ยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 274 เผชิญหน้ากับจักรพรรดิอมตะ (ฟรี)
หลังจากการมาถึงของจักรพรรดิอมตะหง กับจักพรรดิอมตะหยูเยต้า ก็มีกระแสพลังของจักรพรรดิอมตะคนใหม่มาถึงมากขึ้นเรื่อยๆ
“นั่นมันจักรพรรดิอมตะโปโง่ว”
“แล้วก็มีจักรพรรดิอมตะหง แม้แต่จักรพรรดิอมตะหยูเยต้าก็อยู่ด้วย”
“จักรพรรดิจากภาคตะวันตกและภาคใต้มาเจอหน้ากัน!”
“เพราะมรดกของจักรพรรดิอมตะชิงปรากฏขึ้น ทำให้เหล่าจักรพรรดิอมตะเคลื่อนไหว!”
“ก็ไม่แปลกหรอก หาใครได้รับมรดกของจักรพรรดิชิงไปได้ มันจะต้องเปลี่ยนแปลงโชคชะตาคนผู้นั้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ ก็มีวิชาระดับจักรพรรดิอมตะให้ตัวตนจักรพรรดิอมตะพวกนี้ได้ครอบครอง”
“แล้วจักรพรรดิชิงเองก็ตระเวนไปทั่วทั้งดินแดนกว้างใหญ่เป็นเวลากว่าหลายร้อยปี และเขานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จักรพรรดิชิงคงได้เก็บรวบรวมสมบัติไว้มากมายแน่นอน”
“สมบัติของจักรพรรดิชิงสักชิ้นเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เหล่าจักรพรรดิอมตะทั้งหลายสู้เพื่อแย่งชิงกัน!”
“ดูนั่นมีจักรพรรดิอมตะมาถึงอีกแล้ว!”
“เดี๋ยวนั้นใช่อัมดับสามจากรายชื่อเผ่าพันธ์นับหมื่นใช่ไหม! เผ่าจักรพรรดิอมตะไร้สิ้นสุด แล้วนั่นคือจักรพรรดิอมตะหวู่หยาและที่ด้านหลังของเขาคงเป้นบุตรชายของจักรพรรดิหวู่หยา หยานคังเทียน?”
“หยานคังเทียน….ใช่ๆ นั้นและหยานคังเทียน เป็นเขาจริงๆ!”
…..
ตอนนี้เริ่มมีจักรพรรดิอมตะปรากฏตัวขึ้นมาเรื่อยๆ
แม้ว่าผู้คนจะไม่เห็นร่างของเหล่าจักรพรรดิอมตะตรงๆ ด้วยตาเปล่า แต่พวกเขารู้จักถึงกลิ่นไอของตัวตนพวกนี้ เพราะในหลายๆ เมืองมีรูปปั้นของจักรพรรดิอมตะทั้งหลายตั้งอยู่สูงเด่นเป็นตระะหง่าน รูปปั้นพวกนั้นจะส่งกลิ่นไอแบบเดียวกับของจักรพรรดิอมตะผู้นั้น
ตอนนี้รูปปั้นเหล่านั้นกลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ และอยู่ต่อหน้าพวกเขา อีกทั้งยังมีจักรพรรดิอมตะคนอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่หยุดเนื้อท้องฟ้า และมีเหล่าบุตรศักดิ์สิทธิ์หรือบุตรจักรพรรดิติดตามมาด้วย
ในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์และบุตรจักรพรรดิ มีตัวตนที่โดดเด่นอยู่หนึ่งคน เขาคนนั้นคือผู้ที่พิชิต 34 ชั้นฟ้า และ 100 ขุนเขา ในเครือข่ายมายา อยู่เหนือกว่าเหล่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ทุกคน หยานคังเทียน
หยานคังเทียนนั้นมาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะไร้สิ้นสุด ที่เป็นอัมดับสามของรายชื่อเผ่าพันธ์นับหมื่น ชื่อดั่งเดิมของเขาคือ เซี่ยมัวหลัว เป็นลูกศิษของจักรพรรดิอมตะหวู่หยา
“หยานคังเทียน?”
“หน้าตาเป็นแบบนี้เองงั้นหรอ”
ซู่เสี่ยวไป่เมื่อได้ยินฝูงชนพูดขึ้นว่าหยานคังเทียนอยู่ที่นี่ ซู่เสี่ยวไป่เลยมองขึ้นไปและเห็นว่าที่ด้านหลังของจักรพรรดิอมตะหวู่หยา มีชายร่างผอมเพรียวผู้หนึ่งยืนอยู่ ชายผู้นี้ผมสีขาวยาวถึงเอว ห่มขาวทั้งตัว มีรอยหยดเลือดระหว่างคิ้ว ดูจากภายนอกแล้ว เรียกได้ว่านี้คือหนุ่มรูปงาม
ขนาดตัวนั้นไม่ได้ต่างจากขนาดของมนุษย์เท่าไร
แต่ที่ต่างก็คือบนหัวของเขามีเขาเล็กๆ สีขาวสองอันงอกอยู่บนหน้าผาก
ถ้ามองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกอย่างเดียว ซู่เสี่ยวไป่คงไมคิดว่าตัวตนนี้คือผู้ที่ทำลายทุกสถิติในเครือข่ายมายา
การปรากฏตัวของหยานคังเทียนนั้นสร้างเสียงฮือฮาไปทั่ว
แต่ตัวของหยานคังเทียนนั้นไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
ดูเหมือนว่าเหล่าฝูงชนที่อยู่ด้านล่างของเขาไม่มีค่าอะไรเกินไปกว่ามดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น ก็ไม่แปลกที่เขาจะคิดเช่นนั้นก็เพราะตอนนี้ความแข็งแกร่งเขาอยู่เทียบเท่ากับกึ่งจักรพรรดิอมตะแล้ว หาไม่ใช่ตัวตนระดับจักพรรดิอมตะ เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจใครทั้งสิ้น
“หยานคังเทียน เป็นชื่อที่ดูโหดเหี้ยมและดุดัน แต่กลับมีหน้าตาที่ดูแล้ว เหมือนกับลูกคุณหนู เป็นสุภาพชนมากกว่าเสียอีก ขัดกับชื่อตัวเองสุดๆ”
(แปลชื่อตรงตัวของหยานคังเทียน จะแปลว่าชโลมเลือดสวรรค์)
“บางที่ใต้ใบหน้าสุดหล่อนั้น คงแฝงไปด้วยสีหน้าสุดแสนอำมหิตอยู่สินะ”
“แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในเขตแดนกึ่งเซียนอีกแล้ว เขาอยู่ในเขตแดนยอดยุทธอมตะ”
ซู่เสี่ยวไป่พูดขึ้นหลังจากที่สังเกตตัวของหยานคังเทียนอย่างละเอียด
เขาสนใจตัวตนนี้ เพราะหยานคังเทียนนั้นได้ทำลายทุกสถิติที่มีในเครือข่ายมายา และโดยที่ยังไม่อยู่ในเขตแดนกึ่งเซียนด้วยซ้ำ….แต่สิ่งที่ซู่เสี่ยวไป่สงสัยก็คือในเมื่อหยานคังเทียนเป็นยอดยุทธอมตะแล้วไหนกลับมีพลังแค่เขตแดนกึ่งจักรพรรดิอมตะเท่านั้น!
“การจะไปให้ถึงเขตแดนจักรพรรดิอมตะนั้น คงยากเย็นไม่น้อย!”
ตัวตนกึ่งจักรพรรดิอมตะนั้นมีมากมายเป็นหมื่นชีวิตในดินแดนกว้างใหญ่
แต่ในบรรดาทั้งหมื่นชีวิต มีแค่ไม่ถึงหลักร้อยที่สามารถบรรลุเป็นจักรพรรดิอมตะได้ หรือมีแค่คนเดียวด้วยซ้ำ
หยานคังเทียนนั้นมีทั้งศักยภาพและพรสวรรค์สูงส่ง
ตอนที่เขาอยู่เขตแดนกึ่งเซียน ความแข็งแกร่งของเขาก้แทบจะเทียบเท่ากึ่งจักรพรรดิอมตะแล้ว
แต่ตอนนี้เขาได้ข้ามเขตแดนมาเป็นยอดยุทธอมตะ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังติดอยู่ที่กึ่งจักพรรดิอมตะเท่านั้น เห็นได้ชัดเลยว่าช่องว่างระหว่างกึ่งจักรพรรดิอมตะ กับจักรพรรดิอมตะนั้นห่างกันแค่ไหน
“มีจักรพรรดิอมตะมาเพิ่มอีกแล้ว!”
“นั่นมันเผ่าจักรพรรดิอมตะจิตโลหิตนิรันดร์ จักรพรรดิอมตะเทียนฮัว”
“ที่ตามออกมาด้วย…..คือจักรพรรดิฮัว!!”
“มาอีกแล้วจักรพรรดิจิ่วเซียวต้าจากเผ่าอมตะศิลา”
“ที่ด้านหลังของเขาคือจักรพรรดิเหลียงซาน”
“มีแต่ตัวตนที่น่ากลัวปรากฏตัวขึ้นไม่หยุดเลย จักรพรรดิเหลียนซานจากทางเหนือ แล้วภูมิภาคทางเหนือแม้แต่จักพรรดิเทพยุทธยังต้องใช้เวลาเดินทางกันเป็นพันๆ ปี แต่ระดับตัวตนที่ทรงพลังเขากลับใช้เวลาไม่กี่วันเท่านั้น”
“จักรพรรดิผิงไห่ จักรพรรดิเทียนซวน จักรพรรดิไช่หวู่ ….ทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่แล้ว”
“เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเหล่าอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงโด่งดังรวมกันมากขนาดนี้”
“แล้วตอนนี้ทุกคนกำลังจะสุ้กันเพื่อแย่งชิงมรดกของจักรพรรดิอมตะชิง!”
……
เหล่าตัวตนอัจฉริยะผู้ได้รับฉายาจักรพรรดิทั้งหลายเริ่มปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาเป็นระยะๆ พร้อมกับกระแสพลังของจักรพรรดิอมตะมากขึ้นเรื่อยๆ
“เผ่าอมตะ….เดี๋ยวนะ ทำไมถึงมีจักรพรรดิอมตะในเผ่าได้ล่ะ?”
“แปลกชะมัด เผ่าอมตะพวกนี้เรายังไม่เคยได้ยินชื่อเลย แต่ชื่อว่าเผ่าอมตะดันกลับมีตัวตนจักรพรรดิอมะตอยู่ได้ละ”
หลังจากที่ได้ฟังฝูงชนพูดคุยกัน ทำให้ซู่เสี่ยวไป่ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เกี่ยวกับเผ่าพันธ์เหล่านี้ เขานั้นเข้าใจมาตลอดว่าต้องเป็นเผ่าจักรพรรดิอมตะเท่านั้น ถึงจะมีตัวตนระดับจักรพรรดิอมตะได้ แต่ไม่คิดว่าเผ่าอมตะก็จะมีตัวตนจักรพรรดิด้วยเหมือนกัน!
ที่ซู่เสี่ยวไป่ไม่เข้าใจก็ไม่แปลก เพราะแท้จริงแล้วเผ่าอมตะพวกนั้นพึ่งจะให้กำเนิดจักรพรรดิอมตะตามมาที่หลัง
แต่เพื่อให้ความเคารพต่อบรรพชนที่ก่อสร้างรากฐานให้เผ่าเอาไว้ จึงไม่ได้เปลี่ยนเป็นเผ่าจักรพรรดิอมตะ แต่ใช้คำว่าเผ่าอมตะเช่นเดิม แต่ถึงอย่างนั้นเผ่าพวกนี้ก็มีฐานะทางสังคมไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่าจักรพรรดิอมตะเลย
เพราะเผ่าที่ให้กำเนิดจักรพรรดิอมตะได้นั้น จะรับพรจากวิถีแห่งสวรรค์ เลยให้กำเนิดยอดอัจฉริยะแบบจักรพรรดิฮัว หรือจักรพรรดิเหลียงซานได้ ส่วนพรที่ได้รับนั้นขึ้นอยู่กับลำดับของตัวตนจักรพรรดิอมตะของเผ่า
“แม้แต่ในหมู่จักรพรรดิอมตะด้วยกัน ก็ยังมีพวกที่ทรงพลังเหนือกว่าเขตแดนเดียวกันอีก”
แววตาของซู่เสี่ยวไป่เริ่มฉายออกถึงความอยากรู้อยากเห็น
และคิดว่าตัวตนพวกนี้โชคดีเกิดมาในเผ่าพันธ์ที่ดีพร้อมทุกอย่าง
ตัวตนที่เกิดมาจากเผ่าพวกนี้มักจะได้ดิบได้ดีเสมอ แต่ก็ยังมีขีดจำกัดที่แม้แต่เผ่าจักรพรรดิอมตะไม่สามารถแหกได้ และไม่มีทางลัดที่จะช่วยให้เหล่าบุตรศักดิ์สิทธิ์และบุตรจักรพรรดิอมตะทะลวงเขตแดนเป็นจักรพรรดิอมตะได้อย่างง่ายดาย เว้นแต่จะได้รับโชคลาภครั้งใหญ่ อย่างเช่นมรดกของจักรพรรดิชิง!
ซู่เสี่ยวไป่กำลังคิดจะจัดการกับเหล่าบุตรจักรพรรดิทั้งหลาย
เพราะซู่เสี่ยวไป่มั่นใจแล้ว่าเขานั้นมีความแข็งแกร่งพอๆ กับจักรพรรดิฮัว และจักรพรรดิเหลียนซาน และใกล้อยู่ระดับเดียวกับหยานคังเทียน
การจะสู้กับเหล่าบุตรจักพรรดิอมตะทั้งหลายก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
“หือ?”
แล้วอยู่ๆ ซู่เสี่ยวไป่ก็เหมือนเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา
ผู้ที่มาถึงเมื่อครู่นั้น ไม่ใช่จักรพรรดิอมตะ แต่เป็นกึ่งจักรพรรดิอมตะ
ในการแย่งชิงมรดกของจักรพรรดิชิงนั้น เหล่ากึ่งจักรพรรดิอมตะจะได้เปรียบกว่าเป็นเรื่องปกติ
และผู้ที่มาถึงเมื่อครู่นั้นไม่ใช่ใครอื่น นั่นคืออาจารย์ของหยุนโฮ ที่เขาเคยช่วยลูกศิษของนางเอาไว้จากพวกหมอกมีชีวิต
“้นางก็มาด้วยงั้นหรอ?”
“มรดกของจักรพรรดิอมตะชิงนั้นเป็นที่ต้องการจากทุกตัวตนจริงๆ โดยเฉพาะเหล่ากึ่งจักรพรรดิอมะทั้งหลาย”
ซู่เสี่ยวไป่พูดขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถึงอาจารนย์ของหยุนโฮ และอาจารย์ของหยุนโฮเองก็รู้สึกได้ถึงซู่เสี่ยวไป่พร้อมกับหันมองลงมาทางซู่เสี่ยวไป่ ที่นางนั้นรู้ได้ก็เพราะนางเองก็สามารถเข้าใจและจับวิถีแห่งตรรกะได้เหมือนกัน และจำรูปลักษณ์ของซู่เสี่ยวไป่ได้
“เขา….มาได้อย่างไร ก็เมื่อครั้งสุดท้ายเขาอยู่ในสมรภูมิเขตแดน”
แววตาของอาจารย์หยุนโฮนั้นฉายออกด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
เพราะที่ตั้งของทั้งสมรภูมิเขตแดนกับเมืองอมตะเก้าเสานั้นอยู่ห่างกันมากพอสำควร ขนาดตัวของนางเองยังใช้เวลาหลายวัน
นางเริ่มคิดแล้วว่าความแข็งแกร่งของเตายี่ชิงหลงนั้นอาจจะเหนือกว่ายอดยุทธอมตะอาวุโสชั้น 7 ไปแล้วก็ได้
…….
ในส่วนที่ลึกที่สุดของสมรภูมิยอดยุทธอมตะอาวุโส การจะเดินทางกลับออกมาอย่างน้อยๆ ก็ใช้เวลาเกือบ อาทิตย์ แล้วนับประสาอะไรกับการมาถึงที่แห่งนี้ได้ภายในไม่กี่วัน!
อาจารย์ของหยุนโฮเริ่มคิดแล้วว่าตัวตนเตายี่ชิงหลงนั้นรวดเร็วกว่านนางมาก
“เธอกำลังเข้ามาใกล้!”
ซู่เสี่ยวไป่สังเกตเห็นว่าอาจารย์ของหยุนโฮกำลังบินลงมาหาเขา
“ตัวตนจักรพรรดิอมตะทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนออกคำสั่งจับตายเจ้า แต่ไหนเจ้ามายืนเสนอหน้าเช่นนี้?”
“ไม่กลัวโดนเหล่าจักรพรรดิอมตะเล่นงานเลยรึไง?”
อาจารย์ของหยุนโฮส่งเสียงมาตามกระแสพลัง ทำให้มีแค่ซู่เสี่ยวไป่กับนางเท่านั้นที่ได้ยิน
“ว่าไงนะ….กลัว!!”
แล้วซู่เสี่ยวไป่ก็หลุดหัวเราะออกมา
“ถ้าไม่มั่นใจผมไม่กล้ามายืนตรงนี้หรอก!”
ถึงแม้ว่าจักรพรรดิอมตะนั้นจะน่ากลัวก็จริง
แต่ซู่เสี่ยวไป่นั้นมั่นใจว่าเขาจะเอาตัวรอดได้
ด้วยเส้นทางแห่งชีวิต และเส้นทางที่สอดคล้องมันได้เพิ่มพลังของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้วิชาต่างๆ แสดงพลังได้มากขึ้น ทำให้วิชาควบคุมธาตุและมิติ ทรงพลังขึ้นหลายตัว อีกทั้งวิถีฟ้าดินที่พึ่งจะบรรลุมานั้นก็ได้รับการบีบอัดจนเหนือกว่าวิถีฟ้าดินปกติทั่วไป
ต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะที่ทรงพลังก็ตาม แต่ซู่เสี่ยวไป่ก็มั่นใจว่าจะสามารถทำให้ตัวตนเหล่านี้เชื่องช้าลงได้ชั่วขณะหนึ่ง
แล้วในช่วงเวลาสั้นๆ ตรงนั้นที่เขาจะฉกฉวยโอกาสหลบหนีออกไป ซึ่งหากซู่เสี่ยวไป่ตั้งใจจะหนีต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะก็ไล่ตามเขาไม่ทัน
…..
“เจ้าช่วยชีวิตลูกศิษของข้าเอาไว้ และนางก็ขอให้ข้าปกป้องเจ้า เอาเป็นว่าหากเจ้าตกอยู่สถานการณ์ที่เลวร้ายก็บดขยี้หยกที่หยุนโฮมอบให้กับเจ้า แล้วข้าจะไปช่วยเหลือทันที แต่หากว่าสิ่งที่เจ้าเจออยู่มันเกินมือข้า ข้าก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาของเจ้าเอง”
อาจารย์ของหยุนโฮพูดขึ้นก่อนที่จะหันหลังและกำลังจะบินจากไป
“ก็ในเมื่อท่านหวังดีกับผมเช่นนี้ เอาเป็นว่าผมก็จะให้สัญญาว่าหากว่าท่านตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ผมจะเข้าไปช่วยเช่นเดียวกัน แต่ถ้ามาไม่ทันนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของท่าน!”
ซู่เสี่ยวไป่ตอบกลับพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
อาจารย์ของหยุนโฮหันขวับกลับมาทันทีพร้อมกับจ้องมองซู่เสี่ยวไป่
เป็นเพียงแค่กึ่งเซียน ไหนปากดีกล้ามาล้อเลียนนางแบบนี้ได้ หากไม่เห็นแก่หยุนโฮขอไว้ และครั้งหนึ่งซู่เสี่ยวไป่เคยช่วยชีวิตหยุนโฮเอาไว้ ปานี้มืออันเรียวงามของนางนั้นคงได้ฉีกกระชากร่างของซู่เสี่ยวไป่ไปแล้ว
ครืน!!
แล้วอยู่ๆ ก็มีกลิ่นไอของจักรพรรดิอมตะสองคนปรากฏตัวขึ้น
เมื่อซู่เสี่ยวไป่มองขึ้นไป เขานั้นไม่เคยเห็นทั้งสองคนนี้มาก่อน ….แต่สิ่งที่ซู่เสี่ยวไป่แปลกใจกว่าคือทั้งสองไม่มีบุตรศักดิ์สิทธิ์หรือบุตรจักรพรรดิติดตามมาด้วย
“จักรพรรดิหลิวฟ่า!!”
“ไหนพี่หลิวบอกว่าไม่สนใจมรดกจักรพรรดิอมตะชิง ไหนกลับมายังที่แห่งนี้เล่า?”
จักรพรรดิหยูเย่ต้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กำลังล้อเลียนจักรพรรดิอมตะหลิวฟ่า
“ไม่ใช่ว่าพี่หลิวนั้นบอกว่าจะไล่ล่าหาวิชาระดับจักรพรรดิอมตะให้เจองั้นหรอ หรือว่าถอดใจแล้วเลยมาหาโชคลาภจากมรดกของจักรพรรดิชิง?
เหล่าจักรพรรดิอมตะคนอื่นๆ เริ่มหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“หากต้องการจะเข้าร่วมก็ควรพาบุตรจักรพรรดิของมาสิ ท่านคงไม่ยอมโกนหัวแล้วแหกกฏลงไปแย่งชิงมรดกนี้เองละ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้านั้นหยาบคาย!”
จักรพรรดิอมตะโปโง่วดูขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ทำไมพวกเขาถึงพาบุตรศักดิ์สิทธ์และบุตรจักรพรรดิของตนมาที่แห่งนี้?
นั้นก็เพราะมรดกของจักรพรรดิอมตะนั้น เขตแดนสูงสุดที่จะเข้าไปได้แค่กึ่งจักรพรรดิอมตะเท่านั้น แล้วเมื่อไหร่ที่ตัวตนเหล่านั้นได้ครอบครองมรดกออกมาแล้ว มีหรือจะไม่มีคนคิดแย่งชิง
ทำให้จักรพรรดิอมตะทั้งหลายมาเพื่อคุ้มกันลูกศิษและบุตรจักรพรรดิของตนเอง
“ข้าไม่ได้สนใจมรดกนี้”
จักรพรรดิอมตะหลิวฟ่าเริ่มตอบโต้ ด้วยวาจาที่เคร่งขรึม
“หลังจากที่ข้านั้นได้ออกตามหาไปทั่วดินแดน สังเวยเผ่าอมตะไปมากมาย และตามร่องรอยของตรรกะมา ข้าก็พอว่ามันอยู่ที่แห่งนี้!”
“นั้นเป็นเหตุผลที่ข้ามายังที่นี่”
“เพราะผู้ที่ถือครองวิชาเนตรเทพโลหิตนั้นอาจจะอยู่ที่แห่งนี้กับพวกเรา”
เมื่อกล่าวจบเหมือนมีอะไรดลใจ อยู่ๆ เขาก็มองไปยังทางที่ซู่เสี่ยวไป่อยู่
(ปล. ป่วยครับแปลไม่ไหว ตอนเดียวนะครับ)