ตอนที่แล้วSN-ตอนที่ 17 การแก้แค้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSN-ตอนที่ 19 วาเลร่า

SN-ตอนที่ 18 อันเดดที่ถูกเลือก


อัลดิช หลับตาลงและถอนหายใจขณะที่มองขึ้นไปบนดวงจันทร์สีซีดเบื้องบน โดยมีคลื่นพลังงานสีเขียวส่องประกายรอบๆ ตัวเขา ในขณะที่เขาเลเวลอัพ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากรัศมีแห่งพลังที่มาจาความทุกข์ทรมานของ โกสต์

เขาได้ยินเสียงเคี้ยวอย่างหิวกระหาย เสียงของเนื้อที่ถูกฉีก และ กระดูกที่ถูกเคี้ยวดังอื้อ โดยฝีมือของ อดัม และ เอเลเน่ สิ่งนี้ทำให้การเริ่มต้นการล้างแค้นของพวกเขาได้เริ่มต้นขึ้น โดยเขาปล่อยให้พวกเขาทั้ง 2 กินซากศพของโกสต์จนกลายเป็นสิ่งไร้ค่า ซึ่งนี่เป็นรางวัลที่สมควรได้รับสำหรับความทุกข์ทรมานของพวกเขา และ นอกจากนี้ โกสต์ ยังได้ดรอบลูกแก้วจิตวิญญาณอีกด้วย

อัลดิช ต้องการใช้จิตวิญญาณอันนี้และสร้างบางสิ่งจากมัน ถ้ามันมีพลังของโกสต์สถิตย์อยู่ บางทีไอเทมที่ถูกสร้างจากสิ่งนี้ อาจจะเปิดใช้งานการทะลุทะลวงได้ เพราะสิ่งนี้มันค่อนข้างมีประโยชน์เมื่อเทียบกับซอมบี้ที่ไม่มีสกิลเลย

ในขณะเดียวกัน อัลดิช ก็รักษาพลังใหม่ของเขาให้เสถียรด้วยการกระจายแต้มสถานะของเขา ตอนนี้เขาเริ่มลงทุนมากขึ้นใน ค่าความสอดคล้อง เมื่อเขาได้รับ [หนังสือแห่งความมืด 2]

[หนังสือแห่งความมืด 2] เป็นไอเทมพื้นฐานที่เนโครแมนเซอร์ได้รับในเลเวล 1, 5, 15, 25,35 และ 50 ซึ่งมอบรายการสกิลให้ผู้เล่นเลือก ซึ่งพวกเขาสามารถเรียนรู้ 3 สกิลเพิ่มเติมได้

และเมื่อผ่านเลเวล 50 ไปแล้ว จะต้องสร้างหรือค้นหาหนังสือเวทมนตร์ที่ดีกว่าเพื่อให้ได้สกิลที่ขยายไปสู่ระดับเลเวลที่สูงขึ้น

อัลดิช สามารถพบหนังสือระดับสูงหลายเล่มใน ภารกิจทดลอง ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลกับการเรียนรู้สกิล แม้ว่ามันจะมีผลอยู่บ้างเกี่ยวกับหนังสือสกิลที่หายากที่สุดใน Elden World แต่มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาควรกังวลในตอนนี้

อัลดิช ได้ลงแต้มสถานะ 8 หน่วยในค่า ความสอดคล้อง และ 2 หน่วยในค่าความอึด

สิ่งนี้ค่อนข้างเหมาะสมแล้วโดยเฉพาะการลงค่าความอึดเมื่อคิดจากการที่เขาเป็นนักเวทย์ เพราะว่านี่ไม่ใช่เกม แต่เป็นโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร ดังนั้นเขาจะต้องมีพลังชีวิตที่สูงมากพอที่จะเอาตัวรอดจากการถูกลอบโจมตีแบบไม่คาดคิด

มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นมันถึงจะสามารถรักษาความปลอดภัยและเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ตายจากการโจมตีทีเผลออย่างรวดเร็ว

[+2 ค่าความอึด,เนื่องจากโบนัสความสัมพันธ์ทางค่าสถิติได้รับโบนัสพิเศษสองเท่าเป็น + 4]

[ความอึด: 10 > 14]

[HP: 33/33 > 45/45]

[+8 ค่าความสอดคล้อง,เนื่องจากโบนัสความสัมพันธ์ทางค่าสถิติได้รับโบนัสพิเศษสองเท่าเป็น +16]

[ความสอดคล้อง: 5 > 21]

อัลดิช รู้สึกพึงพอใจในทันที เขาจำเป็นจะต้องเพิ่มจำนวนสกิลและยูนิตที่เขาสามารถควบคุมได้ เมื่อพิจารณาจากการที่เขาเป็นเนโครแมนเซอร์ผู้ปลุกชีพความตาย

ทุกๆ 5 แต้มความสอดคล้อง เขาสามารถเพิ่มช่องสกิลหรือยูนิตพิเศษได้ 1 ตัว และ ด้วยค่าความสอดคล้องทั้งหมด 21 หน่วย เขาสามารถเพิ่มช่องสกิลหรือยูนิตได้มากถึง 4 ตัว หรือ การผสมทั้งสองอย่าง

จำนวนช่องสกิลพื้นฐานที่เขาสามารถรับได้คือ 5 และจำนวนยูนิตพื้นฐานที่เขาสามารถควบคุมได้คือ 5 เช่นเดียวกัน

ทุกๆ 10 เลเวล อัลดิช จะได้รับทักษะติดตัวที่เรียกว่า [เสียงเพรียกหาจากใต้พิภพ] ที่เพิ่มความสามารถในการควบคุมยูนิตพื้นฐานของเขาขึ้นอีก 5 ซึ่งจะทำให้มียูนิตทั้งหมด 55 ยูนิตที่ควบคุมได้ในเลเวลที่ 100

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาไม่ใช่คลาส นักเวทย์ธรรมดา เขาจึงไม่ได้รับโบนัสเกี่ยวกับพลังเวทย์ในแต่ละระดับ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องใช้ ค่าความสอดคล้อง หรือจะให้พูดก็คือ ค่าความสอดคล้องถือเป็นค่าสถานะที่สำคัญสำหรับเขาเป็นอย่างยิ่ง

อัลดิช ใช้ ค่าความสอดคล้อง 3 หน่วยในการขยายยูนิต และใช้ 1 หน่วยในการเพิ่มช่องใช้งานสกิล ซึ่งปัจจุบันเขารู้เรียนรู้สกิลไปแค่ 3  อัน ยังเหลืออีก 2 ช่องว่าง ดังนั้นด้วยโบนัสที่เพิ่มขึ้นมา 1 อัน เขาสามารถเรียนรู้สกิลทั้งหมดได้ 6 อัน ซึ่งเป็นทั้งหมดที่เขาต้องการในตอนนี้

[ขีดจำกัดการควบคุมยูนิตเพิ่มขึ้นจาก 5 เป็น 8]

[ขีดจำกัดการใช้สกิลเพิ่มขึ้นจาก 5 เป็น 6]

และเมื่อจัดการค่าสถานะเสร็จ อัลดิช ก็เดินไปที่ศพของ โกสต์ หรือจะเรียกว่าซากก็ได้ เพราะมันมีเพียงรอยเปื้อนเลือด เศษกระดูก และอวัยวะภายในสีชมพูที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นดินเท่านั้น และ เมื่อเขาเข้าไปใกล้ เหล่า อันเดด ก็เปิดทางให้กับเขา

“เป็นคนที่พูดมากจนวินาทีสุดท้าย แต่ถึงกระนั้นนายก็ทำได้เพียงเท่านี้เองงั้นหรือไม่?” อัลดิชกล่าวขณะที่เขามองลงไปที่ส่วนที่เหลือของชายผู้ที่เคยทรมานเขาและเพื่อนๆ ของเขาจนพวกเขาพบเจอกับความยากลำบาก เขาส่ายหัวและเอื้อมมือไปคว้าจิตวิญญาณของเขา

[1x ได้รับจิตวิญญาณ]

“ทำได้ดีมาก ทุกคน” อัลดิช กล่าวขณะที่ยกนิ้วให้ อดัม และ เอเลเน่ จากนั้นเขาก็ลูบไล้สไตร์เกอร์ ขณะที่พวกมันขดตัวอยู่รอบตัวเขาราวกับสุนัขยักษ์ “เอาล่ะ ถึงเวลาที่เราจะเพิ่มเพื่อนลงในปาร์ตี้นี้แล้ว”

หัวใจอันเดดของ อัลดิช ไม่ได้เต้นอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้ามันเต้นได้ มันก็คงจะเต้นด้วยความเร็วสูงสุดอย่างคาดไม่ถึง เขาได้ถอน [ตราสัญลักษณ์ของโลกใต้พิภพ] ออกมาจากช่องเก็บของของเขา

ทันใดนั้น ลูกบอลทรงกลมก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา

[ตราสัญลักษณ์ของโลกใต้พิภพ] มอบให้กับ เนโครแมนเซอร์ผู้ปลุกชีพความตาย ที่เลเวล 5 และอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปใน โลกใต้พิภพของ Elden World ที่ซึ่งปีศาจและอันเดดระดับสูงและมีชื่ออาศัยอยู่ภายในนั้น

ที่นั่น อัลดิช สามารถเลือกพลังอันหลากหลายที่ชื่อ อันเดด เพื่อสร้างข้อตกลง ทำให้พวกเขาได้รับเลือกให้เป็น อันเดด ที่สามารถเพิ่มเลเวลและสวมใส่อุปกรณ์ได้ นี่คือเพื่อนร่วมชีวิตที่ทำหน้าที่เป็น 'อีกครึ่งหนึ่ง' ของเขา โดยพื้นฐานแล้วมันได้ชดเชยจุดอ่อนทั้งหมดของเขาหากเขาเลือกสมุนได้ดี

อัลดิช เปิดใช้งาน [ตราสัญลักษณ์ของโลกใต้พิภพ] โดยการบดขยี้มันด้วยกำมือของเขา มันแตกเหมือนแก้วที่เปราะบาง และ เศษอัญมณีสีม่วงก็ลอยอยู่ตรงหน้าเขาโดยมันได้เริ่มก่อตัวเป็นวงกลม และภายในวงกลมนี้ ความมืดที่เป็นเกลียวและหมุนวนก็ได้ก่อตัวขึ้นจนเป็นหลุมมิติ

ต้นไม้รอบๆ อัลดิช ได้โยกเยกและส่งเสียงคร่ำครวญออกมา ใบหญ้าและพืชรอบๆ ประตูเริ่มเหี่ยวเฉาตายและและสลายกลายเป็นฝุ่น

อัลดิช รอคอยตัวเลือกการอัญเชิญของเขาอย่างใจจดใจจ่อให้ปรากฏในรายการต่อหน้าเขา เขารู้อยู่แล้วว่าเขาชอบใคร เขามีความโน้มเอียงที่จะเลือกวาเลร่าแห่งกองทัพอมตะมากที่สุด นี่คือตัวเลือกที่เขาเล่นด้วยในเกมและเป็นสิ่งที่เขายกย่องมากที่สุดในฐานะนักสู้ระยะประชิดและตัวแท้งค์ที่ทรงพลัง แต่เขาต้องการดูว่าตอนนี้เขามีตัวเลือกมากขึ้นหรือไม่เมื่อเปรียบเทียบกับเกม

เพราะมันก็คุ้มที่จะพิจารณาตัวเลือกอื่น ๆ เพราะบางตัวอาจจะไม่มีประโยชน์ในเกมแต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันก็สามารถใช้ประโยชน์ได้

โครงกระดูกทองคำฮาร์เดอร์ เป็นโครงกระดูกสีทองตามชื่อของมัน โดยมันมีร่างเป็นโครงกระดูกสีทองที่สวมเสื้อคลุมและสวมหมวกทรงสูง ซึ่งมันเป็นตัวเลือกมีมภายในเกมที่ค่อนข้างโดดเด่น ทว่ามันกลับมีความสามารถในการต่อสู้หรือแทงค์ที่ไร้ประโยชน์เป็นอย่างมาก แต่สามารถสร้างเหรียญได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มจำนวนเหรียญจากภารกิจที่ได้รับได้

อีกทั้งมันยังมีการโจมตีด้วยการโยนเหรียญใส่ศัตรูซึ่งสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างรุนแรง แต่ทว่าก็ต้องแลกมากับการทำให้ผู้เล่นเสียเงิน

ในเกม ฮาร์เดอร์ นั้นไร้ประโยชน์เพราะในที่สุด เหรียญเงินก็สามารถหาได้โดยง่าย ดังนั้นจึงทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ไร้ประโยชน์จนถึงท้ายเกม แม้ว่าการโจมตีด้วยเหรียญจะน่าสนใจแต่มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น

แต่ตอนนี้ ด้วย เหรียญเงินที่หาได้ยาก บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ก็เป็นได้

จัสติน่าแห่งการสังเกตุ เป็นเจตภูตที่ครอบครองสกิลจำพวกตาทิพย์ที่น่าเหลือเชื่อซึ่งสามารถกำหนดขอบเขตพื้นที่และสนามรบก่อนโดยการสำรวจพวกมันได้ แต่ภายในเกม เรื่องนี้ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ เนื่องจาก อัลดิช ได้สำรวจทุกพื้นที่เป็นการส่วนตัว ทำให้ความสามารถในการสำรวจของเธอนั้นซ้ำซากกับเขา

แต่ตอนนี้ด้วยความสามารถที่น่าทึ่งนั่นบางทีอาจจะมีประโยชน์กับเขาในตอนนี้ก็ได้

กอร์กอธ เป็นลูกบอลศพที่ทำหน้าที่ปลุกอันเดดนับไม่ถ้วน โดยพื้นฐานแล้วมันมีความสามารถเหมือนกับเนโครแมนเซอร์ผู้ปลุกชีพความตาย โดยถือว่าเป็นเนโครแมนเซอร์คนที่ 2

ในเกม กอร์กอธ ถูกปรับให้มีความสามารถในการปลุกอันเดดที่มากกว่าเพราะทั้งหมดล้วนเป็นอันเดดระดับต่ำ แต่บางทีการเรียกสิ่งนี้มาก็อาจจะช่วยให้เขาจัดตั้งกองกำลังขนาดใหญ่เพื่อต่อกรกับวาแลนได้ และมันคงจะมีประโยชน์ไม่น้อยในโลกแห่งความเป็นจริงนี้

แน่นอนว่าตัวเลือกเกี่ยวกับอันเดดเหล่านี้มีมากมาย แต่ในขณะนั้นเอง…

"หืม…" อัลดิช เอียงศีรษะขณะจ้องมองไปที่ช่องว่างมิติ ถึงตอนนี้ เขาได้รู้รายชื่อเกี่ยวกับอันเดดที่สามารถเรียกได้หมดแล้ว และ ในขณะที่เขากำลังตัดสินใจก็มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น

ในเวลานี้ช่องว่างมิติเริ่มส่งเสียงปริแตกด้วยพลังงานสีม่วงบางอย่างซึ่งเป็นสัญญาณว่าอันเดดได้ถูกเลือกแล้ว

อัลดิช ได้ก้าวถอยหลังและระวังการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้

ท้ายที่สุดนี่ก็ไม่ใช่เกมอีกต่อไป ซึ่งอันเดดที่ถูกเลือกอาจจะไม่ได้ทำตามคำสั่งจากระบบภายในเกมเพราะ พวกเขามีชื่อและบุคลิกของตัวเอง ใครจะสามารถบอกได้ว่าพวกเขาจะเป็นมิตรหรือว่าศัตรูกันแน่?

ดังนั้นคนที่จะโผล่ออกมาจากช่องว่างมิติ อัลดิช ไม่สามารถยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรหรือว่าศัตรูของเขา

อัลดิช ให้เหล่า อันเดด มารวมตัวกันที่ด้านหน้าเขา โดยเตรียมพร้อมที่จะป้องกันเขาเอาไว้

จากนั้นภายในช่องว่างมิติ ร่างที่สวมชุดเกราะดำและขาวก็ได้ก้าวออกมาจากข้างใน โดยร่างที่สวมชุดเกราะนี้สูงอย่างน้อย 2 เมตร และแต่ละก้าวและทุกย่างก้าวก็เต็มไปด้วยความหนักหน่วง จนกระทั่งเสียงของชุดเกราะได้กระทบกัน

สิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงพลังและน้ำหนักที่ทิ้งไว้เบื้องหลังขั้นตอนเหล่านั้นทั้งหมด ด้วยพลังทางกายภาพที่ไม่ธรรมดานี้ มันได้แสดงให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวที่ถ้าหากถูกทุบไปคงจะได้ลงไปนอนกับพื้นเป็นแน่

อัศวินในชุดเกราะนี้ไม่ได้ถืออาวุธ แต่กลับถือโล่รูปกากบาทขนาดมหึมาที่ทำด้วยเหล็กสีดำและสีเทาซึ่งมีขนาดใหญ่อย่างเห็นได้ชัด

อัศวินคนนี้ได้ยืนนิ่งขณะที่ประตูมิติที่อยู่ด้านหลังปิดลง จากนั้นมันก็จ้องตรงไปที่ อัลดิช ที่กำลังแสดงความตึงเครียดออกมา

อัลดิช รู้ในทันทีว่านี้เป็นใคร

"เธอคือ... วาเลร่าแห่งกองทัพอมตะใช่หรือไม่?" อัลดิช กล่าวอย่างลังเล ดูเหมือนว่า อันเดด ที่ถูกเลือกนี้จะถูกเลือกมาเพื่อเขา เหมือนกับตอนที่เขาอยู่ภายในเกม

และมันก็เป็นตัวเลือกที่ดีทำให้เขาไม่สามารถบ่นอะไรได้

ที่เขาควรระวังก็คือวาเลร่าเป็นศัตรูหรือไม่? เพราะถ้าเธอเป็นศัตรู อัลดิช ก็มีโอกาสเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะเอาชนะเธอได้  เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นนักรบเดธไนท์ดูลาฮานที่เชี่ยวชาญในการป้องกันและการต่อสู้ในระยะประชิด อีกทั้งเลเวลเริ่มต้นของเธอคือ 10 ซึ่งมันสูงกว่า อัลดิช ในตอนนี้อย่างเห็นได้ชัด

"นายท่าน...ท่านคือนายท่านใช่หรือไม่?" เสียงผู้หญิงที่น่าประหลาดใจของ วาเรล่า ได้ดังออกมาจากหมวกเหล็กที่ปิดสนิท

อัลดิช ไม่ได้ยินถึงความเกลียดชังใด ๆ ในน้ำเสียงของเธอ แต่เขาก็ยังคงเฝ้าระวัง “ใช่ เป็นฉันเอง ว่าแต่เธอ…จำฉันได้ด้วยงั้นเหรอ?”

"ย่อมต้องจำได้อยู่แล้ว!" วาเลร่ากล่าว เธอทำโล่ไม้กางเขนขนาดยักษ์ของเธอตก และมันก็กระแทกอย่างแรงด้วยเสียงดังกราวของเหล็กบนพื้น จากนั้นเธอก็วางมือที่มีหนามแหลมไว้บนหน้าอกของเธอ"พวกเราผ่านการผจญภัยมากมายด้วยกัน! ยังมี การทดสอบมากมาย! ชีวิตและความตายมากมาย!"

วาเลร่ามองลงไป และเสียงของเธอก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “แต่แล้ว หลังจากที่เราเอาชนะ ฮาวลิ่งดาร์ก ด้วยกัน ท่านก็หายตัวไป ทางเราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน จนกระทั่งเป็นเวลากว่าสามร้อยปี นี่เป็นช่วงเวลา 3 ศตรวรรษที่ยาวนานที่สุดในชีวิตอมตะของข้า เดิมข้าคิดว่าท่านจะจากไปแบบไม่หวนกลับมาแล้ว และ ข้าคงต้องร่อนเร่อยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาล”

“อืม” อัลดิชพูด ดูเหมือนว่า วาเลร่า จะเก็บความทรงจำจากเกมไว้ในระดับนึง เพราะวัตถุประสงค์หลักของ Elden World คือการเอาชนะสิ่งชั่วร้ายที่รู้จักกันในชื่อ ฮาวลิ่งดาร์ก และเมื่อเสร็จแล้ว ผู้เล่นตามตำนานของเกม จะ 'เกษียณ' ตัวเองและไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยที่โลกกลับคืนสู่ความสงบ

แน่นอนว่า ภายในเกม ผู้เล่นสามารถทำตามใจได้ตามที่พวกเขาชอบไม่ว่าจะเป็นการสำรวจพื้นที่หรือท้าทายบอสและกิจกรรมต่อไป แต่นอกเหนือจากนี้ 'เรื่องราว' ของเกมก็เสร็จสิ้นแล้ว อะไรก็ตามที่ผ่านมามันเป็นเนื้อหาที่ 'เป็นส่วนเกิน’

โดย อัลดิช ได้จบเนื้อเรื่องหลักเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ก่อนที่เขาจะมาที่แบล็ควอเตอร์ เป็นไปได้ไหมว่าวาเลร่าได้สูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับเขาหลังจากนั้น และดูเหมือนว่าทุกๆ ปีที่ผ่านไป จะเป็นเวลากว่าร้อยปีใน Elden World

“แต่ตอนนี้ข้ากลับพบท่านที่นี่ อีกทั้งยังเริ่มต้นชีวิตด้วยร่างกายใหม่ โอ้ นายท่าน หัวใจของข้ารู้สึกเต้นแรงเป็นอย่างมากที่ได้พบท่านอีกครั้ง!” วาเลร่าพุ่งไปข้างหน้าโดยใช้ทักษะของนักรบ [พุ่ง] ซึ่งร่างของเธอได้กลายเป็นภาพเบลอและสวมกอดอัลดิช “โอ้นายท่านที่รักของข้า ข้าจะอุทิศทั้งชีวิตและจิตวิญญาณเพื่อรับใช้ท่านอีกครั้ง”

“ยินดีที่ได้พบเธอเช่นกัน วาเลร่า”อัลดิช กล่าวพร้อมกับส่งเสียงฮืด ๆ ในขณะที่เขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก

เอาเป็นว่า วาเลร่าไม่ใช่ศัตรูของเขาอย่างแน่นอน เว้นแต่เธอวางแผนที่จะกอดเขาจนตาย ซึ่งในกรณีนี้มันคงจะไม่มีทางเกิดขึ้น

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด