822 - วิญญาณเทพ
822 - วิญญาณเทพ
หญิงสาวทิ้งฐานดอกบัวและก้าวเข้าสู่ใจกลางหนองน้ำ ผ้าคลุมสีขาวแผ่ออก ร่างกายของนางเปล่งแสงสว่างไสวและบริสุทธิ์ดุจแก้วเจ็ดสี เหมือนภาพความฝันหรือมายา
นางไม่มีกล่าวสิ่งใดแต่มีกิริยาเรียบร้อยตามธรรมชาติ นางสงบเงียบพยักหน้าและยิ้ม
“อา...”
มีเสียงกรีดร้องอยู่ไกลๆ จระเข้ยาวสองร้อยจั้ง ในหนองน้ำที่เคยปรากฏตัวออกมาฆ่ายอดฝีมือหลายสิบคนติดต่อกัน ตอนนี้มันถูกรุมโจมตีด้วยผู้ยิ่งใหญ่หลายคน
ห่างออกไปกว่าสิบลี้คางคกสูงร้อยจั้งเปล่งเสียงคำรามไปทั่วภูเขาและแม่น้ำ กลืนกินผู้แข็งแกร่งหลายร้อยคนและหนองน้ำทั้งหมดก็สั่นสะเทือนมันก็กำลังถูกโจมตีเช่นกัน
“สัตว์อสูรที่ดุร้ายสองตัวกำลังปกป้องสถานที่แห่งนี้ เพราะข้าไม่เห็นพวกมันออกไปนอกเขตบริเวณนี้เลย” เย่ฟ่านขมวดคิ้ว
“ไม่เป็นไรเรารอที่นี่ได้ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็มีปรมาจารย์ครึ่งเซียนคอยดูแลอยู่แล้ว”
ชายชราตาบอดบอกว่าที่แห่งนี้สามารถหลบการรับรู้ของสัตว์อสูรดุร้ายทั้งสองได้
“บูม”
โคลนกระเด็นและพุ่งขึ้นไปบนฟ้า พลังปราณที่น่ากลัวโจมตีใส่จระเข้มังกรและหม้อขนาดใหญ่ตกลงมาจากท้องฟ้าพยายามจะผนึกมัน
“โฮก...”
จระเข้มังกรคำราม เมฆบนท้องฟ้าก็สั่นสะเทือน ร่างของจระเข้ยาวสองร้อยจั้งถูกกระแทกอย่างรุนแรง หม้อขนาดใหญ่ถูกโยนขึ้นไปในอากาศและกระแทกเข้ากับภูเขาที่อยู่ไกลออกไป
“บูม”
ควันและฝุ่นละอองลอยขึ้นไปบนฟ้า ทิวเขาเจ็ดหรือแปดยอดถล่ม หม้อก็ตกลงสู่พื้น
“บูม”
“ปัง”
จระเข้มังกรต่อต้านการโจมตีของผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าอีกครั้ง ร่างกายของมันถูกกระแทกจนปลิวกระเด็นออกไปหลายลี้ แต่ก็ยังลุกขึ้นยืนและส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว
“จระเข้บรรพกาลนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว”
เย่ฟ่านและคนอื่นๆ ประหลาดใจ แม้แต่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถกำจัดมันได้ และในไม่ช้าปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์อีกคนหนึ่งก็บินเข้ามาเพื่อที่จะผนึกมัน
“ชิ้ง”
เปลวเพลิงสีแดงแผ่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ตัวตนที่โดดเด่นทั้งสามกำลังต่อสู้กับจระเข้มังกรอย่างดุเดือด
อีกด้านหนึ่ง บุคคลระดับผู้นำสูงสุดสามคนกำลังโจมตีพร้อมกันเพื่อผนึกคางคกซึ่งมีความแข็งแกร่งที่น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
ที่ด้านหลังของมันมีด้ายสีทองเก้าเส้นซึ่งสามารถยิงเกาทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์เก้าลูกออกมาและเกือบจะสังหารหนึ่งในปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ
“สุสานเซียนแห่งนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ มีราชาสัตว์อสูรระดับปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มกันทุกด้าน บึงนี้มีสัตว์ประหลาดถึงสองสายพันธุ์ เราจะได้เจออะไรอีกหลังจากเข้าไปข้างใน”
“ตอนนี้มีโอกาสแล้ว ไปกันเถอะ!” ชายชรากล่าว
ที่นี่ยกเว้นผู้สูงสุดไม่มีใครสามารถใช้วิชาตัวเบาได้ คราวนี้พวกเขาทั้งสี่ไม่พบสัตว์ประหลาดใดๆ และมาถึงดินแดนแห่งสวรรค์โดยตรงซึ่งเป็นหน้าผาเซียนที่ไร้ขอบเขตและมีหมอกสีม่วงกระจายอยู่รอบ
ที่นี่มีต้นไม้ไม่มากนัก แต่ก็ไม่ขาดความมีชีวิตชีวา หญ้ามังกรหรือต้นไม้แปลกๆ กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ที่นี่ พวกมันล้วนเป็นยาเซียนที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้
บนกำแพงหน้าผา มีแก่นยาวิญญาณที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งออกมา หน้าถ้ำโบราณมีเถาวัลย์ซ้อนกัน เหล่าดอกไม้ทั้งสีขาวและสีสันสดใสเติบโตทอดยาวออกไปราวกับทุ่งสวรรค์
ผู้ฝึกตนหลายคนรีบเข้ามาค้นหาคัมภีร์โบราณของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แต่เนื่องจากการปรากฏตัวของผู้คนมากมายจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กันได้
“อา...”
มีการต่อสู้กันในหมู่ผู้ฝึกตน มีคนพบถ้ำแต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งรุมล้อมและต่อสู้อย่างดุเดือด ในพริบตามีคนตายไปมากกว่าสิบคน
“วันนี้จะมีคนตายไปสักกี่คน ในเป็นเพียงค่ายกลลวงตา หากคัมภีร์โบราณของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ถือกำเนิดขึ้นจริงๆ ปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นคงลงมือตั้งแต่แรก” ชายชราตาบอดกล่าว
“เจ้าเห็นอะไรไหม?”
เย่ฟ่านแหย่ต้วนเต๋อ ชายคนนี้ได้ขโมยสมบัติในสุสานมาตลอดทั้งชีวิต เขาต้องมีความเห็นที่ต่างออกไปแน่นอน
เจ้าอ้วนต้วนสงบมาก เขายกมือขึ้นไพล่หลังและเดินไปเดินมาระหว่างหน้าผาเซียนเพื่อคำนวณอย่างรอบคอบ ผ่านไปนานเขาก็ถอนหายใจและกล่าวว่า
“ที่นี่ใหญ่เกินไป หน้าผาไม่มีที่สิ้นสุด และพลังจิตวิญญาณก็สูงเกินไป ถ้าให้ข้าคาดเดาคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีกว่าพวกเราจะค้นที่นี่จนถ้วนทั่ว”
“ข้าจะดูสถานการณ์ทั่วไปก่อน” เย่ฟ่านกล่าว จากนั้นก็ใช้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์กวาดไปทั่วสุสาน
ผ่านไปครู่หนึ่ง หัวใจของเขาก็สั่นสะท้าน สถานที่นี้ลึกลับราวกับว่ามีผู้อมตะหลับไหลอยู่ที่นั่น
เย่ฟ่านวางมือไว้บนพื้น ค้นหาสถานที่ทางพลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นที่สุด และในขณะเดียวกันก็ได้เห็นเห็นถ้ำมังกรมรรตัยสองสามแห่ง
“เอาล่ะ ถ้าเราร่วมมือกันก็ไม่มีสุสานโบราณใดในโลกที่เข้าไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ เราก็จะสามารถฝ่าฟันไปได้อย่างแน่นอน” ดวงตาของต้วนเต๋อเป็นประกาย
แต่ทว่าที่นี่ มีถ้ำมากมายและเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะตัดสินใจเลือกหนึ่งในนั้น
“ให้ข้าทำนายลองดู” ชายชราตาบอดหยิบกระดองเต่าโบราณหลายสิบชิ้นพึมพำอะไรบางอย่างแล้วโยนลงบนพื้น
“ดินแดนเก้าความตาย!” ชายชราตาบอดตัวสั่นหลังจากอ่านเนื้อหาบนกระดองเต่า
“หมายความว่าอย่างไร” ตงฟางเย่ถาม
“รูปหกเหลี่ยมแสดงให้เห็นว่าที่นี่คือสวรรค์บริบูรณ์ โลกสัมบูรณ์ มนุษย์สัมบูรณ์ ภูติผีและเซียนสัมบูรณ์... ด้วยวิธีนี้ ทุกสิ่งที่เข้ามาข้างในจะต้องถูกทำลาย” คำกล่าวของชายชราตาบอดนั้นผิดธรรมชาติมาก
“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จักรพรรดิโบราณประทับอยู่หรือ มันจะกลายเป็นดินแดนเก้าความตายได้อย่างไร?” ต้วนเต๋อสงสัยและงงงวย
เย่ฟ่านยืนขึ้นและมองดูมันอีกครั้งด้วยดวงตาศักดิ์สิทธิ์ แต่ยิ่งเขามองดูก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น หน้าผาเซียนนี้ดูเหมือนรูปร่างคนนอนตะแคงข้างจริงๆ
แต่หลังจากที่จ้องมองอย่างระมัดระวัง เขาก็ต้องตกใจ เซียนคนนี้ไม่ได้กำลังหลับไหล แต่ดูเหมือนจะถูกผนึกและฝังอยู่ที่นี่
“ที่นี่เป็นสุสานเซียนอย่างแท้จริง...”
เขากล่าวกับตัวเอง จากนั้นก็วาดภาพที่เขาเห็นลงบนพื้น และคนอื่นๆ ก็ประหลาดใจเช่นกัน
ชายชราตาบอดเก็บกระดองเต่าหลายสิบอันกลับมาอีกครั้งก่อนจะทำการเขย่าอย่างต่อเนื่องเพื่อทำนายครั้งที่สอง มันกระจายไปทั่วพื้นด้วยเสียงกระทบกัน คราวนี้มันกดทับสุสานของเซียนที่เย่ฟ่านวาดไว้ที่พื้น
“มีสมบัติเซียนอยู่ที่นี่ และมีแนวโน้มว่าจะมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดิโบราณและแม้แต่ซากศพของเขา แต่มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความตายอย่างแน่นอน” ชายชราตาบอดได้อนุมานรูปหกเหลี่ยมอีกครั้ง
“ท่านแน่ใจหรือไม่?” ตงฟางเย่สงสัยในตัวปีศาจเฒ่าคนนี้ โดยคิดว่าไม่มีทางที่ชนะคนนี้จะเป็นคนดีได้
ชายชราตาบอดกล่าวว่า “ไม่ผิดแน่มันเป็นสุสานเซียน แต่ก็เป็นดินแดนแห่งความตายยากที่พวกเราจะเอาตัวรอด”
“อา...” มีเสียงกรีดร้องเป็นระยะๆ
นี่เพิ่งเริ่มต้น แต่มีผู้ฝึกฝึกตนตายไปแล้วหกสิบหรือเจ็ดสิบคน มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วระหว่างหน้าผา
“ไปเถอะ รูปหกแฉกแสดงให้เห็นว่าแม้ที่นี่จะเป็นสุสานแต่ก็มีทางรอดอยู่เล็กน้อย พวกเราเดินไปตามเส้นทางนี้กันเถอะ” ชายตาบอดชรากล่าว
แม้จะรู้สึกประหม่าในใจ แต่พวกเขาก็ไม่ถอยโดยเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้า ทันทีที่พวกเขาผ่านผาหินสองสามแห่ง พวกเขาเห็นเลือดและซากศพมากมาย
ซ่า!
ในขณะนี้ต้วนเต๋อที่ยืนอยู่ที่หลังสุดดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจ้องมองที่มุมหน้าผาข้างหน้าแล้วกล่าวด้วยใบหน้าซีดขาวว่า
“เมื่อกี้พวกเจ้าเห็นอะไรไหม?”
“ดูเหมือนว่ามีคนเดินผ่านหน้าผาเข้าไปข้างในโดยตรง” ตงฟางเย่ก็จ้องมองที่นั่นเช่นกัน
“นั่นไม่ใช่คนแต่ข้าไม่เคยคิดว่าสิ่งดังกล่าวมีอยู่จริงในโลก ข้าเข้าออกสุสานโบราณใต้ดินมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ข้าไม่เคยพบเจอมันมาก่อนเลย”
“แล้วมันคืออะไร?” เย่ฟ่านไม่ได้มองไปทางนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าอ้วนจิตใจของเขาก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที
“ข้าวนเวียนอยู่ในสุสานโบราณมากว่ายี่สิบปีแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอะไรแบบนี้…”
ริมฝีปากของต้วนเต๋อซีดขาว อะไรที่ทำให้คนอย่างเขาหวาดกลัว ทุกคนจึงเริ่มจินตนาการถึงความร้ายแรงของปัญหา
“มันเป็น 'วิญญาณแห่งเทพ' ที่คนโบราณพูดหรือเปล่า?” ชายชราตาบอดแสดงท่าทีเคร่งขรึม
“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น” ต้วนเต๋อจ้องมองที่มุมหน้าผา ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ