ตอนที่ 16 คลื่นและสิ่งที่อยู่ใต้นั้น
คลื่นถาโถมคือปริศนาชิ้นใหญ่สำหรับพวกเรา
ตั้งแต่มหาภัยพิบัติครั้งแรกที่รู้จักกันในชื่อ ‘ยุคแตกดับ’... เมื่อฝูงมอนสเตอร์จำนวนมหาศาลถือกำเนิดขึ้นในดันเจี้ยนและบุกขึ้นมาที่พื้นผิว
เราล้มเหลวในการหาสาเหตุว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้เกิด ‘คลื่นถาโถม’ ของมอนสเตอร์ขึ้น
ลอร์มาสเตอร์คนก่อนๆ ได้ตั้งสมมุติฐานว่าดันเจี้ยนใช้คลื่นถาโถมเป็นเครื่องมือในการรักษาระดับประชากรมอนสเตอร์หลังจากที่พวกมันถูกล่าจนเหลือน้อยเกินไปสมมุติฐานอันนี้พยายามบ่งชี้ว่าจำนวนของมอนสเตอร์นั้นมีความสัมพันธ์กับความน่าจะเป็นในการเกิดคลื่น
แต่บันทึกบางส่วนยังได้กล่าวไว้ว่าคลื่นถาโถมนั้นยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี แม้จำนวนของมอนสเตอร์จะมีมากจนแทบล้นออกมาจากดันเจี้ยนก็ตาม... แต่นี่เป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง
จากโน้ตส่วนตัวของอัลเบอร์ตั้น ลอร์มาสเตอร์แห่งกองพันอบิสซี่ ลีเรีย
-----------------------------------------------------------------------------------------------
“เจ้าดูปกติดีนี่”
“ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย”
“นี่เจ้าเคยรู้สึกปกติตอนไหนบ้าง ฮึ?”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“เราก็แค่มาเข้าเฝ้าเฉยๆ เอง”
“เจ้าอย่ามาทำตลกนะไททัส
การร้องขอกำลังพลต่อหน้าข้าราชสำนักทุกหมู่เหล่ามันใช่ ‘เข้าเฝ้าเฉยๆ’ ตรงไหน?”
ไททัสแค่ยักไหล่หน่อยๆ
“ก็เสด็จอาที่รักของเจ้าชอบอะไรแบบนี้นี่นา”
อัลเบอร์ตั้นทำหน้านิ่วและเริ่มจัดคอเสื้ออีกครั้ง
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบมาเข้าเฝ้านาง”
“ดูเหมือนการเข้ามาอยู่กับกองพันลีเจี้ยนจะทำให้เจ้ากล้าแกร่งขึ้นนี่ อัลเบอร์ตั้น?”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“ต้องพูดว่า ‘ยุ่งไม่เข้าเรื่องนะครับ ท่านผู้การ’ ต่างหาก”
ทั้งสองจ้องหน้ากันไปมาก่อนจะระเบิดหัวเราะขำขัน
ทั้งไททัสและอัลเบอร์ตั้นต่างก็ไม่ชอบพิธีรีตองอะไรแบบนี้เหมือนๆ กัน
ไททัสต้องเปลี่ยนมาใส่ชุดเข้าวัง เสื้อผ้าประดับลายลูกไม้ กระดุมเยอะแยะ ทุกอย่างล้วนบาดเข้าไปตรงหัวไหล่มหึมาของเขา
ตราสัญลักษณ์ลีเจี้ยนอันใหญ่ถูกปักไว้ที่หลังเสื้อคลุมและแผงอกด้านซ้าย มันเป็นตราสีน้ำเงินและมีพื้นหลังสีดำที่ดูน่าเกรงขาม
เขายังหนีบหมวกเหล็กประดับไว้ที่แขนข้างหนึ่ง
มันถูกขัดจนส่วนที่เป็นโลหะนั้นแทบจะใช้แทนกระจกได้เลย
หันมาดูที่อีกคนกันบ้าง
อัลเบอร์ตั้นสวมเสื้อคลุมที่ดูหรูหราสมกับฐานะเชื้อพระวงศ์
เคราของเขาโดนสระแล้วสระอีกก่อนจะถูกหวีตกแต่งและชโลมด้วยน้ำมัน
เหล่าทหารรับใช้ที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องชนชั้นสูงแทบจะต้องมัดเขาติดกับเก้าอี้เพื่อทำทุกอย่างนี่ แน่นอนว่าอัลเบอร์ตั้นนั้นร้องโหยหวนและดิ้นไปมาตลอดงาน
หากไททัสต้องมาทนกับเรื่องพวกนี้ อย่างน้อยๆ การเฝ้ามองความทรมานของสหายก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง
ตอนนี้ทั้งสองอยู่ที่วังหลวงและกำลังต่อแถวเพื่อรอเข้าเฝ้า
ผ่านไปอีกพักนึง ข้าหลวงที่แต่งตัวเต็มยศก็เข้ามารับพวกเขา
ทั้งสองถูกพามาที่หน้าประตูหรูหรา ไม่นานเสียงประกาศนามก็ดังขึ้น
“ผู้บัญชาการไททัสแห่งกองพันลีเจี้ยน และลอร์มาสเตอร์อัลเบอร์ตั้นแห่งกองพันลีเจี้ยนมาขอเข้าเฝ้า!”
หลังจากประกาศนามเสร็จแล้ว มหาดเล็กก็ทุบไม้เท้าของตัวเองลงพื้น 3 ครั้ง
มันคือไม้เท้าหินขนาดใหญ่ที่มีหัวสิงโตสลักอยู่ตรงหัว
ทั้งสองก้าวเข้ามาในห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีเพดานสูงและดูโอ่อ่า
ที่ด้านซ้ายและขวาของห้องนั้นเต็มไปด้วยข้าราชบริพาร ขุนนาง และเหล่าผู้มีอำนาจที่คอยจ้องมองอยู่ทุกฝีก้าว
แม้แต้ไททัสเองก็ยังต้องยอมรับว่าโครงสร้างและการตกแต่งภายในของที่นี่นั้นดูน่าประทับใจทุกครั้งที่เห็น
ลีเรียเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมานานแล้ว และวังหลวงแห่งนี้ก็สะท้อนถึงความมั่งคั่งและอำนาจได้เป็นอย่างดี
และบนบัลลังก์หรูหรานั่น... มีหญิงสาววัยกลางคนนั่งประทับอยู่
แม้จะดูผ่านอะไรมามาก แต่แววตาของนางก็ยังแฝงไปด้วยความปราดเปรื่อง
ราชินีเวอริต้าปกครองด้วยความเมตตาและปัญญามานานกว่า 30 ปีแล้ว
ประชาชนพลเมืองต่างก็เลื่อมใสและรักนางมาก
กองพันลีเจี้ยนเองก็ได้รับประโยชน์มหาศาลจากความไว้วางใจของนาง
ขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ ไททัสก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดทันทีที่เห็นใบหน้าของคนๆ นึงเข้า
ราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ คอร์ริน ประธานสมาคมทหารรับจ้างแห่งลีเรียเริ่มขยิบตาให้กับไททัสทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้าใกล้
ไททัสได้แต่ถอนหายใจและหันไปมองอัลเบอร์ตั้นที่ตัวแข็งเป็นรูปปั้นไปแล้ว
ตอนนี้ลอร์มาสเตอร์ของเขาคงช่วยอะไรใครไม่ได้แม้แต่ตัวเอง
เมื่อเดินมาถึงตำแหน่งเข้าเฝ้า ทั้งสองก็ทำความเคารพทันที
“พวกเจ้าทั้งสองตามสบายเถิด” เวอริต้าทักทายอย่างอบอุ่น
“ขอบพระทัยองค์ราชินี” ไททัสพูดจานอบน้อม
องค์ราชินีหันไปหาอัลเบอร์ตั้นที่กำลังทำท่าตื่นตูมเมื่อเห็นว่าสายตาทุกคู่กำลังหันมาทางนี้
“หลานอา ดีใจจริงๆ ที่ได้เห็นเจ้าอีกครั้ง
นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เจ้าเอาแต่หลบหน้าและหมกมุ่นอยู่กับงานวิจัย?
เราดีใจจริงๆ ที่เห็นเจ้ามาเข้าเฝ้าในครั้งนี้ด้วย”
ไททัสถอนหายใจข้างใน
อย่างคิดเขาคิดไว้เลย องค์ราชินีมักใช้ข้ออ้างในการเข้าเฝ้าเพื่อดึงให้อัลเบอร์ตั้นออกมาเยี่ยม
ไอ้ลอร์มาสเตอร์งี่เง่านี่ควรจะขัดสีฉวีวรรณตัวเองและหันมาเข้าเฝ้าให้บ่อยกว่านี้ เสด็จอาของมันจะได้อารมณ์ดีตลอด
เพราะช่วงนี้ไม่ยอมออกมาหา พวกเขาก็เลยต้องมาเข้าเฝ้าจริงจังแทนการนัดคุยส่วนตัว
นี่แหละคือบทลงโทษเบาๆ ตามแบบฉบับของนาง
“อ่ะ-เอ่อ เสด็จอา...” อัลเบอร์ตั้นพึมพำ
พอเห็นหลานทำตัวลำบาก เวอริต้าเลยรู้สึกดีขึ้นและเรียกให้ผู้เกี่ยวข้องออกมายืนอยู่ตรงกลางเช่นกัน
“...เราได้เรียกเหล่าผู้แทนกลุ่มและบุคคลสำคัญมาในวันนี้เพื่อพูดคุยเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกับดันเจี้ยนและหาวิธีรับมือ...” เวอริต้าหยุดไป 2-3 วินาทีก่อนจะใช้เสียงที่ดังขึ้น
“ผู้บัญชาการไททัสแห่งกองพันลีเจี้ยน จงก้าวออกมาข้างหน้า”
เสียงของราชีนีเรียกให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบขณะที่ไททัสก้าวออกมาและกระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเริ่ม
“ทูลองค์ราชินี ระดับมานาภายในดันเจี้ยนกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากการคาดการณ์ของเรา คลื่นถาโถมจะมาถึงช่วงชั้นที่หนึ่งภายใน 3 หรือ 4 วัน
นอกจากนี้ ทหารลีเจี้ยนที่ประจำอยู่หน้าด่านยังค้นพบมอนสเตอร์มดใกล้กับพื้นผิวด้วย
ด้วยลักษณะพิเศษของมอนสเตอร์ชนิดนี้ ทางลีเจี้ยนจึงจำเป็นต้องเคลื่อนพลเข้าไปในดันเจี้ยนเพื่อกำจัดโคโลนี่โดยด่วน
เพราะไม่สามารถจัดการกับเหตุระดับนี้ได้ด้วยกำลังคนที่มีอยู่ ทางลีเจี้ยนจึงอยากจะทูลขอกำลังพลจากทางราชสำนักเพื่อช่วยในการปกป้องเมืองจากคลื่นถาโถม ในขณะที่ทางเราจะระดมกำลังทั้งหมดเพื่อออกเดินทางเข้าไปในดันเจี้ยนพะยะค่ะ” ไททัสร่ายยาวแบบไม่มีสะดุด
หลังจากที่เขาพูดจบ ทั้งห้องก็เงียบไปชั่วครู่ก่อนที่หลายคนจะเริ่มหันหน้าปรึกษากัน
บ้างก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
---------------
สนับสนุนผลงานอย่างถูกต้องได้ที่ MyNovel และ Thai-Novel
---------------
คอร์รินที่อยู่ในชุดเกราะหนังและเป็นตัวแทนของสมาคมจู่ๆ ก็ก้าวออกมาข้างหน้า
ผ้าคลุมสีน้ำเงินแสนแพงของนางพริ้วไหวไปตามการเดิน
“องค์ราชินี...” นางโค้งคำนับไปที่บัลลังก์
“ว่ามาเถิด คอร์ริน” เวอริต้าพยักหน้า
หัวหน้าทหารรับจ้างกลับมายืนหลังตรงก่อนจะหันไปหาคนอื่นๆ
“เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้วที่ลีเรียเจริญรุ่งเรืองภายใต้การปกครองขององค์ราชินีเวอริต้าและบรรพบุรุษของพระนาง
เหล่าพลเมืองได้สัมผัสกับความสงบและความมั่งคั่งที่ยากจะได้เห็นจากในอดีต โดยเฉพาะหลังจากช่วงยุดแตกดับเป็นต้นมา”
ไททัสหรี่ตาลงขณะที่คอร์รินยังพูดต่อ
เขาพอรู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร
“ตลอดมานี้ หน้าที่ในการจัดการและดูแลกิจกรรมภายในดันเจี้ยนนั้นตกอยู่ในมือของกองพันลีเจี้ยน
แต่ด้วยความกล้าหาญของสมาชิกสมาคมทหารรับจ้าง พวกเราจึงสามารถนำทรัพยากรในนั้นออกมาใช้ได้
แม้ทางเราจะถูกเข้าแทรกแซงและก่อกวนอย่างต่อเนื่อง แต่การเข้าดันเจี้ยนก็ยังคงเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของลีเรีย”
คอร์รินเผยมือไปทางไททัส
“แต่ตอนนี้ทางลีเจี้ยนกลับบากหน้ามาขอความช่วยเลือกจากองค์ราชินี ทั้งๆ ที่มันคือหน้าที่โดยตรงของตัวเอง แค่มดตัวเดียวก็ทำให้พวกเขาตื่นตูมได้ขนาดนี้ แบบนี้มันใช้ได้แล้วเหรอ?”
เวอริต้าเลิกคิ้ว “คอร์ริน เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
ประธานสมาคมหันมาโค้งคำนับให้กับองค์ราชินีอีกครั้ง
“เป็นอีกครั้งที่ทางสมาคมจำเป็นต้องถวายฎีกาเพื่อเปลี่ยนให้สมาคมทหารรับจ้างมาเป็นผู้ดูแลดันเจี้ยนโดยตรงแทน
ขอให้ทางเราได้เป็นคนดูแลสมาชิกของตัวเองที่เข้าไปในนั้นเถิดเพคะ
นอกจากนี้เรายังได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากสมาคมพ่อค้าเช่นกัน” คอร์รินผายมือไปอีกทาง
นั่นคือสัญญาณให้เผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์บางคนก้าวออกมาข้างหน้า
หัวหน้าตัวแทนจากสมาคมพ่อค้านั้นมีชื่อว่าบราเธี่ยน ผิวของเขามีสีเงินคล้ายกับสัตว์ทะเล
“จากที่เราคำนวณไว้ การผ่อนปรนโยบายเกี่ยวกับดันเจี้ยนลงบ้างจะทำให้ผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายใน 2 ปีพะยะค่ะ” บราเธี่ยนกล่าวเสริม
เสียงของบราเธี่ยนนั้นคล้ายกับคล้ายขับกล่อมไม่มีผิด นี่คือลักษณะพิเศษของเผ่าพันธุ์นี้
องค์ราชินีพยักหน้าอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น
“และเป็นอีกครั้งที่เราต้องปฏิเสธฎีกาของเจ้านะ คอร์ริน
หากเจ้าเห็นว่าเรื่องมอนสเตอร์มดเป็นเรื่องเล็กๆ งั้นเราขอให้เจ้าใช้เวลาว่างเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์อีกครั้ง
ดินแดนอันเป็นที่รักของเรานั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นของอาณาจักรอื่น...
เราผู้นี้จะไม่มีวันเจริญรอยตามนักปกครองในอดีตและดูถูกดันเจี้ยนโดยเด็ดขาด
ดันเจี้ยนอาจนำพาความมั่งคั่งมาสู่เรา ทว่าท้ายสุดมันก็ไม่ใช่แหล่งทรัพยากร หรือเหมืองแร่ทั่วไป
มันคือภัยคุกคาม... และทุกคนต้องเขาใจตามนั้น”
จากนั้นองค์ราชินีก็หันไปหาไททัส
“หากกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ดู เจ้าก็จะได้รู้ว่าผู้ที่ปลดปล่อยดินแดนนี้ในอดีตก็คือกองพันลีเจี้ยนนั่นเอง
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมราชวงศ์แห่งลีเรียถึงได้เชื่อใจพวกเขานัก”
คอร์รินโค้งคำนับเป็นครั้งที่สาม
“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์คนนี้เพียงแค่เป็นห่วงเรื่องประโยชน์สุขของประชาชนมากกว่าเรื่องในอดีตเท่านั้นเอง
แน่นอนว่าเราควรยำเกรงดันเจี้ยน แต่ก็ไม่ควรเกรงกลัวมันนะเพคะ”
องค์ราชินีโบกมือเป็นเชิงว่า ‘เข้าใจแล้ว’ จากนั้นนางก็ยืนขึ้นเพื่อเรียกให้ทั้งห้องกลับมาสนใจ
“เราจะส่งกององครักษ์ไปช่วยกองพันลีเจี้ยนดูแลเมืองในระหว่างนี้
จงทราบให้ทั่วกันว่าลีเรียยังคงเชื่อมันให้กองพันลีเจี้ยนดูแลเรื่องดันเจี้ยนต่อไป
ผู้บัญชาการ เจ้ามั่นใจเรื่องการกำจัดรังของมอนสเตอร์ชนิดนี้มากแค่ไหน?”
ไททัสทำความเคารพแบบลีเจี้ยน
“พวกเราคือกองพันอบิสซี่ ทหารหาญลีเจี้ยนพะยะค่ะ องค์ราชินี”
จากนั้นเขาก็หันไปทางคอร์ริน
“ตลอดช่วง 3,000 ปีที่ผ่านมา ในโลกแห่งแพนเจร่านั้นมีข้อเท็จจริงอยู่ข้อนึง...
และนั่นก็คือ ถ้าเป็นข้างล่างนั่นล่ะก็... ไม่มีใครทัดเทียมพวกเราได้เลยพะยะค่ะ”
---------------
ติดตามแฟนเพจและอ่านตอนล่าสุดได้ที่: EP:IC Translation