ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 31 ธนูแยกหิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 33 การเผชิญหน้าของอัจฉริยะ

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 32 ความแน่วแน่


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 32 ความแน่วแน่ 

แปลโดย iPAT  

ปู่จางรู้สึกชื่นชมฮวงปิงหูมากขึ้นไปอีก หมู่บ้านบนภูเขาหลายแห่งเหมือนหมู่บ้านราชาโสมโดยเฉพาะหมู่บ้านนักล่า ท้ายที่สุดการล่ามนุษย์ก็ง่ายกว่าการล่าสัตว์ เพียงธนูดอกเดียวก็ทำให้นักเดินทางที่อยู่เพียงลำพังเสียชีวิตได้อย่างง่ายดาย การรวบรวมสมบัติจากคนตายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนเหล่านั้น

ตั้งแต่ฮวงปิงหูกลายเป็นหัวหน้านักล่าของหมู่บ้านบังเหียนม้า เขากำชับชาวบ้านอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับเรื่องนี้

บนเส้นทางภูเขา วัวดำกล่าวกับหลี่ฉิงซาน “ตั้งแต่เจ้าส่งมอบสุราจิตวิญญาณออกไป มีคนอย่างน้อยสองคนที่สามารถบอกได้ว่าเจ้าครองครองโสมจิตวิญญาณ”

หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้ารู้”

“มีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกเขาจะบังคับให้เจ้าอยู่ที่หมู่บ้านบังเหียนม้าตลอดไป”

“ข้ารู้เรื่องนี้เช่นกัน” ในฐานะคนสองชีวิต หลี่ฉิงซานไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่โง่เขลา เขารู้จักด้านมืดของมนุษย์

“แต่ข้ายินดีแบกรับความเสี่ยงนั้น การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หากคนผู้หนึ่งต้องระวังตัวตลอดเวลา ไม่ไว้ใจผู้อื่นและไม่ไว้ตนเอง มันจะมีประโยชน์ใดแม้คนผู้นั้นจะบรรลุจุดสูงสุดของชีวิต?”

เขามีการประเมินของตนเอง เขามั่นใจว่าแม้มันจะกลายเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดแต่เขาก็ยังสามารถฆ่าเพื่อหาทางออก เขาเชื่อว่าความแข็งแกร่งของเขาจะทำให้เขาฝ่าฟันอุปสรรคไปได้

“ข้าเปิดรับพวกเขาอย่างจริงใจแต่ข้าก็สามารถกดดาบลงบนลำคอของพวกเขาอย่างเงียบๆหากจำเป็น นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าบุรุษมิใช่หรือ?”

หลี่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อยอยู่ภายใน จากนั้นเขาก็ใช้มือสัมผัสป้ายไม้ที่มีอักษรคำว่า อัน และ ใต้ สลักอยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีหนึ่งคน เอ่อ...หนึ่งผีที่เขาสามารถไว้วางใจและเชื่อใจอย่างเต็มที่

เขาเดินทางไปตามเส้นทางภูเขาที่ขรุขระอย่างช้าๆ ใบไม้สีแดง สีส้ม สีเหลือง และสีเขียวของต้นหลิวที่อยู่สองข้างทางทำให้การเดินทางครั้งนี้ดูมีชีวิตชีวา

หลี่ฉิงซานหยิบใบไม้ขึ้นมาและเริ่มเป่ามัน เสียงที่กระจ่างใสดังก้องอยู่บนภูเขาในฤดูใบไม่ร่วง

“ยังหาไม่เจองั้นหรือ?” ชายหนุ่มที่กลุ่มนักดาบเรียกว่านายน้อยถามด้วยความกังวล เขานำคนกลุ่มหนึ่งออกมาตรวจสอบยอดเขาไป่เหลาเป็นเวลาหลายวันแล้ว เขายังขยายขอบเขตออกไป แต่เขากลับไม่พบโสมจิตวิญญาณอีกแล้ว

“นายน้อย เรารื้อค้นหมู่บ้านราชาโสมแล้ว แต่โสมจิตวิญญาณไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาบอกว่าหมู่บ้านบังเหียนม้าต้องมีมัน เราจะไปกวาดล้างหมู่บ้านบังเหียนม้าด้วยหรือไม่?” นักดาบผู้หนึ่งถาม

“ฮืม พวกเขาเป็นคู่อริของหมู่บ้านบังเหียนม้า แน่นอนว่าพวกเขาต้องกล่าวเช่นนั้น พวกเขาคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆงั้นหรือ? หมู่บ้านบังเหียนม้าล่าถอยกลับไปในวันไหว้พระจันทร์ก่อนจะขึ้นเหนือเพื่อล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง หมู่บ้านบังเหียนม้าไม่สามารถกลั่นแกล้งได้โดยง่ายเหมือนหมู่บ้านราชาโสม ในอดีต ฮวงปิงหูสร้างชื่อให้กับตนเองในยุทธภพด้วยการยิงธนู หากไม่จำเป็นจริงๆ มันจะดีกว่าที่เราจะไม่ยั่วยุเขา”

“นายน้อยช่างฉลาดนัก ดูเหมือนเราจะทำได้เพียงรอให้ถึงคืนจันทร์เต็มดวงของเดือนหน้าเท่านั้น”

ชายที่ถูกเรียกนายน้อยรู้สึกภูมิใจในตัวเอง แต่ทันใดนั้นเขาพลันได้ยินเสียงบางอย่าง “นั่นเสียงอะไร?”

“ดูเหมือนจะเป็นขลุ่ยใบไม้”

“ขลุ่ย? สถานที่ที่ใกล้หมู่บ้านราชาโสมมากที่สุดคือหมู่บ้านบังเหียนม้า ไปดูกันเถอะ”

วัวดำหยุดเท้า หลี่ฉิงซานตระหนักถึงการมาถึงของกลุ่มคนด้วยประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าคนธรรมดาของเขาเช่นกัน ฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่าสิบคน พวกเขาถือดาบและเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาและสง่างาม

“ทักษะการเคลื่อนไหวงั้นหรือ?” หลี่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจก่อนที่เขาจะนึกถึงบุคคลที่เสี่ยวอันเคยกล่าวถึง นั่นทำให้เขาระวังตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตามเขายังอยู่ค่อนข้างห่างจากยอดเขาไป่เหลา

นายน้อยหนุ่มมาถึงเป็นคนแรก ตามมาด้วยกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาที่ส่งเสียงยกย่อง “ทักษะการเคลื่อนไหวของนายน้อยช่างน่าประทับใจนัก!”

หลี่ฉิงซานมองนายน้อยคนดังกล่าว เขามีริมฝีปากสีแดงและฟันสีขาว หน้าตาของเขาค่อนข้างหล่อเหลา หลังจากได้รับคำชมจากลูกน้อง เขาก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยิ่ง หากไม่ใช่เพราะมือที่หยาบกร้านที่ถือดาบของเขา เขาจะดูเหมือนลูกชายของขุนนางชั้นผู้ใหญ่บางคน

หลี่ฉิงซานตรวจสอบนายน้อยแต่นายน้อยไม่ได้ตรวจสอบเขา นายน้อยกล่าว “เจ้ามาจากหมู่บ้านบังเหียนม้าใช่หรือไม่?”

หลี่ฉิงซานตอบ “ถูกต้อง ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านเป็นผู้ใด?”

“เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์ถามชื่อนายน้อยของเรางั้นหรือ?” นักดาบร่างผอมสูงที่มีผิวหยาบกร้านเห็นหลี่ฉิงซานนั่งอยู่บนเกวียนเทียมวัว ดังนั้นเขาจึงส่งดาบพุ่งไปทางหลี่ฉิงซานโดยตรงเพื่อหวังให้วัวตกใจและทำให้เด็กหนุ่มอยู่ในสภาพที่น่าอนาถ “ลงมาซะ!”

ใบหน้าของหลี่ฉิงซานกลายเป็นเย็นชา เขาขยับไปด้านข้างอย่างช้าๆและรอให้นักดาบเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา ด้วยการจับจังหวะและประสานสายตา เขาเอื้อมมือออกไปโดยหวังที่จะคว้าดาบเล่มนั้นเอาไว้

นักดาบร่างผอมสูงเย้ยหยันอยู่ภายใน ‘เจ้าต้องการคว้าดาบของข้าจริงๆงั้นหรือ? นี่คือดาบที่หลอมจากเหล็กชั้นดีที่นิกายมอบให้ข้า มันสามารถตัดมือของเจ้าออกไปได้อย่างง่ายดาย!’

อย่างไรก็ตามไม่เพียงเขาจะไม่สามารถทำตามแผนแต่ดาบเหล็กชั้นดีเล่มนั้นยังถูกบิดเป็นเกลียวเหมือนเชือกอีกด้วย ปลายดาบยังติดอยู่ที่มือของหลี่ฉิงซานโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย ความแข็งแกร่งของนักดาบร่างผอมสูงไม่สามารถเทียบได้กับพละกำลังจากนิ้วเพียงไม่กี่นิ้วของหลี่ฉิงซาน

หลี่ฉิงซานโกรธจัด พวกเขาไม่เคยมีความบาดหมางแต่คำพูดขัดหูเพียงไม่กี่คำกลับทำให้คนผู้นี้ลงมืออย่างโหดเหี้ยม ชัดเจนว่าคนเหล่านี้ต้องไม่ใช่คนดี

ในที่สุดดาบก็หักด้วยเสียงที่เสียดแทงแก้วหู ใบหน้าของนักดาบร่างผอมสูงกลายเป็นซีดเผือด ไม่เคยมีใครทำเรื่องเช่นนี้กับเขามาก่อน มันจึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะโกรธ เขาถือดาบหักและพยายามฟาดฟันไปที่หลี่ฉิงซาน

เป็นเพียงเวลานี้ที่นายน้อยเปิดปากตำหนิ “ซือต้ากลับมา! ฝีมือของเจ้าไม่ดี หยุดทำให้นิกายถ้ำมังกรของเราขายหน้า!”

“รับทราบ ข้าช่างไร้ประโยชน์นัก ข้าจะขอรับโทษจากนิกายเมื่อเรากลับไป”  นักดาบร่างผอมสูงที่ชื่อซือต้าไม่กล้าไม่ทำตาม หลังจากถูกตำหนิ เขารีบถอยกลับไปทันที อย่างไรก็ตามเขายังชำเลืองมองหลี่ฉิงซานด้วยสายตาชั่วร้าย

นายน้อยรู้สึกสนใจหลี่ฉิงซานมากขึ้น “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะได้พบผู้ฝึกยุทธ์ในป่าลึกเช่นนี้ เจ้ามีสิทธิ์ที่จะรู้ชื่อของข้า ฟังให้ดี ข้าคือหยางจุนแห่งนิกายถ้ำมังกร”

หลี่ฉิงซานส่ายศีรษะ “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”

“เด็กบ้านนอกที่โง่เขลา ดาบของนิกายถ้ำมังกรไม่สามารถทำลาย ข้าจะไม่ทำให้มันยากสำหรับเจ้า เพียงทิ้งมือของเขาไว้เบื้องหลัง!”

“แล้วเจ้าต้องการมือข้างไหน?” หลี่ฉิงซานโกรธมาก เขาเชื่อว่าผู้ฝึกยุทธ์ไม่จำเป็้นต้องมีความยุติธรรม แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ควรมีหลักการ อย่างไรก็ตามดูเหมือนเขาจะคิดผิดอย่างสิ้นเชิง

ความดีและความชั่วของมนุษย์ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เมื่อคนผู้หนึ่งมีอำนาจที่สามารถเล่นกับชีวิตของผู้อื่นอยู่ในมือ จะมีกี่คนที่สามารถรักษาหลักการและไม่ทำสิ่งที่จิตมารในใจของตนต้องการ?

ทักษะการต่อสู้ของคนกลุ่มนี้ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับคนเก็บโสม พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง หมัดปีศาจวัวสามารถรับหมัดแต่มันไม่สามารถป้องกันดาบเหล็กชั้นดีที่แฝงไว้ด้วยกำลังภายใน นอกจากนั้นพวกเขายังมีทักษะท่าร่างที่ช่วยสนับสนุนการเคลื่อนไหว ดังนั้นแม้แต่การหลบหนีก็ยังเป็นเรื่องยาก

หยางจุนกล่าว “อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาว่าเจ้ายังเด็กแต่กลับมีความสามารถถึงระดับนี้ หากข้าทำลายเจ้าในตอนนี้ มันจะน่าเสียดาย เหตุใดเจ้าไม่มารับใช้ข้าเล่า?”

นั่นเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเขา เนื่องจากผู้คนบนภูเขามักเป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา นอกจากนั้นคนป่าส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จักทักษะกำลังภายใน อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นคนที่มีมัดกล้ามเนื้อแต่ไร้สมอง นี่คือเหตุผลที่คนในยุทธภพหลายคนมักรับคนบ้านนอกที่บ่มเพาะร่างกายไว้เป็นลูกน้องคนสนิท

นายน้อยผู้นี้ต้องการรับลูกน้องเช่นนี้มาตลอด เขาพอใจหลี่ฉิงซานทันทีที่เห็น เขาต้องการเลี้ยงสุนัขที่ซื่อสัตย์ไว้ใช้ประโยชน์ในอนาคต

“นายน้อย ท่านไม่สามารถ!” ซือต้าพยายามห้ามเขา หากหลี่ฉิงซานกลายเป็นลูกน้องของนายน้อยผู้นี้จริงๆ สถานะของหลี่ฉิงซานจะเหนือกว่าเขาอย่างแน่นอน

หยางจุนชำเลืองมองซือต้าด้วยสายตาแหลมคมและทำให้ฝ่ายหลังหุบปากลงทันที

นักดาบอีกคนเร่งกล่าว “เหตุใดเจ้าไม่รีบรับปากและขอบคุณนายน้อย? นิกายถ้ำมังกรของเราเป็นผู้ปกครองเมืองชิงหยาง การเป็นศิษย์สายนอกก็ยังเป็นเรื่องยาก ตอนนี้นายน้อยต้องการส่งเสริมเจ้า ชีวิตหลังจากนี้ของเจ้าจะรุ่งโรจน์มาก!”

“ข้า หลี่ฉิงซาน จะไม่มีวันเป็นทาสของผู้ใด!” หลี่ฉิงซานเน้นย้ำทุกคำ เขามาจากโลกอีกใบหนึ่ง เขามีความรู้สึกรักและเกลียดชังเช่นเดียวกับผู้คนบนโลกใบนี้ แต่กระนั้นมันก็ยังมีความแตกต่างประการหนึ่ง เขาจะไม่ผูกมัดตนเองกับผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นเทพ ปีศาจ คนชั้นสูง ผู้มีอำนาจ ฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรม

เขาอาจผูกมิตรกับบางคน แต่เขาจะไม่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อพวกเขาโดยไม่ต้องกล่าวถึงคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นหยางจุน หลี่ฉิงซานไม่เคยท่องเที่ยวไปในยุทธภพ แต่เขาสามารถบอกได้ว่าทักษะการต่อสู้ของหยางจุนผู้นี้เป็นเพียงเรื่องตลก มันอาจเป็นเพราะตัวตนในฐานะนายน้อยของเขาที่ทำให้เขามีผู้ติดตามอยู่รอบกาย