “ข้าได้ยินว่าเจ้าต้องการพบข้า?”
หลี่หลงมีวิจารณญาณของตนเองเช่นกัน เขาคิด ‘หลี่เอ้อผู้นี้มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา ข้าสามารถบอกได้ทันทีว่าเขาฝึกศิลปะการต่อสู้ เขาไม่เหมือนอันธพาลทั่วไป ยิ่งกว่านั้นการแสดงออกของเขายังเหมือนท่านอาจารย์เล็กน้อย”
เขารีบส่ายศีรษะเมื่อตระหนักว่าตนเองเชื่อมโยงเรื่องน่าขัน อาจารย์ของเขาเป็นผู้ใด เขาจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับคนบ้านนอกเช่นหลี่เอ้อได้อย่างไร?
“เจ้ากล้ารังควานครอบครัวของข้าขณะที่ข้าไม่อยู่ เจ้าคงไม่รู้ว่าคำว่าตายสะกดอย่างไร?”
“โอ้ ข้าอยากเรียนรู้จริงๆว่ามันสะกดอย่างไร?”
ก่อนที่หลี่ฉิงซานจะพูดจบ หลี่หลงก็ระเบิดเสียงคำรามและพุ่งเข้าโจมตีแล้ว เขาใช้หมัดทะลวงเมฆาซึ่งเป็นท่าที่เขาเชี่ยวชาญออกมาทันที
เสียงกรีดร้องดังขึ้นรอบๆ หลี่ฝูกุ้ยตะโกน “ระวัง หลี่เอ้อ!”
หลี่ฉิงซานยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่เคลื่อนไหว หลี่หลงคิดว่าฝ่ายตรงข้ามอาจไม่สามารถหลบหรืออาจตกใจกลัวจนไม่สามารถขยับเขยื้อน เขาลอบเย้ยหยันอยู่ภายใน ‘มันกลายเป็นว่าเขาก็เป็นเพียงเสือกระดาษ เจ้าทำให้ข้าประเมินเจ้าสูงเกินไป’
หมัดของหลี่หลงปะทะร่างของหลี่ฉิงซาน แต่ฝ่ายหลังยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน “ตั้งแต่เรามาจากหมู่บ้านเดียวกัน ข้าจะให้เจ้าชกก่อนสามหมัด”
หลี่หลงตกตะลึง เขาใช้กำลังเพียงสามสิบส่วนในการชกครั้งนี้ อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของเขา ไม่มีใครกล้าพอที่จะรับหมัดนี้โดยตรง แต่เด็กที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าผู้นี้กลับรับมันและกระทั่งไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เขาผงะด้วยความสงสัยและประหลาดใจ แต่นี่ยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้น คำกล่าวของหลี่ฉิงซานช่างหยิ่งยโสจริงๆ
ในเสี้ยวพริบตา หมัดที่สองก็ถูกปล่อยออกไป คราวนี้หลี่หลงใช้กำลังเจ็ดสิบส่วน ‘ครั้งนี้เจ้าจะโทษข้าไม่ได้ที่ไม่แสดงความเมตตา!’ หมัดปะทะร่างของหลี่ฉิงซานราวกับพายุกรรโชกแรง
หลี่ฉิงซานตัวสั่นแต่เขายังกล่าว “เจ้ายังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ใช่หรือไม่? รีบเถอะ มันเป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว”
หลี่หลงมองหลี่ฉิงซานราวกับเห็นผี แต่เขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดเสียงคำรามและปล่อยหมัดออกไปโดยใช้กำลังทั้งหมด มัดกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ของเขาปูดโปนขึ้นไปอีก หมัดของเขาสีเข้มขึ้นเล็กน้อย มันดูเหมือนเหล็กจริงๆ ในการต่อสู้ปกติ เขาจะไม่ทำเช่นนี้เพราะมันจะเปิดช่องว่างให้คู่ต่อสู้มีโอกาสสวนกลับ แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป เขาต้องการคว่ำเด็กหนุ่มผู้นี้จริงๆ
ร่างของหลี่ฉิงซานสั่นสะท้านขึ้นก่อนที่เขาจะก้าวถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงขณะที่เลือดในกายของเขากำลังพุ่งพล่าน “หมัดนี้ค่อนข้างแรงแต่ตอนนี้ถึงคราวของข้าแล้ว”
“โซ่เหล็กข้ามแม่น้ำ!” หลี่หลงหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว เขารีบกอดอดและใช้ท่าป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักกำปั้นเหล็ก หลังจากนั้นเขารู้สึกเหมือนวัวกระทิงพุ่งชน โซ่เหล็กขาดกลางแม่น้ำ หลี่หลงลอยกลับหลังไปอย่างไม่สามารถควบคุม แม้แต่ตอนที่เขาล้มลงบนพื้น เขาก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ‘ข้าแพ้ในกระบวนท่าเดียว! เขาเอาความแข็งแกร่งนี้มาจากที่ใด!?’
“หมัดที่สอง!” เงาดำบดบังวิสัยทัศน์และแสงแดดขณะที่หลี่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าหลี่หลง
หลี่หลงต้องการปิดกั้นแต่เขาไม่สามารถยกแขนขึ้นมาได้อีก
หมัดของหลี่ฉิงซานพุ่งลงมาจากด้านบนและกระแทกหน้าท้องของหลี่หลง นั่นทำให้หลี่หลงขดตัวเหมือนกุ้งและอาเจียนออกมาทันที
“หมัดที่สาม!” มันบินตรงไปที่ใบหน้าของหลี่หลง
ชาวบ้านกรีดร้อง เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้พวกเขาทั้งตกใจและประหลาดใจ อัจฉริยะลำดับที่หนึ่งของหมู่บ้านกระทิงหมอบที่พวกเขาเทิดทูนมาตลอด หลี่หลง พ่ายแพ้ในทันที ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถถึงเพียงนี้
หลี่หูและหลี่เปารู้สึกว่าสิ่งนี้ยากที่จะเชื่อ พี่ชายที่พวกเขาชื่นชมมาตลอดกลับบอบบางนัก
หัวหน้าหมู่บ้านหลี่ตะโกนออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “โปรดเมตตาด้วย!”
สายลมกรรโชกแรงพัดเข้ามาแต่หลี่หลงกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด เมื่อเขาเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ เขาเห็นหมัดของหลี่ฉิงซานหยุดอยู่ตรงหน้าเขา นี่ทำให้ร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบ
หลี่หลงรู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับอาจารย์ที่ไร้พ่ายของเขาขณะที่เขาทำได้เพียงหลับตาและรอการลงโทษเท่านั้น
หัวหน้าหมู่บ้านหลี่วิ่งเข้าไปคว้าแขนของหลี่ฉิงซานเอาไว้ “หลี่เอ้อ หลี่เอ้อ เพื่อเห็นแก่พ่อแม่ที่จากไป โปรดไว้ชีวิตหลี่หลงของข้าด้วย!”
“ท่านพ่อ หลบไป ให้เขาเข้ามา!” หลี่หลงดิ้นรนอยู่ที่เท้าของหลี่ฉิงซาน
หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้าจะเก็บหมัดนี้เอาไว้เพราะเห็นแก่ความกตัญญูของเจ้า” เขาค่อนข้างพอใจกับการแสดงครั้งนี้ เขาไม่ได้ภูมิใจในความแข็งแกร่งของตนแต่เป็นวิธีการที่เขาใช้จัดการปัญหา
หลี่หลงฝึกทักษะการต่อสู้มามากกว่าสิบปีแต่นั่นกลับไม่ช่วยอะไร เขามีประสบการณ์ในการต่อสู้มากกว่าหลี่ฉิงซาน หากพวกเขาต่อสู้กันจริงๆ หลี่หลงอาจไม่เข้าประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามและนั่นจะทำให้หลี่ฉิงซานต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการเอาชนะ
ด้วยเหตุนี้หลี่ฉิงซานจึงตัดสินใจใช้กลยุทธ์ให้หลี่หลงชกก่อนสามหมัด การป้องกันหมัดตรงเป็นจุดแข็งของเขา เขาสามารถใช้พลังปราณในร่างกายป้องกันการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้โดยตรง
หลังจากชกสามหมัดออกไป หลี่หลงไม่เพียงได้รับผลกระทบทางจิตใจแต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขายังลดน้อยลงอีกด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่สามารถป้องกันการโจมตีของหลี่ฉิงซานซึ่งทำให้เขาพบกับความพ่ายแพ้
หลี่หลงยืนขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากหลี่หูและหลี่เปา “เจ้าคือหลี่เอ้อจริงๆงั้นหรือ? มันเป็นไปได้อย่างไร!”
เขามีเพียงความทรงจำที่พร่าเลือนเกี่ยวกับหลี่ฉิงซาน นอกจากหลี่ฉิงซานจะไม่ค่อนเข้าสังคม เขายังไม่ใช่คนสำคัญของหมู่บ้าน จากคำอธิบายของหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ หลี่ฉิงซานเป็นเพียงเด็กหนุ่มเลือดร้อนที่ถูกบังคับให้ตอบโต้อย่างรุนแรงเท่านั้น หลี่หลงเคยเห็นเรื่องเช่นนี้บ่อยครั้งแต่เขาไม่เคยคิดว่าหลี่ฉิงซานจะรู้จักศิลปะการต่อสู้จริงๆ
สถานการณ์นี้เหมือนกับเด็กน้อยที่เดินทางผจญภัยอยู่ในภูเขาและทำงานอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างชื่อให้กับตัวเองก่อนจะกลับบ้านด้วยความรุ่งโรจน์และมั่งคั่ง เมื่อชาวบ้านบูชาเขา ทันใดนั้นเด็กบ้านนอกที่ไร้นัยสำคัญผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและกลายเป็นคนที่ร่ำรวยยิ่งกว่าเขา นี่ทำให้หัวใจของเขาจมดิ่งลง เขารู้สึกหดหู่ใจจนถึงขีดสุดก่อนจะพัฒนาไปเป็นความโกรธในไม่ช้า
“ข้าไม่ใช่หลี่เอ้อ ชื่อของข้าคือหลี่ฉิงซาน!” ตั้งแต่เขาตัดขาดกับพี่ชายไปแล้ว หลี่ฉิงซานก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ชื่อหลี่เอ้ออีก
หลี่หลงกล่าวด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย “แล้วรู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด?”
“แน่นอนข้ารู้!”
“แล้วรู้หรือไม่ว่าอาจารย์ของข้าคือผู้ใด?”
“ผู้ใด?”
“เจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักกำปั้นเหล็กแห่งเมืองชิงหยางที่รู้จักกันในนามของราชสีห์เหล็ก วีรบุรุษเฒ่าหลิว!” พ่อบ้านหลิวเดินออกมาจากฝูงชนและกล่าวขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงชื่นชมยินดี
หลี่ฉิงซานขมวดคิ้ว “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเขา”
สำนักกำปั้นเหล็กอันใด? วีรบุรุษเฒ่าหลิวอันใด? ทุกอย่างฟังดูเหมือนตัวละครชั้นสามแต่เขาก็ลืมไปว่าตัวเขาเองก็เป็นตัวละครชั้นสามเช่นกัน
“ไม่รู้? เจ้าไม่รู้จักกระทั่งชื่ออาจารย์ของข้างั้นหรือ? ดูเหมือนเจ้าจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสี่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองชิงหยาง มังกร พยัคฆ์ ราชสีห์ และหมี!”
“อย่าบอกนะว่ามังกรคือเจ้า!” หลี่ฉิงซานมองหลี่หลง นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาถูกมองเหมือนคนโง่เขลาไร้ความรู้ ในความเป็นจริงทั้งหมดที่เขารู้ก็คือสิ่งที่อยู่ในนิยายกำลังภายในจากชีวิตก่อนหน้า บุคคลที่ใช้ชื่อสัตว์เป็นฉายาล้วนเป็นตัวละครรองที่ไร้นัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นหมาป่า พยัคฆ์ เสือดาว หรืออื่นๆ
มีเพียงบุคคลที่ใช้ชื่อทิศเป็นฉายาเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริง ตัวอย่างเช่น เทพทักษิณ ปีศาจบูรพา จักรพรรดิประจิม และขอทานอุดร
“ไม่อย่างแน่นอน” หลี่หลงทั้งโกรธทั้งอยากหัวเราะ
…..
เมืองชิงหยาง ในสถานที่ราชการ ที่ปรึกษาส่งสมุดเล่มเล็กให้กับเจ้าเมืองร่างอ้วน
“นายท่าน นอกจากขุนนางท้องถิ่นเหล่านี้ยังมีสี่คนในสี่สถานที่ที่ท่านไม่สามารถรุกราน”
เจ้าเมืองอ้วนกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ข้าคงไม่สามารถทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองเลยงั้นสิ!”
ที่ปรึกษาไม่สนใจความรู้สึกของเจ้านาย เขากล่าวต่อ “มันคือหนึ่งสำนัก หนึ่งนิกาย หนึ่งหมู่บ้าน และหนึ่งป้อม”
“สำนัก นิกาย หมู่บ้าน และป้อม มันหมายความว่าอย่างไร?”
“สำนักคือสำนักกำปั้นเหล็ก นิกายคือนิกายถ้ำมังกร หมู่บ้านคือหมู่บ้านบังเหียนม้า และป้อมคือป้อมวายุทมิฬ มังกร พยัคฆ์ ราชสีห์ และหมี คือผู้นำของสถานที่เหล่านี้ นายท่าน หากท่านทำให้ขุนนางท้องถิ่นขุ่นเคือง ท่านอาจถูกขับไล่ออกจากเมืองชิงหยาง แต่อย่างมากที่สุดท่านก็จะสูญเสียตำแหน่งเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากท่านทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ขุนเคือง ท่านอาจเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัว”
ร่างของเจ้าเมืองอ้วนกระตุก “เหตุใดการเป็นขุนนางจึงน่ากลัวนัก? โอ้ ถูกต้อง เจ้าพบชายที่ช่วยพวกเราเอาไว้ในวันนั้นหรือยัง? หากข้ามีคนเช่นเขาคอยคุ้มกัน ข้าจะสามารถนอนหลับได้อย่างเต็มที่ในยามค่ำคืน”