ตอนที่แล้วEp.300 - สิบแปดโจรแห่งเมืองหุบเขาเดียวดาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.302 - รวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์

Ep.301 - การตัดสินใจครั้งสำคัญ


1/2

Ep.301 - การตัดสินใจครั้งสำคัญ

จางเสี่ยวเฉียงเอ่ยถาม “แล้วพวกเราควรทำยังไงกับเชลยสองตัวนี้?”

ฮังอวี่ตอบคำถามด้วยการกระทำของเขา

กระบี่ในมือวูบไหว แทงตัดขั้วหัวใจของสองมนุษย์จิ้งจอกอย่างไร้ปราณี

พลังชีวิตของเย่กู่ เย่โน่เหือดหายอย่างสมบูรณ์ ตายลงทันที ปล่อยแต้มวิญญาณสีเขียวแบ่งมาทางฮังอวี่ เสี่ยวไป๋ หวังเอ๋อ และราชินีมด

นอกจากนี้ ไอเท็มหลายชิ้นดรอปออกมา

มีทั้งโพชั่น คัมภีร์สกิล และอุปกรณ์

อุปกรณ์สีเขียวมีทั้งสิ้นสี่ชิ้น : ไม้เท้าและรองเท้าของเย่โน่ เกราะหนังและแหวนของเย่กู่

แม้อุปกรณ์ทั้งสี่ชิ้นจะมีคุณภาพสีเขียวในเลเวล 9 และ 10 ทั้งสิ้น

แต่เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกใช้งานมานาน

ค่าความทนทานเหลือไม่มากแล้ว

อุปกรณ์ดังกล่าวไม่ได้มีค่าเป็นพิเศษในโลกวิญญาณ แต่ที่พวกมันครอบครองสิ่งเหล่านี้ได้ก็นับว่าดีแล้ว เพราะโลกวิญญาณไม่เหมือนโลกจริง ช่องทางการค้าขายของที่นี่ค่อนข้างล้าหลัง การเข้าถึงวัสดุค่อนข้างยาก

เนื่องจากขาดแคลนวัสดุซ่อมแซม ส่งผลให้อุปกรณ์ดีๆหลายชิ้นแทบไม่เหลือค่าความทนทาน ยากที่จะซ่อมแซมมได้ในทันที จนสุดท้ายกลายเป็นเพียงเศษซาก

อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ต่อสู้

การสึกหรอของอุปกรณ์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้นยุทโธปกรณ์ของชนพื้นเมืองในโลกฝ่ายวิญญาณจึงมีไม่มากนัก

แน่นอน ถึงอุปกรณ์พวกนี้จะมีค่าความทนทานน้อย แต่หากนำพวกมันออกไปประมูลขายในโลกมนุษย์ เกรงว่าคงได้ราคาดีไม่น้อย

ในโลกมนุษย์มีประชากรเป็นจำนวนมาก อย่างแค่เฉพาะเจียงเฉิงก็ปาไป 10 ล้านคนแล้ว พลเมืองถูกส่งไปยังที่ต่างๆในโลกวิญญาณ ดังนั้นสามารถแลกเปลี่ยนหรือหาวัสดุได้อย่างสะดวกสบาย การซ่อมแซมอาวุธเหล่านี้จึงไม่ยากเย็น

เจียงหนานรู้สึกประหลาดใจ “พี่มหาเทพฆ่าพวกมันทำไม?”

“ถ้าไม่ฆ่าพวกมัน เธอจะให้เก็บพวกมันไว้ฉลองปีใหม่ด้วยกันหรือไง?” ฮังอวี่เก็บอาวุธและพูดต่อ “พวกเรามีกันแค่หลักสิบคน และทุกคนไม่สามารถอยู่ในโลกวิญญาณได้ตลอดเวลา ถ้าต้องมาคอยเฝ้าเจ้าสองตัวนี้ คงลำบากเกินไป”

จางเสี่ยวเฉียงกล่าวขึ้นในเวลานี้ “แต่ว่านะลูกพี่ฮัง ถ้าพวกเราฆ่ามัน แบบนี้พวก มนุษย์จิ้งจอกในเมืองหุบเขาเดียวดายต้องรู้เรื่องแน่!”

ฮังอวี่ตอบกลับ “ต่อให้เราไม่ฆ่ามัน สุดท้ายพวกที่อยู่ในเมืองหุบเขาเดียวดายก็จะสังเกตเห็นว่าสหายทั้งสองไม่กลับมาอยู่ดี ถึงตอนนั้นพวกมันอาจส่งทีมออกค้นหา แต่ถ้าเราฆ่าพวกมัน นี่จะเป็นการขู่ให้พวกมันรู้สึกกลัว ไม่กล้าผลีผลามเข้ามาบุกโจมตีเรา”

ถ้าพวกมนุษย์จิ้งจอกส่งทีมออกค้นหา

ถึงเวลาเรื่องราวคงยุ่งยากแน่นอน

ดังนั้นฆ่าเพื่อกระตุ้นให้พวกมนุษย์จิ้งจอกเกิดความระแวงจะดีกว่า

อย่างไรเสีย พลังรบของมนุษย์จิ้งจอกสองตัวนี้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมาย ดังนั้นหลังจากพบว่าสหายทั้งสองได้รับการยืนยันว่าตาย ด้วยบุคลิกนิสัยหวาดระแวงของพวกมัน บวกกับยังคงไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่นอน ดังนั้นไม่น่ากระทำการหุนหันพลันแล่น

อดีตเจ้าเมืองหุบเขาเดียวดายเปลี่ยนมือได้อย่างไรยังจำได้ไหม?

ไม่ใช่แค่เรื่องเกิดการต่อสู้กันภายใน แต่ยังรวมไปถึงเรื่องที่เพิกเฉยต่อภัยคุกคามภายนอก!

สำหรับพวกมนุษย์จิ้งจอกแล้ว อาณาเขตของเมืองหุบเขาเดียวดายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้น เมื่อตระหนักว่ามีภัยคุกคามไม่ทราบที่มาจากภายนอก พวกมันก็ยิ่งจะระแวง ไม่กระทำการโดยไม่ยั้งคิด

เย่โน่ เย่กู่ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก

การฟื้นคืนชีพของพวกมันจึงน่าจะใช้เวลาแค่ซักราวๆ 5 - 6 วัน

แทนที่จะเสี่ยงออกสำรวจ คิดว่าพวกมนุษย์จิ้งจอกน่าจะรอให้ทั้งสองฟื้นคืนชีพเพื่อถามไถ่สถานการณ์มากกว่า

ถึงตอนนั้น เมื่อทราบว่าภัยอันตรายจากภายนอกไม่ได้ร้ายแรง ถึงค่อยจัดทัพออกล่า

ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอบคุณสวรรค์ที่พวกมันไม่มีมือถือโลกวิญญาณ มิฉะนั้นหากมันส่งข้อมูลของพวกเขา รายงานออกไปก่อนตาย กลุ่มของฮังอวี่คงประสบกับความโชคร้ายอย่างแน่นอน

ฮังอวี่สั่งการว่า “ตั้งแต่วันนี้ไป ทุกคนต้องระมัดระวังเวลาเดินทาง ควรดื่มโพชั่นลบกลิ่นอายหรือโพชั่นซ่อนเร้น เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเราจะไม่ถูกพวกระดับสูงของศัตรูค้นพบ”

ฉูเทียนหัวกล่าวเสียงขรึม “พรสวรรค์โดยกำเนิดของพวกมนุษย์จิ้งจอกคือการสอดแนม ไม่ว่าพวกเราจะพยายามกลบร่องรอยแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถปกปิดได้ทั้งหมด มาตรการป้องกันนี้ไม่สามารถใช้ในระยะยาวได้”

“เหล่าฉูพูดถูกแล้ว การหมกตัวอยู่แต่ในถ้ำไม่ใช่แผนระยะยาว ถ้าพวกเราอยากยืนหยัดในโลกวิญญาณได้อย่างแท้จริง พวกเราต้องมีอาณาเขตเป็นของตัวเอง!” ฮังอวี่กล่าว “และเมืองหุบเขาเดียวดายก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว!”

ฉูเทียนหัวเอ่ยถาม “นี่นายต้องการจะยึดเมืองหุบเขาเดียวดาย?”

“ไม่ใช่ผมต้องการยึดเมือง แต่เป็นพวกเราต้องยึดเมือง!” ฮังอวี่กล่าว “ขืนพวกเราไม่มีอาณาเขตเป็นหลักแหล่ง คงยากที่จะเติบโตในอนาคต ... แม้เมืองหุบเขาเดียวดายจะมีขนาดเล็ก แต่ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”

ทุกคนเงียบ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฮังอวี่พูดถูก

ฐานที่มั่นในถ้ำไม่มั่นคง กระทั่งเรื่องเสบียงยังไม่สามารถรับประกันได้

สภาพแวดล้อมของอาณาจักรมังกรโลกานั้นแตกตต่างกับป่าแห่งการเริ่มต้นอย่างสิ้นเชิง สำหรับคนทั่วไป เมืองและอาณาเขตไม่ใช่แค่พื้นที่ปลอดภัย แต่ยังเป็นแหล่งเสบียงสำหรับพวกเขา และยังเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาและเติบโตอีกด้วย

ในไม่ช้า ผู้คนจะเข้าใจถึงความสำคัญเรื่องอาณาเขต

อย่างไรก็ตาม คำถามที่ทุกคนกังวลคือจะทำอย่างไรเพื่อยึดอาณาเขตนี้ ...

เพราะถึงเมืองหุบเขาเดียวดายจะเป็นแค่เมืองขนาดเล็ก

แต่ภายในเมือง มีพวกระดับเจ้าถิ่นอยู่มากกว่า 18 ตน!

อีกทั้งยังมีพลรบชั้นยอดอย่างน้อยหลายร้อยนาย!!

งั้นพวกเราจะสู้ยังไง?

แค่บุกเข้าไปแล้วรอดมาได้ก็บุญท่วมหัวแล้ว

ฮังอวี่กล่าว “ทุกคนอย่าพึ่งวิตก พวกเรายังมีเวลาอีก 5 - 6 วันในการเตรียมตัว ระหว่างนี้น่าจะมีมนุษย์เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ และผมคิดว่าทีมของพวกเราน่าจะเติบโตขึ้น”

เจียงหนานกำหมัดและกล่าวว่า “พี่มหาเทพพูดถูก คนทั่วโลกกำลังพยายามหลุดพ้นจากป่าแห่งการเริ่มต้น ต่อไปทีมของพวกเราจะใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นต่อให้พวกเราถูกกลุ่มมนุษย์จิ้งจอกพบตัว พวกมันก็ไม่มีทางกำจัดเราได้!”

ฮังอวี่กล่าว “ในช่วงนี้ ทุกคนไม่ควรอยู่เฉยเช่นกัน ต้องรีบทำงานอย่างหนัก ออกล่ามอนสเตอร์เพื่ออัพเลเวลให้เร็วที่สุด เข้าใจไหม?”

“รับทราบ”

“พวกเราเข้าใจ”

“พวกเราจะรีบก้าวตามลูกพี่ฮังให้ทัน!”

จางเสี่ยวเฉียงและคนอีกนับสิบที่เดิมกระสับกระส่าย เวลานี้ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน

แม้บอสฮังจะไม่ใช่ผู้นำโดยตรง แต่เขาได้กลายเป็นผู้นำในจิตใจของทุกคนไปแล้ว ทั้งหมดรู้สึกว่าตราบใดที่บอสฮังยังอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีปัญหาใดที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้

ฮังอวี่ออกล่ามอนสเตอร์อีกจำนวนหนึ่ง

เมื่อกลับมาถึงถ้ำ

จ้าวหมิง ฉูเทียนหัวก็เชิญเขาเข้ามาทันที

ตอนแรกฮังอวี่คิดว่าทั้งคู่กำลังวางแผนที่จะหารือเรื่องแผนการโจมตีมนุษย์จิ้งจอก

แต่ผลที่เจอกลับเหนือความคาดหมาย

จ้าวหมิงกล่าวว่า “ฉันได้หารือกับฉูเทียนหัวแล้ว และพวกเราตัดสินใจที่จะสนับสนุนนายอย่างเป็นทางการในฐานะผู้นำของพวกเราในโลกวิญญาณนับจากนี้ไป”

ฮังอวี่ตกใจ “ผมเนี่ยนะ? ไม่เอาหรอก!”

เหล่าจ้าวเหล่าฉูเกือบอาเจียนเป็นเลือด

เฮ้พี่ชาย! นายช่วยไว้หน้าพวกเราหน่อยจะได้ไหม?

อันที่จริง ไม่ว่าจ้าวหมิง ฉูเทียนหัวจะยอมรับหรือไม่ อิทธิพลของฮังอวี่ได้แซงหน้าพวกเขาไปไกลโขแล้ว

หากฮังอวี่เอ่ยปาก

ว่าจะจัดตั้งกองกำลังในโลกวิญญาณอย่างเป็นทางการ

อย่างน้อยคงมีคนของจ้าวหมิงและฉูเทียนหัวกว่าครึ่งจากไปและเข้าร่วมกับเขา

ฉูเทียนหัวกล่าว “ที่พวกเรากำลังจะบอกก็คือ ฉันรวมไปถึงลูกน้องของฉันทั้งหมดจะกลายเป็นคนของนายนับจากนี้ไป และจะไม่มีการแบ่งแยกระหว่างสองค่ายอีก!”

ฮังอวี่เข้าใจ

แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเป็นผู้นำ

แต่พูดตามตรง เขาเป็นแค่ ‘ผู้นำในยามสงคราม’ เท่านั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อใดก็ตามที่มีการสู้รบครั้งใหญ่ ฮังอวี่จะถูกขอให้ออกหน้าในฐานะแม่ทัพสั่งการ แต่หลังจบการต่อสู้หรือหมดหน้าที่แล้ว เขาก็ไม่สามารถสั่งการได้อีกต่อไป

เมื่อปราศจากอำนาจทางการเงิน

ปราศจากอำนาจทางกำลังพล

เขาก็ไม่สามารถควบคุมทีมได้

ฮังอวี่จึงเป็นแค่ผู้นำเพียงในนาม ว่ากันตามจริงเป็นผู้บัญชาการยามที่ทุกคนต้องการเท่านั้น

ส่วนเหตุผลที่การต่อสู้ในทุกๆครั้งดำเนินไปอย่างราบรื่น ก็เนื่องมาจากการสนับสนุนของหัวหน้าค่ายทั้งสาม ซึ่งคอยควบคุมทีมของตัวเองทางอ้อมอีกทอดหนึ่ง

แต่ตอนนี้ หัวหน้าค่ายทั้งสองตัดสินใจแล้ว

พวกเขายินดีสละสิทธิ์ในการนำทีม และหันมาขึ้นตรงต่อฮังอวี่

และนี่เป็นเรื่องดีสำหรับเขา เพราะทีมทั้งสองคือชนชั้นยอดจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีคุณภาพและได้รับการขัดเกลามาเป็นอย่างดี และทุกคนถูกส่งตรงถึงมือเขาโดยที่ตัวเองแทบไม่ต้องทำอะไรเลย

ขุมกำลังทั้งสองใช้โอกาสนี้เพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียว

และให้ฮังอวี่ขึ้นเป็นผู้นำทีมอย่างแท้จริง

ฮังอวี่เอ่ยถาม “พวกคุณคิดดีแล้วหรอ? ทีมของพวกคุณในตอนนี้ ทุกคนเป็นคนที่พวกคุณฝึกฝนและขัดเกลามาเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายกลับมอบให้ผม?”

ฉูเทียนหัวกล่าว “ไม่เป็นไร ฉันสร้างทีมนี้ขึ้นมาก็จริง แต่ไม่ได้เห็นแก่ตัวถึงขั้นอยากเก็บเอาไว้คนเดียว”

จ้าวหมิงกล่าวต่อว่า “ฉันเคยคิดเหมือนกันว่าตราบใดที่อดทนและฝึกฝนทีม ฉันอาจจะได้ขึ้นเป็นผู้นำในอนาคต ... แต่พอออกจากป่าแห่งการเริ่มต้นและเข้าสู่อาณาจักรมังกรโลกา ฉันก็เข้าใจถึงปัญหามากมาย”

ใช่!

หลังจากขุมกำลังมนุษย์เข้าสู่โลกเบื้องบน

เมื่อต้องเผชิญหน้าชนพื้นเมือง พวกเขายังคงอ่อนแอเกินไป

แค่เมืองเล็กๆที่ครอบครองโดยมนุษย์จิ้งจอกยังไม่สามารถรับมือได้

ด้วยขุมกำลังเพียงเล็กน้อย เกรงว่าการพิชิตโลกวิญญาณคงเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน ตื่นได้แล้ว! ถึงเวลาที่พวกเขาต้องยอมรับความจริง!

ตราบใดที่ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

สุดท้ายย่อมเกิดจุดอ่อน

ความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญมากในเวลานี้

ฉูเทียนหัว จ้าวหมิงได้หารือกันแล้ว

และทั้งสองตัดสินใจร่วมมือ รวมทีมเข้าด้วยกัน

แต่เรื่องเดียวที่น่าหนักใจก็คือใครเล่าจะขึ้นเป็นหัวหน้า?

ให้จ้าวหมิงขึ้นเป็นหัวหน้า? แบบนั้นฉูเทียนหัวไม่มีทางยอมรับอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกัน หากให้ฉูเทียนหัวขึ้นเป็นหัวหน้า? จ้าวหมิงย่อมไม่พอใจ

และนั่นไม่ใช่เฉพาะพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงลูกน้องของทั้งสองฝ่ายด้วย

เมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นทำไมให้มอบตำแหน่งนี้ให้แก่ฮังอวี่เล่า?

ยกให้ฮังอวี่เป็นหัวหน้า

และพวกเขาทั้งสองเป็นรองหัวหน้า

แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการแก้ปัญหาหรอกหรือ?

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การทำแบบนี้สามารถผุกมัดฮังอวี่ให้เข้าร่วมทีมได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้ฮังอวี่ซึ่งเป็นยอดฝีมือจากนอกทีม ได้ขึ้นเป็นผู้นำที่แท้จริงของทุกคน

หากอยากฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือยอมถอยครึ่งก้าว เพื่อที่จะได้ก้าวต่อไป

แม้พวกเขาจะรู้สึกเสียดาย แต่ทั้งเหล่าจ้าวและเหล่าฉูคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้วนับแต่เข้าสู่โลกวิญญาณ และมันมากพอที่จะเป็นตัวตัดสินการพัฒนาของทีมในอนาคต!