MDB ตอนที่ 190 ผู้คุมกฎแห่งแคว้นนาคา
ที่เชิงเขา จั่วเหวินถังและคนอื่น ๆ ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนภูเขาโซโรคุ
พวกเขาเชื่อมั่นในตัวเย่หยู่โจวอย่างสุดใจ ชายผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญพิเศษเพียงไม่กี่คนของอาณาจักรมังกรหยกที่มีสัตว์เลี้ยงระดับสี่ ผู้ฝึกตนที่มีพันธสัญญาโลหิตอาณาจักรที่แปดและเป็นที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียง เขาเป็นหนึ่งในชนชั้นนำของประเทศ
หากเย่หยู่โจวได้ลงมือแล้ว ฝ่ายตรงข้ามต้องยอมจำนนอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่รู้ว่าหลังจากได้ยินประโยคเดียวนี้จากหลินจิน เปลือกตาของเย่หยู่โจวก็กระตุกด้วยความตื่นตระหนกทันที
เขาตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากสำรวจหลินจินอย่างระมัดระวังอีกครั้ง เขาก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยในทันที
ความคิดหนึ่งได้ผุดขึ้นมาในใจของเย่หยู่โจว
เนื่องจาก ชายในหน้ากากที่มีออร่าครอบงำและเรียกเขาว่า 'เฒ่าเย่'
ฉายา 'เฒ่าเย่' นี้เป็นชื่อที่รู้จักเฉพาะกับคนที่เคยเข้าไปในห้องโถงเยี่ยมชมและคนเดียวในที่แห่งนั้นที่สวมหน้ากาก นั่นก็คือภัณฑารักษ์!
ทันใดนั้น ออร่าอันแข็งกร้าวของเย่หยู่โจวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เสียงและน้ำเสียงที่ต่ำนั้นฟังดูคุ้นเคยมาก
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่นี่คือหน้ากากที่เขาสวมอยู่
เย่หยู่โจวพยายามระงับหัวใจที่เต้นเร็วรัวของเขาและพูดว่า “ท่านคือภัณฑารักษ์อย่างงั้นหรือ?”
หลินจินดูเฉยเมยราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของเขา เขาตอบว่า “ใครจะรู้ว่าเจ้าอาศัยอยู่ในเมืองเมเปิ้ล เดี๋ยวนะ เจ้ากำลังจะโจมตีข้าอย่างงั้นหรือ?”
หนังศีรษะของเย่หยู่โจวชาเมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ เขาปฏิเสธทันที “ไม่ ไม่ ข้าไม่มีทางทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน!”
ตอนนี้เขาสามารถแน่ใจได้ว่าชายผู้นี้ก่อนหน้าเขาเป็นภัณฑารักษ์
แต่เขามาที่นี่ทำไม?
จิตใจของเย่หยู่โจวยุ่งเหยิง แต่แล้ว ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา
ถ้าหลินจินเป็นศิษย์ของภัณฑารักษ์และหลินจินอาศัยอยู่ในเมืองเมเปิ้ลด้วย มันจึงไม่น่าแปลกใจที่ภัณฑารักษ์จะปรากฏตัวในแถวนี้ ใช่แล้ว ไม่มีอะไรแปลกเกี่ยวกับเรื่องนี้
อันที่จริง มันคงจะแปลกกว่านี้ถ้าภัณฑารักษ์ไม่อยู่ด้วยเลย
ในขณะนั้น หลินจินเหลือบมองไปที่มังกรทะลวงเมฆาของเย่หยู่โจว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เปิดใช้งานทักษะกำราบสัตว์วิเศษขั้นกลางทันที
เนื่องจากที่นี่ไม่ใช่ห้องโถงเยี่ยมชม หลินจินจึงไม่สามารถใช้พลังในการกำราบของภัณฑารักษ์ได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาทำจึงเป็นเดิมพันที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง
ทักษะกำราบสัตว์เศษขั้นกลางสามารถปราบสัตว์วิเศษระดับสี่และต่ำกว่าได้ แม้ว่ามังกรทะลวงเมฆาจะแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง แต่มันก็ยังคงเป็นระดับสี่ ดังนั้นทักษะของหลินจินจึงน่าจะใช้ได้ผลกับมัน
หลินจินไม่กล้าปล่อยให้จิตหลุดลอยไป เขามุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การกำราบมังกรทะลวงเมฆา
มังกรทะลวงเมฆาดูอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด แต่เนื่องจากทักษะกำรับสัตว์วิเศษของหลินจิน มันจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวใด ๆ จากนั้นหลินจินเดินไปที่ที่เจ้ามังกรและลูบตรงบริเวณที่เคยเป็นบาดแผล มันเป็นจุดที่หลินจินเย็บด้วยตัวเอง
“ตอนนี้แผลคงหายดีแล้ว”
ประโยคง่าย ๆ ที่พูดอย่างผ่อนคลาย
และถึงกระนั้น สิ่งนี้ก็ได้ขจัดข้อสงสัยทั้งหมดที่เย่หยู่โจวเก็บซ่อนเอาไวในใจ
เขาไม่ได้ควบคุมมังกรทะลวงเมฆาของเขาเลย แต่มันยอมให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของเข้าใกล้มัน มีเพียงภัณฑารักษ์เท่านั้นที่สามารถทำสิ่งนี้ได้
ดังนั้นความสงสัยทั้งหมดของเขาจึงหมดไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นมังกรทะลวงเมฆาของเขาเขยิบหัวเข้าไปที่หลินจินเพื่อแสดงความรัก สิ่งนี้ทำให้เขาเชื่อในตัวตนของภัณฑารักษ์ของหลินจินอย่างสนิทใจ
ตอนนี้เขารู้ว่าเขาได้พบกับภัณฑารักษ์โดยบังเอิญ นี่ทำให้เย่หยู่โจวความซับซ้อน ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่น่ายินดี
เขาต้องการทำให้ภัณฑารักษ์ประทับใจในตัวเขาเพื่อให้เขาได้รับการอภัย ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขา
ยิ่งกว่านั้น การได้รับตัวภัณฑารักษ์ตัวเป็น ๆ ทำให้เขามีข้อได้เปรียบเหนืออีกาทมิฬ ผีเด็กและผู้มาเยือนคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน
คนอื่น ๆ สามารถพบภัณฑารักษ์ได้ทุก ๆ 7 วันในห้องโถงเยี่ยมชม แต่เขาสามารถพบกับภัณฑารักษ์ด้วยตนเอง
นี่เป็นเกียรติอย่างยิ่ง
แม้ว่าเย่หยู่โจวค่อนข้างสงสัยว่าทำไมภัณฑารักษ์ถึงใช้เปลือกไม้มาเป็นหน้ากากของเขา แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากถามมันออกไป
ภัณฑารักษ์เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ยอดเยี่ยมและเย่หยู่โจวมั่นใจในเรื่องนี้
ส่วนสาเหตุที่พวกผู้เชี่ยวชาญเช่นนั้นมักจะทำบางสิ่งหรือสวมใส่บางอย่างที่แตกต่างจากคนปกติ พวกเขาต้องมีเหตุผลของเขาเอง
เย่หยู่โจวไม่ควรถามเรื่องนี้โดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี มันอาจทำให้ภัณฑารักษ์ขุ่นเคืองใจ
“เฒ่าเย่ เจ้ามาที่นี่ทำไมหรือ? หรือว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยชาวพื้นเมืองของทวีปกลาสซี่ที่ได้ก่อเรื่องอันชั่วร้ายหรือไม่?” หลินจินจงใจถามขณะเดินกลับไปยังตำแหน่งเดิม
เนื่องจากเย่หยู่โจวไม่สงสัยอะไร ทำให้หลินจินโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
นี่เป็นสิ่งที่หลินจินคิดได้ในตอนนาทีสุดท้าย เขาจะใช้ตัวตนของเขาในฐานะภัณฑารักษ์เพื่อแก้ไขวิกฤต เขาพร้อมที่จะให้คำอธิบายอย่างยืดยาวว่าภัณฑารักษ์กำลังทำอะไรที่นี่ แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจของเขาคือ เย่หยู่โจวไม่ได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้และยอมรับการปรากฏของเขาแต่โดยดี
เขาไม่รู้ว่าเย่หยู่โจวคิดอะไรอยู่ เขาคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงคิดหลินจินเป็นลูกศิษย์ของภัณฑารักษ์ มันจึงไม่แปลกที่ภัณฑารักษ์จะปรากฏตัวที่ไหนสักแห่งใกล้เมืองเมเปิ้ล
ตอนนี้เย่หยู่โจวอยู่ที่นี่แล้ว หลินจินวางแผนที่จะปล่อยให้ชายชราแก้ไขวิกฤตนี้ให้เขา
หลังจากได้ยิน 'การสอบสวน' ของภัณฑารักษ์ เย่หยู่โจวก็สะดุ้งโหยงและดึงสติมากลับสู่ความเป็นจริง เขาเกือบลืมเกี่ยวกับภารกิจที่เขาได้รับมอบหมายไปแล้ว
สถานการณ์ตอนนี้ชัดเจนขึ้นมาก อสุรกายตนนั้นต้องเป็นของภัณฑารักษ์และฆาตกรคนนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับเขาด้วย ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชาวพื้นเมืองไม่สามารถทำอะไรได้
มันคงจะเป็นเรื่องแปลกถ้าพวกเขาสามารถต่อสู้กับภัณฑารักษ์ได้
ลืมเรื่องคนจากแคว้นนาคาไปได้เลย จากมุมมองของเย่หยู่โจว แม้แต่ประเทศใหญ่จะต้องเผชิญหน้ากับภัณฑารักษ์ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะรุกรานเขา
ภัณฑารักษ์เองอาจเป็นผู้ปกครองประเทศขนาดใหญ่ด้วยซ้ำ
“ภัณฑารักษ์ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ามาที่นี่ตามคำร้องขอของคฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองเพื่อประเมินสถานการณ์ ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกเขาแต่อย่างไร ขอให้ท่านวางใจได้”
เย่หยู่โจวพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อเอาตัวเองให้ห่างไกลจากเรื่องนี้
หลินจินยิ้ม “ข้าเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เจ้าเช่นกัน แต่เนื่องจากศิษย์ของข้าได้ฆ่าชาวพื้นเมืองพวกนั้นไป เนื่องด้วยอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มก่อน
เฒ่าเย่ ข้าจะให้เจ้าตัดสินใจเองว่าเจ้าต้องการทำอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์นี้”
หลินจินไม่ขอความช่วยเหลือจากเฒ่าเย่อย่างชัดเจนแต่ความนัยของคำพูดของเขามันได้บ่งบอกอย่างชัดเจน
ในฐานะที่เป็นคนฉลาดและมีประสบการณ์ เย่หยู่โจวเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในระหว่างคำพูดทันที
หากเป็นคนอื่น เย่หยู่โจวคงไม่คิดที่จะช่วยเหลือพวกเขาด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกเขาจะสนิทสนมกับเขาก็ตาม แต่ภัณฑารักษ์นั้นแตกต่างออกไป เป็นเรื่องยากมากที่จะหาโอกาสที่จะได้รับความโปรดปรานจากจากภัณฑารักษ์ หากเขาไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ เขาคงไม่ต่างจากคนโง่
“ภัณฑารักษ์ ตอนนี้ข้าเข้าใจสถานการณ์แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ทวีปกลาสซี่ ดังนั้นชาวพื้นเมืองจึงไม่มีอำนาจที่นี่ ข้าจะจัดการกับผู้คุมกฎของแคว้นนาคาให้ท่านเอง”
ทันทีที่เย่หยู่โจวกล่าวจบ หลินจินก็อ้าปากค้างอย่างงุนงง เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้คุมกฎของแคว้นนาคาได้อย่างไร?
แม้จะอยากรู้มากขาดไหน แต่หลินจินก็ต้องปิดปากของเขาเอาไว้
เพราะตอนนี้เขาเป็น 'ภัณฑารักษ์' ดังนั้นเขาไม่พูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าได้ หากเขาถามอะไรอย่างนั้นออกมา มันจะทำให้อีกฝ่ายสงสัยได้
การคงให้ซึ่งความเงียบขรึม มันจะช่วยให้ภาพลักษณ์ของภัณฑารักษ์ที่มีความรู้และลึกลับมากขึ้น
ในเมื่อเฒ่าเย่เป็นคนเสนอความช่วยเหลือมา เขาจะรับมันด้วยความยินดี
นอกจากนี้ เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ดังนั้น หลังจากครุ่นคิดสั้น ๆ เขาก็กล่าวว่า
“หากเจ้าจัดการกับชาวพื้นเมืองทวีปกลาสซี่เสร็จแล้ว ให้ขึ้นมาที่นี่และมาพบข้า ช้าจะแนะนำวิธีการวิวัฒนาการให้เจ้า”
คำพูดเดียวนี้ทำให้เย่หยู่โจวตื่นเต้นในหริบตา
ในที่สุดเขาก็ได้รับมัน
และที่สำคัญกว่านั้น เขาประสบความสำเร็จในการแก้ไขความสัมพันธ์กับภัณฑารักษ์ ตอนนี้หัวใจที่น่าสงสารของเย่หยู่โจวที่กังวลมาสองวันในที่สุดก็สามารถพักได้แล้ว
สำหรับผู้คุมกฎของแคว้นนาคา แม้ว่าเขาจะรับมือได้ไม่ง่าย แต่เมื่อเทียบกับความขุ่นเคืองของภัณฑารักษ์ เรื่องแค่นี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ยิ่งกว่านั้น ถ้าเขาทำภารกิจสำเร็จ เขาจะได้รับความดีความชอบอย่างไม่ต้องสงสัย
เย่หยู่โจวไม่ใช่คนโง่
แม้ว่าพวกเขาจะขัดแย้งกับแคว้นนาคาเพราะเรื่องนี้และแม้ว่ามันจะนำไปสู่สงคราม เขาก็ไม่สนใจ ในขณะเดียวกัน หากเขาทำให้ภัณฑารักษ์ขุ่นเคืองด้วยเหตุนี้ เขาอาจไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเผชิญกับความโชคร้าย
ทั้งเมืองเมเปิ้ลและอาณาจักรมังกรหยกอาจตกอยู่ในอันตราย
ภัณฑารักษ์จะไม่ต้องลงมือด้วยซ้ำ เขาจำผู้เยี่ยมชมในห้องโถงเยี่ยมชมได้ เย่หยูโจวเข้าใจว่าอีกาทมิฬเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถกวาดล้างประเทศเล็ก ๆ ได้ด้วยตัวเขาเอง นอกจากนี้ยังมีผีเด็กที่แข็งแกร่งกว่าอีกด้วย
เธอเคยเป็นหนึ่งในห้าเทพหลิงหนาน ย้อนกลับไปในสมัยนั้น พวกเขาเหล่านี้สามารถกวาดล้างประเทศขนาดกลางทั้งหมดได้ในพริบตา
ถ้าภัณฑารักษ์จะออกคำสั่งและคนเหล่านี้บุกมาที่อาณาจักรมังกรหยก ณ ตอนนั้นทั้งอาณาจักรคงเหลือแต่ซากปรักหักพัง
ดังนั้น ตราบใดเย่หยู่โจวยังยืนไหว เขาจะยืนหยัดเคียงข้างภัณฑารักษ์อย่างแน่วแน่
เย่หยู่โจวกล่าวลาหลินจิน ก่อนลงจากภูเขาไป
ด้านล่าง ชาวพื้นเมือง จั่วเหวินถังและคนอื่น ๆ ต่างจับจ้องไปที่เย่หยู่โจวเพื่อรอข้อสรุปของเขา
เมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่น เย่หยู่โจวก็พูดอย่างง่าย ๆ ว่า “ข้าจะคุยกับผู้คุมกฎของแคว้นนาคาเป็นการส่วนตัวเมื่อเขามาถึง”
แม้ว่าจะอยากรู้อยากเห็น แต่คนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถถามอะไรได้
โดยเฉพาะชาวพื้นเมืองที่ไม่สามารถรอผู้คุมกฎมาถึงเพื่อความยุติธรรมได้
ดังนั้นพวกเขาจะรอ
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง เสียงร้องของนกอินทรีก็ดังขึ้นจากเบื้องบน เมื่อชาวพื้นเมืองทวีปกลาสซี่ได้ยิน พวกเขาก็ลุกขึ้นทันทีด้วยความตื่นเต้น
ผู้คุมกฎแห่งแคว้นนาคาของพวกเขามาถึงแล้ว
จั่วเหวินถังเริ่มกังวล แต่เมื่อเขาเหลือบมองไปที่เย่หยู่โจวที่ยังคงสงบและนิ่งเงียบ เขาก็หายใจเข้าลึก ๆ และพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง
จากมุมมองของเขา เขาคิดว่าเย่หยู่โจวต้องมีแผนอยู่ในใจแล้ว
เมื่อมองขึ้นไป จะเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งบินโฉบลงมา เหยี่ยวนกเขาที่ใหญ่ที่สุดในหมู่พวกเขามีประกายไฟฟ้าไหลผ่านตัวของมัน ด้วยปีกทั้งสองข้างที่กางออกจนสุด มันน่าจะมีปีกยาว 4.5 เมตร
มันเป็นนกที่ใหญ่มาก
มีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังเหยี่ยวนกเขาตัวใหญ่ที่สุด
เช่นเดียวกับรูปลีกษณ์ของชาวพื้นเมืองอื่น ๆ ในทวีปกลาสซี่ ชายชราสูงและมีกล้ามชัด เขามีตราสัญลักษณ์ของผู้อาวุโสห้อยอยู่บนคอของเขา มีเกราะไม้บนร่างกายของเขาที่จับคู่กับเสื้อคลุมหนังสัตว์และเขาก็ถือไม้ยาวอยู่ในมือ
สิ่งมีชีวิตที่ขดรอบไม้นี้คืองูทรายเหลือง
ลำตัวของงูตัวมีลวดลายและสีสันคล้ายทะเลทรายและหางของมันสั่น เปล่งเสียงที่ดังก้องกังวานราวกับเป็นกระดิ่ง
“ยินดีต้อนรับ ท่านผู้คุมกฎ!” ชาวพื้นเมืองในทวีปกลาสซี่เข้าไปและโค้งคำนับทันที
มีประเทศที่มีขนาดต่างกันในทวีปกลาสซี่เช่นกัน แคว้นนาคาได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ว่าเป็นประเทศขนาดกลาง พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ไม่ใช่จุดอ่อนที่สุด
แน่นอนว่า ผู้คุมกฎผู้นี้ก็มิได้ธรรมดาเช่นกัน
ตอนนี้มีเพียงเย่หยู่โจวเท่านั้นที่มีพลังเทียบเคียงกับเขาได้ แต่เนื่องจากเย่หยู่โจวไม่มีตำแหน่งทางการ มันทำให้เขาด้อยกว่าในแง่นี้
เย่หยู่โจวรู้อยู่แล้วว่าผู้คุมกฎของแคว้นนาคามีชื่อว่า 'รูเซโร่' ในภาษาโบราณภาษาหนึ่งของทวีปกลาสซี่ ชื่อของเขาหมายถึง 'งูแห่งทะเลทราย'
ในขณะนี้ รูเซโร่ดูเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด ท้ายที่สุดเขาเพิ่งสูญเสียลูกชายไป เขาตั้งใจเลี้ยงดูลูกชายคนนี้ให้เป็นผู้สืบทอดของเขา
เมื่อแผนการของเขาพังทลาย เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร?
“คนที่ฆ่าลูกชายของข้าอยู่ที่ไหน!?” รูเซโร่ถามทันทีหลังจากกระโดดลงจากหลังเหยี่ยว
เห็นได้ชัดว่าเขามาที่นี่เพื่อแก้แค้น
ชาวพื้นเมืองใช้โอกาสนี้ทำให้เรื่องราวฟังดูแย่กว่าความจริง ทำให้รูเซโร่หันไปทางยอดเขาและบุกฝ่าความมืดมิด
เขาต้องการแก้แค้นและดูเหมือนว่าเขาจะไม่รอแม้แต่วินาทีเดียว