MDB ตอนที่ 188 ปะทะสัตว์วิเศษจากทวีปกลาสซี่
ทางฝั่งหลินจิน เขามีขุมพลังมากเกินพอที่จะรับมืออีกฝ่าย แม้ว่าพวกศัตรูจะมีจำนวนมากแค่ไหนก็ตามแต่พลังการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่สามารถเทียบกับทางหลินจินได้ แค่ชางเอ๋อร์เพียงตนเดียวก็สามารถจัดการพวกเขาได้อย่างอยู่หมัด
อย่างไรก็ตาม หลินจินไม่ต้องการให้เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาลงมือ มันต้องผ่านการคิดอย่างรอบคอบ
หลินจินเป็นคนรักสงบ ถ้าให้เลือกได้เขาไม่อยากให้ชีวิตของเขาตกอยู่วังวนแห่งความวุ่นวาย
เขายังคงพยายามคิดแผนการหลบหนี
ไม่มีทางที่เขาจะใช้เหตุผลพูดคุยกับชาวพื้นเมืองในทวีปกลาสซี่ได้เนื่องจากชางเอ๋อร์ได้ฆ่าคนของพวกเขาไป แต่หลินจินไม่คิดจะตำหนิเธอ เนื่องจากชาวพื้นเมืองเป็นคนที่จับและทรมานเสี่ยวอู่ พวกเขาต้องโทษตัวเองที่เป็นจุดเริ่มต้นการนองเลือดนี้
เมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าศัตรูของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใด พวกชาวพื้นเมืองจึงไม่ได้บุกเข้ามาโจมตีโดยไม่มีแผนการอะไร
พวกเขาได้ใช้หมาป่าที่ราบลุ่มในการโจมตี พวกมันเป็นหนึ่งในสัตว์วิเศษที่นิยมใช้ในการต่อสู้ เนื่องจากธรรมชาติที่ดุร้ายและทักษะการต่อสู้ของหมาป่า พวกมันไม่เคยถอยกลับแม้เมื่อต้องเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะต่อสู้จนตายและจะไม่มีวันหนีจากสนามรบ
แต่วันนี้ ไม่มีหมาป่าสักตัวเดียวที่กล้าบุกเข้าไปโจมตีภายในภูเขาลูกนี้
ราวกับว่าพื้นที่ข้างหน้าเป็นดินแดนต้องห้าม
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย!” นักรบพื้นเมืองออกมาจากกลุ่มและก้าวออกมาข้างหน้า เขานำกลองต่อสู้ออกมา เขาตีเครื่องดนตรีหนึ่งครั้ง
*ตึง!*
สัตว์วิเศษตัวใหญ่กระโดดไปข้างหน้า
มันคือสิงโตแห่งทวีปกลาสซี่
สิงโตใหญ่เป็นสองเท่าของหมาป่าที่ราบลุ่ม สิงโตพุ่งไปข้างหน้าภายใต้คำสั่งของกลองต่อสู้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปทำให้ชาวพื้นเมืองต้องอ้าปากค้าง แม้ว่าจะสามารถพุ่งไปข้างหน้าหมาป่าได้หลายฟุต แต่มันก็หมอบลงอย่างสั่นกลัว มันอยู่ห่างจากชายลึกลับประมาณ 6 เมตร
ไม่ว่านักรบพื้นเมืองจะตีกลองหรือตะโกนสุดเสียงสักแค่ไหน สิงโตก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนงงงัน
ชาวพื้นเมืองของทวีปกลาซี่ไม่ใช่คนโง่ พวกเขารู้ดีว่าชายสวมหน้ากากเปลือกไม้ไม่ใช่เป้าหมายที่ง่าย
ทันใดนั้น ชาวพื้นเมืองอีกคนหนึ่งก็วิ่งไปข้างหน้า เขาดึงแตรเขาสัตว์ออกมาแล้วเป่าเข้าไปอย่างสุดปอด
*หวู่!*
เสียงก้องกังวานไปในอากาศ
กระทิงตัวโตสองตัวพุ่งไปข้างหน้า
เขาของกระทิงผู้บ้าคลั่งเหล่านี้มีเขาคมและหนา พวกมันมีพละกำลังมาก แค่อากาศที่มันหายใจออกมาก็ทำให้ต้นไม้ใหญ่โค่นล้มได้ กระทิงเหล่านี้พุ่งขึ้นไปบนเนินเขาด้วยความเร็วสุดขีด
หลินจินขมวดคิ้ว
เขาไม่สามารถใช้ทักษะกำราบของเขากับกระทิงผู้บ้าคลั่งเหล่านี้ได้อีกต่อไป ทางเลือกเดียวของเขาคือปล่อยให้โกลดี้และหมาป่าเงาไปจัดการพวกมัน
การต่อสู้จึงเริ่มขึ้น
หมาป่าเงาล่องลอยไปมาราวกับภูตผีและหยุดกระทิงตัวหนึ่งเพื่อต่อสู้กับมัน
โกลดี้ก็รีบกระพือปีกและร่อนมันพุ่งตรงไปที่กระทิงตัวหนึ่ง วินาทีต่อมา ตาข้างหนึ่งของกระทิงก็มืดบอดอันเป็นผลมาจากการจิกอย่างไม่ลดละ โกลดี้เป็นไก่ที่โหดเหี้ยม มันจะไม่มีวันยอมถอยจนกว่ามันจะชนะอีกฝ่าย
โดยปกติไก่จะไม่ทำร้ายใครแต่ถ้าได้ลงมือ อีกฝ่ายต้องมีเลือดอาบแน่นอน หลินจินรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยอนุญาตให้โกลดี้เข้าร่วมในการต่อสู้ทุกประเภท แต่วันนี้แตกต่างออกไป นี่เป็นเหตุฉุกเฉินและพวกเขาไม่สามารถถอยกลับได้
ส่วนหมาป่าเงา มันไม่เด็ดขาดเท่ากับโกลดี้เมื่อต้องโจมตีจุดอ่อนของศัตรู
หมาป่าเงาตวัดกรงเล็บของเขาไปที่คู่ต่อสู้ของมัน อย่างไรก็ตาม มีชั้นเกราะที่ดูเหมือนจะทำมาจากส่วนผสมของโคลนและหินบนตัวของกระทิงซึ่งทำให้การโจมตีธรรมดาไม่สามารถเจาะทะลุได้
แม้แต่กรงเล็บที่แหลมคมของหมาป่าเงาก็ไม่สามารถทำลายการป้องกันของศัตรูได้ในทันที
ในทางตรงกันข้าม ความแข็งแกร่งของกระทิงดุนั้นเหนือกว่าหมาป่าเงาอย่างเห็นได้ชัด
ไม่มีใครหยุดกระทิงได้
นอกจากนั้น เปลวไฟยังปะปนอยู่ในลมหายใจที่วัวเหล่านี้พ่นออกมาจากจมูกของพวกมัน คล้ายกับลมหายใจของมังกรในตำนาน ต้นไม้โค่นล้ม หินแตกกระจายและบริเวณลุกเป็นไฟเมื่อพวกมันเดินผ่านไป
การต่อสู้ซึ่งหน้าเช่นนี้ไม่ใช่จุดเด่นของหมาป่าเงา ความสามารถพิเศษของเขาคือการท่องไปในความมืด ลอบโจมตีและลอบสังหาร การเผชิญหน้าโดยตรงไม่ใช่จุดแข็งของมัน
หลินจินกำราบสิงโตและหมาป่าที่ราบลุ่มด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งเขาเรียกใช้คาถา 'ลมพายุ' และร่ายใส่หมาป่าเงาเพื่อเพิ่มความเร็วให้มัน
คาถาลมพายุของหลินจินนั้นอาจดูธรรมดา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความสำคัญในตอนนี้ อย่างน้อยก็สามารถช่วยหมาป่าเงาเคลื่อนที่เร็วขึ้นเล็กน้อย
ตอนนี้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง
ชาวพื้นเมืองในทวีปกลาสซี่ได้ลงมืออีกครั้ง
เหยี่ยวนกเขาอย่างน้อยห้าตัวโฉบลงมาจากท้องฟ้าด้านบนเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้
สองตัวกำลังมุ่งหน้าไปที่หลินจิน ในขณะที่อีกสามตัวที่เหลือมุ่งเป้าไปที่โกลดี้และหมาป่าเงา
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นกลยุทธ์ของพวกเขา โดยแบ่งกองกำลังเพื่อโจมตี หลินจินไม่สามารถปกปิดความแข็งแกร่งของเขาได้อีกต่อไป เขาใช้เข็มลวดขดของเขาแทงเหยี่ยวนกเขาสองตัวอย่างรวดเร็วผ่านหัวใจของพวกมัน
เนื่องจากการเคลื่อนไหวของเขาดูลึกลับเกินไป จึงไม่มีใครเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเห็นเพียงเหยี่ยวนกเขาสองตัวพุ่งลงมาอย่างดุดัน แต่จู่ ๆ พวกมันก็ชะงักราวกับว่าพวกมันถูกฟ้าผ่า จากนั้นพวกมันก็ชนเข้ากับก้อนหินรอบ ๆ บริเวณนั้นและขาดใจตาย
เหยี่ยวนกเขาทั้งสองกลายเป็นก้อนเลือด
สิ่งนี้ทำให้ชาวพื้นเมืองในทวีปกลาสซี่ตกใจ
ชายสวมหน้ากากเปลือกไม้น่ากลัวเกินไป จนถึงตอนนี้ เขาได้ยับยั้งสัตว์วิเศษอย่างง่ายดาย ราวกับว่านั่นยังไม่น่ากลัวพอ ด้วยการใช้พลังลึกลับบางอย่าง เขาสามารถกำจัดเหยี่ยวนกเขาทั้งสองได้
เมื่อเทียบกับนั้น เหยี่ยวนกเขาอีกสามตัวที่มุ่งหน้าไปที่โกลดี้และหมาป่าเงานั้นโชคดีกว่ามาก
เนื่องจากระยะทางที่ห่างไกล หลินจินจึงไม่สามารถใช้เข็มลวดขดของเขาจัดการกับเหยี่ยวนกเขาอีกสามตัวได้
ณ ตอนนี้ หมาป่าเงาต่อสู้กับกระทิงและเหยี่ยวนกเขาอย่างละตัว มันต่อสู้ได้อย่างยากลำบาก ในขณะเดียวกัน โกลดี้ก็รับมือเหยี่ยวนกเขาสองตัวและกระทิงหนึ่งตัว เจ้าไก่เอาชนะพวกมันได้อย่างเด็ดขาด ด้วยความดุร้ายของเจ้าไก่นั้นเทียบเท่ากับความโกรธเกรี้ยวของไก่นับพันตัว
แม้แต่หลินจินก็ไม่คิดว่าโกลดี้ต่อสู้ได้ดีขนาดนี้
*พรึ่บ!*
เปลวไฟถูกจุดบนหงอนของโกลดี้ มันได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เจ้าไก่เปิดจะงอยปากออกและพ่นไฟออกมา มันได้ย่างเหยี่ยวตัวหนึ่งเป็นเป็น ๆ พร้อมกับเผาส่วนหนึ่งของป่าในเวลาเดียวกัน
จากนั้นมันก็กระพือปีกและลอยขึ้นไปในอากาศเพื่อสู้กับเหยี่ยวนกเขาตัวอื่น ๆ
ทักษะการต่อสู้ของโกลดี้นั้นน่าประทับใจและน่าตื่นตะลึงมาก
เจ้าไก่สามารถบอกได้ว่าเหยี่ยวนกเขานั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า ดังนั้นมันจึงเลือกที่จะจัดการกับพวกมันก่อน
เนื่องจากกระทิงไม่สามารถบินได้ ดังนั้นหากโกลดี้ลอยขึ้นไปในอากาศ มันก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
ชาวพื้นเมืองสังเกตเห็นว่าไก่ยักษ์ตัวนี้เป็นภัยคุกคามร้ายแรงเพียงใด
“เอาสัตว์เลี้ยงของพวกเจ้าออกมา เราต้องปิดล้อมและฆ่าไก่ยักษ์ตัวนั้น!” ชาวพื้นเมืองคนหนึ่งตะโกน
สัตว์วิเศษของเขาเพิ่งเสียชีวิตภายใต้เปลวเพลิงของโกลดี้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นหัวใจของเขาจึงเจ็บปวด เขาต้องการฉีกโกลดี้ออกเป็นชิ้น ๆ
เหยี่ยวนกเขาอีกตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างดุดันเพื่อสังหาร นอกจากนี้ กิ้งก่าขนาดใหญ่สองตัวคลานไปข้างหน้าเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้
หลินจินได้ใช้เข็มลวดขดเจาะเข้าไปในหัวใจของสิงโต เพื่อให้แน่ใจว่ามันตายจริง ๆ เข็มได้เปลี่ยนเส้นทางไปยังสมอง ทำให้สิงโตขาดใจในที่สุด
ไม่มีเวลาสำหรับความเมตตา ชาวพื้นเมืองลงมืออย่างสุดกำลัง ดังนั้น หลินจินจึงต้องหยุดลังเล ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกและการฆ่าเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้
แต่หลินจินรู้ว่ามันยากที่จะปล่อยให้เรื่องนี้จบลงอย่างสวยงาม
หมาป่าเงาไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ซึ่งหน้า ดังนั้นมันจึงทำได้แค่พยายามเอาชีวิตรอดในตอนนี้ กำลังหลักของหลินจินในตอนนี้คือโกลดี้แต่มันกำลังต่อสู้กับสัตว์วิเศษสี่ตัวเพียงลำพัง มีสัตว์วิเศษระดับสามในหมู่คู่ต่อสู้ของเจ้าไก่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าไก่ยอมแพ้แม้แต่น้อย ในทางกลับกัน กลับทำให้ไฟสู้ของมันโหมแรงขึ้นเรื่อย ๆ
*กระต๊าก! กระต๊าก!*
โกลดี้กระพือปีกของมัน โกลด์ดี้คว้าศีรษะของเหยี่ยวนกเขาตัวหนึ่งด้วยกรงเล็บของมันแล้วกดลงอย่างแรง ทุบกะโหลกของเหยี่ยวนกเขาให้แหลก เลือดของมันได้ถูกย้อมบนสนามรบ
ทันทีที่โกลดี้ลงพื้น มันก็ถูกเจ้ากิ้งก่ากระโจนเข้าใส่แต่เจ้าไก่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว มันหันขวับและพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ในชั่วพริบตา แล้วเริ่มจิกอย่างดุเดือด
ร่างของกิ้งก่านั้นดูน่าสยดสยอง ตัวของมันเต็มไปด้วยรูทันที จากนั้นเลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลนั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ช่างเป็นภาพที่โหดร้ายจริง ๆ
แม้แต่หลินจินก็รู้สึกชาบนหนังศีรษะของเขาในขณะที่เขาดูการต่อสู้ของเจ้าไก่ ตอนนี้โกลดี้ก็อยู่ในระดับสามเทานั้น ถ้าโกลดี้พัฒนาขึ้นอีกระดับ แม้แต่ท้องฟ้า เจ้าไก่ตัวนี้ก็สามารถจิกได้
ที่สำคัญกว่านั้น โกลดี้ไม่ได้เรียนรู้รูปแบบพลังงานอสูรแม้แต่ส่วนเดียว มันแค่อาศัยแค่พละกำลังของตัวเองและความโหดเหี้ยมโดยกำเนิดเท่านั้น
ความประทับใจของหลินจินต่อโกลดี้ในฐานะนักสู้เปลี่ยนไปทันที
แม้จะอยู่ในระดับเดียวกันกับเสี่ยวฮั่ว แต่เจ้าหมาป่าก็ไม่สามารถเทียบเจ้าไก่ในเรื่องโหดเหี้ยมได้
เมื่อเวลาผ่านไป มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก กระทิงผู้น่าสงสาร มันไม่สามารถทนต่อการจิกของโกลดี้ได้อีกต่อไปและเสียชีวิตอย่างอนาถ
ยอดเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือดสีแดงสด
“เรียกสัตว์วิเศษที่เหลือกลับมา” ชาวพื้นเมืองทนไม่ไหวอีกต่อไป หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกสัตว์วิเศษของพวกเขาจะถูกฆ่าตายทั้งหมด
วันนี้ชื่อเสียงของโกลดี้เพิ่มขึ้นในการต่อสู้เพียงครั้งเดียว
“นั่นมันตัวบ้าอะไร? ทำไมมันถึงโหดอย่างนี้?”
“แม้ภายนอกจะดูเหมือนไก่ธรรมดา แต่ภายในคงไม่เป็นเช่นนั้น ไก่แบบนี้แม้แต่ในทวีปกลาสซี่ก็ไม่มีเช่นกัน”
“เราต้องหยุดส่งสัตว์เลี้ยงของพวกเราออกไปได้แล้ว! ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกมันต้องตายเพราะเจ้าไก่ตัวนั้นแน่และอีกอย่างชายสวมหน้ากากคนนั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน สัตว์วิเศษของเราไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้เลย เราต้องถอยและเปลี่ยนแผนการของเรา”
ชาวพื้นเมืองถูกครอบงำด้วยความโกลาหล
“ทุกคน ใจเย็น ๆ ก่อน เราต้องปิดล้อมพวกเขาเอาไว้ พวกเราไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้ ผู้หญิงคนนั้นฆ่าลูกชายแท้ ๆ ของผู้คุมกฎไป เราปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ ข้าได้ยินมาว่าทางผู้คุมกฎกำลังเร่งเดินทางมาที่นี่แล้ว เมื่อเขาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครสามารถปกป้องผู้หญิงคนนั้นได้” หัวหน้าชาวพื้นเมืองกล่าวที่เชิงเขา
แม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้น แต่ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่เขาเหลือบมองชายลึกลับและไก่ตัวโตของเขา
วิธีที่เขาจ้องมองพวกเขาเหมือนกับว่าเขาเห็นผี
เนื่องจากเป็นผู้สังเกตการณ์ที่กระตือรือร้น หัวหน้ารู้ว่าชายลึกลับคนนี้เป็นชายที่น่าเกรงขาม เขาสามารถควบคุมสัตว์สองตัวในการต่อสู้ได้ด้วยตัวเอง เพียงแค่กวาดแขนเพียงข้างหนึ่ง ชายคนนั้นก็สามารถปราบสัตว์ร้ายวิเศษทั้งหมดได้ พวกเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
แม้แต่ผู้ประเมินสัตว์วิเศษที่มีชื่อเสียงของประเทศต่าง ๆ ในทวีปกลาสซี่ของพวกเขาก็ยังไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
ใครคือชายลึกลับใต้หน้ากากเปลือกไม้เป็นใครกัน?
หลินจินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในที่สุดการสังหารอันโหดเหี้ยมก็จบลงซะที
เขาพบว่าทักษะกำราบสัตว์วิเศษระดับกลางนั้นมีประโยชน์มาก สัตว์วิเศษที่อยู่ในระดับสี่และต่ำกว่าไม่สามารถต้านทานได้และศักยภาพในการต่อสู้ของโกลี้ก่อนหน้านี้ก็น่าจับตามอง มันไร้ความปรานีเกินไปสำหรับไก่ตัวหนึ่ง หลินจินคาดการณ์ว่าแม้ว่าสัตว์วิเศษระดับสี่จะปรากฏตัว โกลดี้ก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
แต่แน่นอนว่า ไม่ว่าโกลดี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน เจ้าไก่ก็จะหมดพลังไปไม่ช้าก็เร็ว เช่นเดียวกับทักษะกำราบของหลินจินก็มีจุดอ่อนเช่นกัน เขาไม่สามารถปราบปรามสิ่งมีชีวิตมากเกินไปในคราวเดียวได้ หมาป่าแห่งที่ราบลุ่มนั้นอยู่ในระดับสอง ดังนั้นพวกมันจึงจัดการได้ง่าย หากพวกเขาส่งสัตว์วิเศษระดับสามมาหลายตัว หลินจินอาจจะลำบากในการใช้ทักษะเช่นกัน
ตอนนี้ ชาวพื้นเมืองไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขาและหลินจินก็ไม่จากไปไหน ทั้งสองฝ่ายได้มาถึงทางตัน
หลังจากนั้นไม่นาน หลินจินดูเหมือนจะสังเกตเห็นเจ้าหน้าที่จากเมืองเมเปิ้ลกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
นี่เป็นเรื่องปกติ ชาวพื้นเมืองได้สร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ภายในเขตแดนของอาณาจักรมังกรหยกจนทางการปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้
อย่างไรก็ตาม หลินจินที่อยู่บนเนินเขาไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้าหน้าที่พูด ไม่นานก่อนที่เขาจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แทนที่จะจากไป ทางการได้ตัดสินใจปิดล้อมที่เชิงเขา
สถานการณ์เริ่มน่าหวาดวิตกมากขึ้นเรื่อย ๆ