ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 31 ธนูแยกหิน
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 31 ธนูแยกหิน
แปลโดย iPAT
“ท่านหัวหน้า ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้!” นักล่าคนอื่นๆ พยายามห้ามฮวงปิงหู
หลี่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเช่นกันที่ฮวงปิงหูต้องการมอบธนูส่วนตัวซึ่งเปรียบเสมือนอวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกายให้เขา ดังนั้นเขาจึงเปิดปากคัดค้าน “ท่านหัวหน้า บุรุษจะไม่รับของสำคัญของผู้อื่น ข้าไม่สามารถรับรางวัลนี้ โปรดคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องตลก”
ฮวงปิงหูลูบคันธนูของเขาอย่างแผ่วเบาโดยไม่แยแสต่อคำคัดค้าน “ธนูแยกหินอยู่กับข้ามาหลายปีและข้าก็คุ้นเคยกับมันมาก นอกจากนี้มันยังช่วยข้าสร้างชื่อในยุทธภพ ตอนนี้ข้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว ข้าต้องเลือกเจ้านายคนใหม่ที่เหมาะสมให้มัน”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่ชอบธนูของปู่จางเพราะมันเบาเกินไป ธนูแยกหินเป็นธนูที่ทำจากโลหะ มันหนักมาก ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปไม่สามารถใช้งานมันได้ รับไว้ อย่าทำตัวงี่เง่า” ฮวงปิงหูยัดธนูแยกหินใส่มือหลี่ฉิงซาน
หลี่ฉิงซานรู้สึกถึงน้ำหนักของธนูที่อยู่ในมือ สิ่งนี้ทำให้เขาต้องคิดไปถึงวิธีที่ฮวงปิงหูยืนอยู่บนก้อนหินและเข่นฆ่าผู้คน
ถูกต้อง ธนูคันนี้ไม่เหมาะกับการล่าสัตว์ ตรงข้าม มันถูกสร้างขึ้นมาสำหรับการต่อสู้ในสนามรบ มันเป็นอาวุธฆ่าคนที่แท้จริง!
เขาลูบไล้สายธนูและตระหนักว่ามีเกลียวโลหะอยู่ด้านใน มันคมมาก คนทั่วไปต้องใช้แหวนหินเพื่อดึงมัน แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลี่ฉิงซานที่บ่มเพาะร่างกายด้วยหมัดปีศาจวัว
มันเหมือนกับฮวงปิงหูกำลังมอบลูกชายของเขาให้ผู้อื่นดูแล แม้เขาจะไม่ได้กล่าวเช่นนั้นแต่ทุกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนเข้าใจตรงกัน อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดคัดค้านอีก นี่ไม่ใช่เพียงเพราะความแข็งแกร่งและอิทธิพลของฮวงปิงหูเท่านั้นแต่มันยังเป็นเพราะหลี่ฉิงซานแสดงความแข็งแกร่งให้ทุกคนเห็นเป็นที่ประจักษ์เรียบร้อยแล้ว
ไม่ว่าหลี่ฉิงซานจะมีความสามารถในการเป็นผู้นำหรือชาวบ้านจะยอมรับเขาเป็นผู้นำหรือไม่ มันก็ไม่ใช่ปัญหา ท้ายที่สุดการยอมจำนนต่อผู้แข็งแกร่งก็เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ เช่นเดียวกับฝูงหมาป่า หมู่บ้านบังเหียนม้าเป็นฝูงหมาป่า ขณะที่ฮวงปิงหูต้องการให้หลี่ฉิงซานรับตำแหน่งราชาหมาป่าต่อจากตนเอง
ฮวงปิงหูพึ่งตัดสินใจเรื่องนี้หลังจากไตร่ตรองมาเป็นเวลานาน ทางการไม่ชอบหมู่บ้านบังเหียนม้า ขณะเดียวกันหมู่บ้านราชาโสมก็เป็นศัตรูที่ไม่สามารถมองข้าม หมู่บ้านบังเหียนม้าอาจดูน่าเกรงขามแต่ในความเป็นจริงพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับอันตรายจากทุกทิศทาง แม้จะมีอัจฉริยะที่โดดเด่นอยู่ในหมู่บ้าน แต่ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมสถานการณ์ มีเพียงหลี่ฉิงซานเท่านั้นที่สามารถจัดการปัญหาทั้งหมด
หลี่ฉิงซานถือธนูแยกหินไว้ในมือและรู้สึกเหมือนตนเองกำลังฝันไป เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเขายังเป็นเพียงคนเลี้ยงวัวที่ไม่มีสิ่งใดพิเศษและยังมีสถานะต่ำต้อยที่สุดในหมู่บ้านกระทิงหมอบ
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากลับมีโอกาสได้เป็นหัวหน้านักล่าของหมู่บ้านบังเหียนม้าที่มีชื่อเสียง แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่รับตำแหน่งนี้ เขากล่าว “ท่านหัวหน้า ข้าจะรับธนูเอาไว้ ขอบคุณสำหรับความกรุณาของท่าน แต่วันนี้ข้ามาเพื่อบอกล่า”
ความโกลาหลปะทุขึ้นทันที ทุกคนรู้สึกว่าหลี่ฉิงซานเป็นคนไม่เห็นแก่มิตรภาพและสายสัมพันธ์ แม้ฮวงปิงหูจะตระหนักถึงศักยภาพและให้ความสำคัญกับเขา แต่เขากลับปฏิเสธข้อเสนออย่างไม่ใยดีต่อหน้าผู้คนมากมายและทำให้ฮวงปิงหูดูน่าอนาถ
“แต่ข้าจะไม่เอาเปรียบ” เขากลับไปที่บ้านและหยิบขวดเล็กๆใบหนึ่งออกมามอบให้ฮวงปิงหู “นี่คือยาวิเศษที่รักษาได้ทุกโรค ท่านอาจารย์ของข้าทิ้งไว้ให้ข้าในอดีต มันสามารถรักษาโรคของท่าน”
“จะ...เจ้าจะมอบมันให้ข้าจริงๆงั้นหรือ?” เมื่อเผชิญหน้ากับโอกาสที่จะรอดชีวิต กระทั่งฮวงปิงหูก็ยังรู้สึกตื่นเต้น สำหรับคนอื่นๆ พวกเขารู้สึกปั่นป่วนมาก
หลี่ฉิงซานยิ้ม “โปรดรับไว้ด้วย” นี่คือสุราหมักโสมจิตวิญญาณ เขาไม่เคยมียาวิเศษใดๆแต่เขาเข้าใจอาการเจ็บป่วยของฮวงปิงหูเล็กน้อย คนผู้นี้เกิดมาอ่อนแอ เขาฝึกตนอย่างหนักและรีดเค้นพลังชีวิตออกมาจนหมด ตอนนี้เขาพึ่งพาเพียงกำลังภายในเพื่อให้มีชีวิตอยู่เท่านั้น
นี่เป็นอาการป่วยระยะสุดท้ายที่หมอไม่สามารถรักษา มันเป็นภาวะขาดสารอาหารที่ไม่สามารถทดแทนด้วยโสมหรือเห็ดหลินจือ อย่างไรก็ตามโสมจิตวิญญาณเป็นสมบัติล้ำค่าจากธรรมชาติ มันบรรจุพลังธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ซึ่งสามารถช่วยชีวิตเสือป่วยผู้นี้
ฮวงปิงหูดื่มมันในครั้งเดียวก่อนจะเริ่มนั่งสมาธิ ต่อมาหมอกสีขาวก็ลอยขึ้นจากศีรษะของเขา ใบหน้าที่ซีดขาวของเขากลายเป็นสีแดงระเรื่อ ในที่สุดเขาก็เปิดเปลือกตาขึ้น
“ท่านหัวหน้า ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?” ทุกคนเร่งถาม
ฮวงปิงหูยกมือขึ้นสัมผัสหน้าอกของตนด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “ข้าดีขึ้นมาแล้ว” ในความเป็นจริงมันไม่เพียงดีขึ้นมากแต่มันดีที่สุด เขารู้สึกราวกับตนเองกลับเป็นเด็กหนุ่มอีกครั้ง
เสียงโห่ร้องดังขึ้น นักล่าหลายคนถึงกับหลั่งน้ำตา หลายคนที่เคยรู้สึกเป็นศัตรูและปฏิเสธหลี่ฉิงซานเปลี่ยนคิดไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเร่งเข้าไปจับมือและขอบคุณหลี่ฉิงซานอย่างไม่รู้จบสิ้นพร้อมกับน้ำตาแห่งความปิติ
หลี่ฉิงซานโบกธนูแยกหิน “มันควรเป็นเช่นนี้ มิฉะนั้นข้าคงไม่สามารถรับธนูคันนี้”
ฮวงปิงหูหน้าแดงเล็กน้อย “เกี่ยวกับเรื่องนั้น...หลี่ฉิงซาน...ข้าขอเปลี่ยนรางวัลได้หรือไม่...” เมื่อสามารถหลบหนีจากความตาย เขาก็เริ่มลังเลที่จะแยกทางกับสหายเก่าทันที
“อย่าแม้แต่จะคิด!” หลี่ฉิงซานปฏิเสธอย่างหนักแน่น “คำพูดของผู้คนบนภูเขาย่อมต้องหนักแน่นดังขุนเขา ท่านจะกลับคำโดยง่ายได้อย่างไร?”
“ตกลง!” ฮวงปิงหูกล่าวด้วยความเขินอาย นั่นทำให้เสียงหัวเราะของผู้คนที่อยู่รอบๆดังขึ้น มันหาได้ยากที่จะเห็นท่าทางเช่นนี้จากหัวหน้าของพวกเขา
“หลี่ฉิงซาน เจ้าจะกลับมาหรือไม่?”
“ข้าจะไปหมู่บ้านกระทิงหมอบ ยังมีเรื่องที่ข้าต้องทำที่นั่น ข้าต้องสะสางเรื่องต่างๆให้เรียบร้อยเพื่อให้ข้าสามารถฝึกตนได้อย่างสบายใจ หากมีโอกาส ข้าจะกลับมาเยี่ยมหมู่บ้านบังเหียนม้าอีกแน่นอน”
หลังดื่มสุราจิตวิญญาณมาหลายวัน หลี่ฉิงซานรู้สึกถึงจุดหัวเลี้ยงหัวต่อที่สำคัญของทักษะหมัดปีศาจวัวที่เขาฝึก ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะปิดประตูฝึกตนจนกว่าจะได้รับพละกำลังของกระทิงหนึ่งตัวก่อนจะเดินทางออกจากภูเขาและสำรวจโลกกว้าง
เขาจำชายอ้วนที่เขาพบเมื่อวานนี้ได้ ชายอ้วนบอกว่าตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ของเมืองชิงหยาง ขณะเดียวกันเขาก็ต้องการทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับเสี่ยวอัน เขาต้องเดินทางลงใต้ ดังนั้นเมืองชิงหยางจึงเป็นจุดหมายแรกของเขา
“เจ้าก้าวหน้าขึ้นอีกครั้ง!?” ฮวงปิงหูสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับหลี่ฉิงซาน เด็กหนุ่มแตกต่างจากสองสามวันก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไปมาก มันมากจนน่าตกใจ
หลี่ฉิงซานบอกฮวงปิงหูโดยตรงว่าเขากำลังจะก้าวข้ามขอบเขต นี่ให้ชายชราอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ หลี่ฉิงซานบอกว่าเขาต้องการเป็นจอมยุทธ์กำลังภายใน ย้อนกลับไปในเวลานั้น ฮวงปิงหูทำได้เพียงยักไหล่และเผยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าบางทีเด็กหนุ่มผู้นี้อาจทำได้จริง
“แล้วเหยื่อที่เจ้าจับได้?” เหยื่อที่หลี่ฉิงซานล่ามาได้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเกือบจะเท่ากับเหยื่อที่นักล่าทั้งหมู่บ้านล่ามาได้
“ข้าไม่สนใจพวกมัน ข้าขอเพียงกระดูกเสือ ช่วยเก็บกระดูกเสือไว้ให้ข้าด้วย ข้าต้องการนำมันไปหมักสุราสมุนไพรของข้า แน่นอนว่าข้าจะซื้อมันในราคาตลาด”
เหตุผลที่เขาไล่ล่าเสือโคร่งตัวนี้อย่างไม่ลดละไม่ใช่เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองเท่านั้น ในความเป็นจริงวัวดำบอกเขาว่าหลังจากเขาได้รับความแข็งแกร่งของกระทิงหนึ่งตัว เขาจะสามารถเริ่มฝึกหมัดปีศาจพยัคฆ์ การชำระไขกระดูกต้องใช้สุราหมักอีกประเภทหนึ่งและหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญของมันก็คือกระดูกพยัคฆ์
นักล่าถือว่าเสือโคร่งเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของพวกเขา นักล่าทุกคนล้วนหวาดกลัวมัน อย่างไรก็ตามหากเสือเหล่านั้นสร้างความปั่นป่วนให้กับป่ามากเกินไป พวกเขาจะออกไล่ล่าและจัดการพวกมัน กับดักมากมายที่วางไว้ในป่าก็เพื่อดักจับสัตว์ที่ดุร้ายเช่นนี้ ท้ายที่สุดสัตว์ป่าก็ไม่สามารถเอาชนะสติปัญญาของมนุษย์ นี่ทำให้หมู่บ้านบังเหียนม้ามีกระดูกพยัคฆ์สะสมไว้เป็นจำนวนมาก
ฮวงปิงหูกล่าว “มันเป็นสูตรที่อาจารย์ของเจ้าทิ้งไว้ให้งั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
“บุรุษหมู่บ้านบังเหียนม้าจะใจแคบขณะที่เจ้าใจกว้างได้อย่างไร? ข้าสามารถมอบกระดูกพยัคฆ์และทำสุราหมักให้เจ้า แต่เราขอสูตรสุราหมักทั้งสองของเจ้าได้หรือไม่?”
ฮวงปิงหูลอบทดสอบหลี่ฉิงซาน สุราหมักสมุนไพรของเด็กหนุ่มมีประสิทธิภาพสูงกว่าสุราหมักของพวกเขามาก ยิ่งไปกว่านั้นหมู่บ้านบังเหียนม้ายังสามารถรวบรวมวัตถุดิบได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องซื้อหา หากเขาใช้มันหล่อเลี้ยงคนรุ่นต่อไป ความแข็งแกร่งของหมู่บ้านบังเหียนม้าจะก้าวเข้าสู่ระดับใหม่ในไม่ช้า
หลี่ฉิงซานไม่พบเหตุผลที่จะปฏิเสธ สุราหมักทั้งสองสูตรมีไว้เพื่อรักษา พวกมันไม่ได้ล้ำค่ามากนัก ดังนั้นมันจึงไม่มีปัญหาที่เขาจะมอบให้บางคน นอกจากนี้มันยังช่วยให้เขาไม่ต้องวุ่นวายกับการหมักสุราด้วยตนเองอีกด้วย
เขามอบสูตรสุราหมักให้ฮวงปิงหูก่อนที่จะนำเกวียนเทียมวัวและขี่มันออกเดินทางอย่างช้าๆ
เมื่อร่างของหลี่ฉิงซานหายไปจากสายตาของผู้คน ปู่จางก็กระซิบกับฮวงปิงหูว่า “ท่านหัวหน้า เหตุใดไม่รั้งเขาเอาไว้? มีความเป็นไปได้ที่โสมจิตวิญญาณจะอยู่กับเขา ยาที่ท่านดื่มเข้าไปก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของโสมจิตวิญญาณ บางทีโสมจิตวิญญาณอาจจะอยู่ในน้ำเต้าที่เอวของเขา”
หลี่ฉิงซานไม่เคยพูดถึงโสมจิตวิญญาณ แต่ในสายตาของนักล่าที่มากประสบการณ์ มีหลายแง่มุมที่พวกเขาสงสัย นอกจากนั้นฮวงปิงหูยังเคยท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพ นั่นทำให้เขาเข้าใจเรื่องต่างๆได้ดีกว่าคนอื่นๆ
ฮวงปิงหูมองไปยังเส้นทางภูเขาที่หลี่ฉิงซานหายตัวไป หลังจากนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ เขาก็หันหลังกลับและกล่าวว่า “หากทำเช่นนั้น พวกเราก็ไม่ต่างจากคนเก็บโสม”
“ถูกต้อง!”