ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 26 ประลองครั้งที่สอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 28 คำสัญญาใต้แสงจันทร์

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 27 โสมจิตวิญญาณปรากฏกาย


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 27 โสมจิตวิญญาณปรากฏกาย 

แปลโดย iPAT  

หลี่ฉิงซานสูดหายใจลึก “แค่นี้หรือ!”

แขนของฮวงปิงหูสั่น นี่เป็นผลจากการปะทะกับหลี่ฉิงซาน เขามองประเมินหลี่ฉิงซานจากระยะไกลและรู้สึกงุนงง “เจ้าฝึกมาอย่างไร?”

หลังจากทั้งหมดความเร็วในการพัฒนาของหลี่ฉิงซานน่ากลัวเกินไป

แรกเริ่ม ฮวงปิงหูเห็นคุณค่าในความมุ่งมั่นและทักษะการต่อสู้ของหลี่ฉิงซาน เขาคิดว่าตนเองพบเพชรในตรมและต้องการเจียรนัยมัน เขาต้องการรู้ว่าเด็กผู้นี้มีโอกาสรับตำแหน่งหัวหน้านักล่าของหมู่บ้านบังเหียนม้าหรือไม่ อย่างไรก็ตามในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าเขาประเมินหลี่ฉิงซานต่ำเกินไป

หลี่ฉิงซานพิจารณาคำถามก่อนตอบ “เมื่อเร็วๆนี้ข้าดื่มสุราหมักโสม มันเป็นสูตรที่ท่านอาจารย์ของข้าทิ้งไว้เบื้องหลัง”

ฮวงปิงหูลังเล “ให้ข้าดูได้หรือไม่?” เดิมทีตามกฎของยุทธภพ ผู้ฝึกยุทธ์จะไม่ถามเรื่องเช่นนี้จากผู้อื่น มันถือเป็นการเสียมารยาท แต่ความสงสัยที่เอ่อล้นอยู่ในหัวใจทำให้ฮวงปิงหูต้องถามออกไป

หลี่ฉิงซานกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ไม่มีปัญหา!”

เมื่อฮวงปิงหูถาม หลี่ฉิงซานก็ตอบไปตามความเป็นจริง ฮวงปิงหูพยักหน้า “เป็นสูตรที่แยบยล แต่มันรุนแรงเกินไป เจ้าใช้โสมมากเกินไป ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถดื่มมันได้มากนัก เพียงวันละจอกก็พอ”

ฮวงปิงหูไปที่ห้องของหลี่ฉิงซาน เขายังทดลองชิมสุราหมักโสมและยืนยันข้อสรุปของตน อย่างไรก็ตามเขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเพียงการดื่มสุราหมักโสมจะทำให้ทักษะการต่อสู้ก้าวหน้าขึ้นได้อย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นหมู่บ้านราชาโสมคงเต็มไปด้วยปรมาจารย์ชั้นสูง

แต่กระนั้นมันก็ไม่เหมาะสมที่จะตรวจสอบหลี่ฉิงซานต่อไป ฮวงปิงหูทำได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้กับตนเองเท่านั้น อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นเพราะเคล็ดวิชาที่หลี่ฉิงซานฝึกฝน ท้ายที่สุดการบ่มเพาะร่างกายไม่มีสิ่งใดน่าประทับใจและไม่ถือเป็นทักษะระดับเทพ

แน่นอนว่าหลี่ฉิงซานไม่สามารถบอกฝ่ายตรงข้ามว่าเขาดื่มสุราหมักโสมด้วยชามใบใหญ่และดื่มวันละหลายครั้ง

“โอ้ ถูกต้อง ความสามารถของข้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

“มันแทบจะเท่ากับระดับนักสู้ชั้นสาม” ฮวงปิงหูยังจำได้ว่าเมื่อไม่นานนี้เขายังกล่าวว่ามันเป็นเรื่องยากที่หลี่ฉิงซานจะบรรลุระดับนักสู้ชั้นสาม แต่ในชั่วพริบตาเด็กหนุ่มกลับบรรลุขั้นนี้แล้ว นี่ทำให้ฮวงปิงหูรู้สึกราวกับฝันไป

“เพียงนักสู้ชั้นสามงั้นหรือ?” หลี่ฉิงซานรู้สึกไม่พอใจ

ฮวงปิงหูชำเลืองมองเด็กหนุ่ม บุคคลที่มีทักษะการต่อสู้ถึงระดับนักสู้ชั้นสามสามารถเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญ แต่เด็กผู้นี้กลับไม่พอใจและนั่นยังเหมือนกับการเย้ยหยันว่าทักษะการต่อสู้ของฮวงปิงปหูอยู่ในระดับนักสู้ชั้นสามเท่านั้นหรือ?

ฮวงปิงหูเป็นหัวหน้านักล่าของหมู่บ้านบังเหียนม้ามานานหลายปี แล้วเขาจะยินดีให้บางคนดูแคลนได้อย่างไร เขากล่าว “จุดแข็งของข้าไม่ใช่ทักษะการต่อสู้แต่เป็นการยิงธนู ในแง่ของทักษะการต่อสู้ แม้แต่หมู่บ้านราชาโสมก็ยังเหนือกว่าเรา อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเรามีธนูอยู่ในมือ กระทั่งนักสู้ชั้นหนึ่งก็ยังต้องหลีกเลี่ยงการยั่วยุพวกเรา”

ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นคืออาการเจ็บป่วยของเขาที่ใกล้ถึงจุดไร้ทางเยี่ยวยาแล้ว แม้เขาจะได้รับฉายาว่าเสือป่วย แต่เขาก็ถือว่าคำว่าป่วยเป็นข้อห้ามสูงสุดของตน เขาจะไม่มีวันใช้มันเป็นเหตุผล

“ถูกต้อง ข้าฝึกยิงธนูอย่างหนักในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้ข้าสามารถยิงธนูสามดอกติดต่อกันได้แล้ว แต่ข้าก็ยังห่างไกลจากท่านหัวหน้าอีกมาก โปรดให้คำชี้แนะข้าหากท่านหัวหน้าพอมีเวลาว่าง” หลี่ฉิงซานเคยเห็นฝีมือการยิงธนูของฮวงปิงหูมาด้วยตาของตนเอง นั่นทำให้เขาตระหนักถึงความห่างชั้นระหว่างพวกเขา

‘เจ้าสามารถยิงธนูสามดอกติดต่อกันได้แล้วงั้นหรือ!? เจ้าพึ่งเริ่มเรียนรู้การยิงธนูเมื่อเดือนก่อน!’ ฮวงปิงหูลอบตกใจอยู่ภายใน เขาโบกมือกล่าว “พรุ่งนี้ไปขอคำแนะนำจากปู่จาง ข้าต้องกลับไปกินข้าวเย็นกับครอบครัว”

เป็นเพียงเวลานี้ที่เขารู้สึกว่าบางทีเด็กหนุ่มผู้นี้อาจมีพรสวรรค์ที่สามารถท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพได้จริงๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่กล่าวถึงเรื่องหัวหน้านักล่าของหมู่บ้านบังเหียนม้า หากตัวเขาเองมีความก้าวหน้าที่รวดเร็วเช่นเดียวกันนี้ในอดีต เขาจะไม่มีวันกลับมาที่หมู่บ้านบังเหียนม้า

“ถูกต้อง มันเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์!” หลี่ฉิงซานมองจันทร์เต็มดวงที่พึ่งโผล่ขึ้นบนท้องฟ้าแต่เขาไม่มีญาติให้กลับไปรวมตัว อย่างไรก็ตามเขามีปีศาจและภูตผีอยู่ข้างกาย เขาสามารถทานอาหารร่วมกับพวกมัน

ด้วยเหตุนี้หลี่ฉิงซานจึงรีบกลับเข้าไปเตรียมอาหาร เขาเตรียมหญ้าอ่อนสดใหม่ไว้สำหรับวัวดำ เนื้อกับสุราสำหรับตัวเขาเอง และธูปกับเครื่องเซ่นไหว้สำหรับเสี่ยวอัน

เขาจัดเตรียมทุกสิ่งอย่างราบรื่นแต่เขาหาเสี่ยวอันไม่พบ “พี่วัว เสี่ยวอันไปไหน?”

“ข้าไม่รู้”

หลี่ฉิงซานพึมพำกับตนเอง “ช่วงนี้ผีน้อยหนีออกไปเล่นบ่อยจริงๆ เขาอาจไม่ต้องการอยู่กับข้าอีกต่อไป แต่ข้าคิดว่าเราควรรอเขา”

จันทร์เต็มดวงพึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าขณะที่ยอดเขาไป่เหลายังเงียบสงบ

คนสวมหมอกไม่ไผ่ขนาดใหญ่สองสามคนนอนอยู่ในพุ่มไม้ที่หนาทึบ พวกเขากำลังเพ่งมองไปยังหน้าผาบนยอดเขาราวกับกำลังรอบางอย่าง

“เราทุ่มเททุกสิ่งและสูญเสียกำลังคนไปมากเพื่อเอาชนะหมู่บ้านบังเหียนม้า แต่เรายังไม่เห็นแม้แต่เงาของโสมจิตวิญญาณ ตอนนี้แม้แต่คนของหมู่บ้านบังเหียนม้าก็ถอยกลับไปแล้ว แต่เรายังอยู่ที่นี่ ท่านหัวหน้าคิดสิ่งใดอยู่!?”

“เจ้าจะไปรู้สิ่งใด? โสมจิตวิญญาณเป็นสมบัติที่มีสติปัญญา เมื่อผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ มันจะซ่อนตัว อย่างไรก็ตามคืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวง โสมจิตวิญญาณจะออกมาดูดซับพลังงานจากดวงจันทร์อย่างแน่นอน ท่านหัวหน้าคาดหวังสิ่งนี้ เขาวางแผนไว้แล้ว ตราบเท่าที่เราได้รับโสมจิตวิญญาณ ความแข็งแกร่งของท่านหัวหน้าจะเพิ่มขึ้นอีกมาก เมื่อเวลานั้นมาถึง เรายังต้องกลัวหมู่บ้านบังเหียนม้าอีกงั้นหรือ? ในเวลานั้นเราจะเหยียบย่ำหมู่บ้านบังเหียนม้า ปล้นสะดม และดูดซับความมั่งคั่งทั้งหมดของพวกเขา เราจะเล่นกับผู้หญิงของหมู่บ้านบังเหียนม้าเพื่อเป็นการแก้แค้น!”

“เงียบ! อย่าทำให้แผนของท่านหัวหน้าล้มเหลว!”

บทสนทนาหยุดลงทันที

บรรยากาศกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงเสียงร้องเบาๆของจั๊กจั่นในฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นที่ดังอยู่ท่ามกลางดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า

ทันใดนั้นร่างเล็กๆที่สูงเพียงหนึ่งฟุตก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน มันลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มันจะเดินไปยังหน้าผาซึ่งเป็นจุดที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากที่สุด เมื่อมองมันอย่างระมัดระวัง คนผู้หนึ่งสามารถบอกได้ว่ามันไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นโสม! ร่างกายของมันดูคล้ายมนุษย์ มันเหมือนคนตัวเล็กที่อยู่ในความมืด มันดูเบาราวกับขนนก ขณะที่มันเคลื่อนไหว มันเหมือนกำลังลอยอยู่ในอากาศ

กลุ่มคนเก็บโสมที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้กลั้นหายใจทันที พวกเขาไม่กล้าส่งเสียงใดๆแม้แต่เสียงหายใจ ท้ายที่สุดมันก็เป็นโสมจิตวิญญาณในตำนาน พวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งใดเหมือนสิ่งนี้มาก่อนแม้พวกเขาจะเก็บโสมมาทั้งชีวิต

โสมจิตวิญญาณมองไปรอบๆราวกับมันกำลังยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่ มันลอยไปที่หน้าผาตรงจุดที่สูงที่สุดและหยั่งรากลงที่นั่นเพื่อรับพลังงานจากดวงจันทร์

“ไป!” เมื่อคำสั่งดังขึ้น กลุ่มคนเก็บโสมก็พุ่งตัวออกไปพร้อมกับตาข่ายที่ถูกสะบัดไปทางโสมจิตวิญญาณ

โสมจิตวิญญาณกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการดูดซับพลังงานจากดวงจันทร์ ก่อนที่มันจะสามารถตอบสนอง มันก็ติดอยู่ในตาข่ายและถูกยกขึ้นจากพื้นเรียบร้อยแล้ว ตาข่ายของคนเก็บโสมทอจากเส้นเอ็นของวัวกระทิง ดังนั้นมันจึงเหนียวและแข็งแรงมาก

คนเก็บโสมทั้งสี่มีความสุขมาก พวกเขาเข้าไปใกล้และพยายามตรวจสอบมัน

“มีหน้าผามากมายอยู่บนยอดเขาไป่เหลา แต่ละแห่งมีคนของเราเฝ้ารออยู่ แต่โสมจิตวิญญาณกลับเดินเข้ามาหาพวกเราที่นี่ นี่คือพรจากสวรรค์ เมื่อกลับไป เราจะได้ดื่มน้ำแกงโสมเป็นอย่างน้อย บางทีมันอาจทำให้เรากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ”

“บางทีเจ้าอาจกลายเป็นผู้อมตะหากได้กินมันทั้งตัว!”

คนทั้งสี่หัวเราะอย่างมีความสุข แต่ในจังหวะนี้ใบหน้าของหนึ่งในพวกเขากลับกลายเป็นแข็งค้างขณะที่ปลายดาบสีขาวราวหิมะพาดอยู่ที่ลำคอของอีกคน

เมื่อดาบถูกดึงออก คนผู้นั้นก็ทรุดตัวลงกับพื้นทันที สิ่งที่เขามองเห็นมีเพียงเงาดำที่เลือนรางเท่านั้น

คนเก็บโสมคนอื่นๆตอบสนองได้ในที่สุด พวกเขาชักดาบออกมาและฟาดมันไปยังเงาสีดำพร้อมกับเสียงคำรามแห่งความโกรธเกรี้ยว ดาบกวาดผ่านลำคอของคนเก็บโสมทีละคนราวกับอสรพิษขณะที่เลือดพุ่งขึ้นสู่อากาศราวกับน้ำพุธรรมชาติ

ในชั่วพริบตา คนเก็บโสมทั้งสี่ก็ถูกสังหารทั้งหมด แต่พวกเขาไม่สามารถโต้กลับได้แม้แต่ครั้งเดียว ชัดเจนว่าทักษะการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก

“ข้าไม่เคยคิดว่าข่าวลือจะเป็นจริง ฮืม ชาวบ้านต่ำต้อยบนภูเขาที่ห่างไกลเช่นพวกเจ้ากลับกล้าคิดที่จะใช้ของวิเศษเช่นนี้งั้นหรือ?” ชายหนุ่มในชุดคลุมหรูหราเย้ยหยัยขณะเก็บดาบของเขาด้วยท่าทางสง่างาม ในเวลาเดียวกันเขาก็ยื่นมืออกไปหยิบโสมจิตวิญญาณและพยายามระงับความตื่นเต้นเอาไว้อย่างเต็มที่ หลังจากทั้งหมดตราบเท่าที่เขาได้รับมัน ทักษะยุทธ์ของเขาจะก้าวหน้าขึ้นมาก

อย่างไรก็ตามในจังหวะนี้มีบางสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น โสมจิตวิญญาณที่หล่นอยู่บนพื้นกลับเคลื่อนตัวออกไปในแนวนอนและทำให้ชายหนุ่มผู้สง่างามคว้าได้เพียงอากาศธาตุที่ว่างเปล่า