วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0067
บทที่ 24 นักบุญหญิง (2)
* * *
สตรีผู้คาบมีดในปาก
มีดสีดำล้วน เมื่อโดนแสงจะสะท้อนเงาสีแดง ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา โครงสร้างมีดดูแล้วไม่น่าจะมีไว้ใช้งาน
คล้ายกับถูกสร้างเพื่อเป็นเครื่องประดับหรือสัญลักษณ์มากกว่าอาวุธ
รูปทรงของมันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฉันไม่น้อย
สร้างจากอารยธรรมใด?
ทำไมเธอถึงต้องคาบ?
แล้วฉันควรทำตัวอย่างไร ให้ยอมรับว่ามันคือวัฒนธรรมของต่างโลก?
ฉันชำเลืองไปทางลิลี่ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะประหลาดใจยิ่งกว่า
คล้ายกับได้เห็นสิ่งที่อยู่ในตำนานภูตผี นั่นทำให้ฉันยิ่งอยากรู้อยากเห็น
เหมือนกับแมวดำ มันจะน่ารักก็ต่อเมื่อนอนอยู่ที่บ้านเพื่อน แต่คงจะหลอนน่าดูถ้าโดนตัดหน้าตอนกลางดึก
สตรีผู้นี้ก็เช่นกัน ฉากและบรรยากาศอาจทำให้ดูสยองขวัญ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกอะไร เพราะสีหน้า เครื่องแต่งกาย และท่าทีของอีกฝ่ายไม่ได้สื่อไปในทิศทางดังกล่าว
ยังไม่เข้าใจว่าทำไมลิลี่ถึงเล่นใหญ่นัก
ทันทีที่เห็นนักบวชหญิง ลิลี่รีบถอยหลังพร้อมกับชักมีดล่าสัตว์ แม้จะไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าวอย่างเปิดเผย แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังกลัวบางสิ่ง
“มีดเล่มนั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…”
สิ่งที่ลิลี่หวาดกลัวคือมีด
“…”
นักบวชมิได้กล่าวคำใด เพียงจ้องเราด้วยดวงตากลมโต
ท่าทีประหนึ่งไม่คิดจะนำมีดออกจากปากเพื่อสนทนา
กึก—!
เสียงรองเท้าบูตเหยียบทรายดังขึ้น
นักบวชเดินเข้าหาลิลี่พร้อมกับยื่นแขนอย่างอ่อนโยน
ลิลี่ผงะถอยหลังหนึ่งก้าว
เธอมองเห็นโฉมวิญญาณ จึงพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีหรือร้าย
เจตนาดีของนักบวชทำเอาลิลี่สับสน จึงไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย ไม่วิ่งหนี ไม่โจมตีเข้าไปก่อน แต่ก็ยังไม่วางใจ
ในเวลาเดียวกัน นักบวชวางนิ้วโป้งลงบนหน้าผากลิลี่ เป็นจุดที่เกิดรอยไหม้ขณะสำรวจหอคอย
บาดแผลในจุดที่นักบวชสัมผัส เลือนหายไปราวกับถูกยางลบลบ
“…”
ลิลี่คลายมือจากมีดล่าสัตว์
แม้ท่าทีที่เป็นมิตรของอีกฝ่ายจะทำให้เธอเลิกกังวล แต่ลิลี่ยังคงไม่ละสายตาจากมีดสั้นในปาก
“…เอ่อ?”
นักบวชไม่ตอบ เพียงจ้องมาทางฉัน
เป็นคนพูดไม่เก่ง? ดวงตาของเธอทำเอาฉันอึดอัดเล็กน้อย
นักบวชจ้องฉันสักพัก ก่อนจะกลับไปยังตำแหน่งเดิมและแหงนมองฟ้าอีกครั้ง
คล้ายกับพวกเราเข้ามาขัดจังหวะมื้ออาหาร
ฉันก้มหน้ากระซิบข้างหูลิลี่
“เธอเป็นใบ้?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ธรรมดาเลย… ไม่ใช่นักบวชทั่วไปแน่นอน”
ลิลี่กล่าวพลางลูบหน้าผาก
“นี่เป็นพลังระดับปาฏิหาริย์ หากนักบวชคนใดสามารถแสดงปาฏิหาริย์ แปลว่าได้รับความคุ้มครองจากเทวราชาโดยตรง”
“แล้วทำไมคนแบบนั้นถึงอยู่ที่นี่ตามลำพัง”
มีคำถามคาใจมากมาย แต่เนื่องจากสนทนากันไม่ได้ สถานการณ์จึงยังคงคลุมเครือ
หรือว่าควรตั้งแคมป์ใกล้ๆ และรอให้กลางคืนผ่านไปก่อน? ขณะฉันคิดแบบนั้น
“…ท่านนักบุญหญิง!”
เสียงดังมาจากที่ใดสักแห่ง เมื่อหันหน้าไปมอง ฉันเห็นใครบางคนบนหลังม้ากำลังตรงมาที่นี่
สวมเกราะหนัง มือข้างหนึ่งถือดาบ เป็นธรรมดาที่เราสองคนจะระแวง ฉันโน้มตัวลงเล็กน้อยพลางถือโคลด์ฟอเรสต์ มืออีกข้างสวมแหวน ในแหวนบรรจุรูนวัคค์ vakk ที่สามารถบังคับขยับตำแหน่งวัตถุ
หลังจากระแวงกันอยู่สักพัก อัศวินที่จ้องไปทางนักบุญหญิงตัดสินใจเก็บดาบ ราวกับประเมินแล้วว่าพวกเราไม่มีภัย
ฉันก็เหมือนกัน รีบเก็บมีดและยกเลิกท่าเตรียมสู้
อัศวินขี่ม้าเข้ามาใกล้พลางก้มมองพวกเรา ไม่ว่าจะชุดเกราะหนังหรือดาบคุณภาพสูง ดูยังไงก็เป็นบอดี้การ์ดของนักบุญหญิง
ลิลี่ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับก้มศีรษะ
“ขอให้เทวราชาทั้งเก้าคุ้มครองพวกท่าน”
“ขอให้เทวราชาทั้งเก้าคุ้มครองการเดินทางของพวกท่านเช่นกัน เป็นนักผจญภัยใช่ไหม… นะ…นั่น!”
อัศวินชะงักคำพูดหลังจากเห็นเรลิกซิน่า
…เห็นทีคงต้องหาวิธีซ่อนไฟนั่น ไม่อย่างนั้นทุกคนที่เห็นคงมีอาการแบบนี้เสมอ
“มันถูกปรับแต่งด้วยเทคนิคการแปรธาตุ กำลังได้รับความนิยมในหมู่บ้านของพวกเรา”
ฉันโกหกส่งๆ ไปพอประมาณ ไม่รู้ว่าอัศวินคิดอย่างไร แต่ก็ไม่ได้ถามซักไซ้ต่อ และไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น
ลิลี่พิจารณาบรรยากาศ ก่อนจะกล้าพูดมากขึ้น
“เนื่องจากเห็นแสงสว่าง พวกเราจึงมาที่นี่เพื่อหวังถามทาง คงทำให้ท่านนักบุญหญิงตกใจสินะ”
“ไม่เลย พวกเรารู้อยู่แล้วว่าจะได้พบนักผจญภัยในลักษณะนี้ เป็นเรื่องปรกติของการเดินทาง ข้าแค่ตกใจม้านิดหน่อย… มันสุดยอดมาก”
เธอมองมาทางเรลิกซิน่าด้วยสายตาอิจฉา
อัศวินมีผมสั้นสีดำ ผิวขาว ตาสีแดง ผมของเธอตรงยาวราวกับใช้เครื่องหนีบ แต่ต่างจากนักบุญหญิงที่ผมค่อนข้างหยาบ
คล้ายกับใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากเป็นเวลานาน
อัศวินจ้องเราสักพักก่อนจะลงจากม้า ตามด้วยพูดกับนักบุญหญิง
“ท่านนักบุญหญิง ดูเหมือนว่าการขึ้นสวรรค์ของดารากรจะเกิดขึ้นทางทิศใต้ โดยระหว่างนั้น ดารากรได้เปิดเผยตำแหน่งของเกาะลอยฟ้า”
นักบุญหญิงก้มหน้ามองอัศวิน
อ้อ… เธอไม่ได้กำลังดื่มด่ำมื้ออาหาร แต่มองไปทางดารากรที่เพิ่งขึ้นสวรรค์?
“ข้าลองตรวจสอบพิกัดอย่างคร่าวดูแล้ว การขึ้นสวรรค์น่าจะเกิดขึ้นใจกลางเขตความร้อนทางทิศใต้… น่าแปลกมาก แถวนั้นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่สักหน่อย”
จากนั้น เธอมองมาทางเรา
“นักผจญภัยอย่างพวกเจ้า ก็มาดูดารากรขึ้นสวรรค์เหมือนกันสินะ”
ลิลี่ประสานสายตากับฉันสักพัก
พวกเรานี่แหละที่ทำให้ดารากรขึ้นสวรรค์
‘เจ้าจะพูดออกไปไหม’
ลิลี่ขยับปากถามไร้เสียง
‘ขี้เกียจ’
นั่นคือคำตอบของฉัน
หลังจากแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พวกเราตัดสินใจตั้งแคมป์ด้วยกันในคืนนี้ จุดตั้งแคมป์คือกลางดงก้อนหินใหญ่
ฉันได้แต่นึกสงสัยว่า ทำไมพวกเขาถึงเชื่อใจเรานัก ถ้าเกิดเป็นโจรป่าปลอมตัวมาจะทำยังไง?
อัศวินก่อกองไฟด้วยลูกไฟเล็กๆ ของเธอ มันคงจะง่ายกว่าถ้าฉันใช้โมห์สmohs ช่วย
แต่นั่นก็คง…
มนุษย์ใช้ภาษารูนได้ยังไง! เจ๋งเป้ง! คงวุ่นวายกันสักพัก และฉันเริ่มเบื่อกับเรื่องแบบนั้น
ในเวลาเดียวกัน ฉันเริ่มสำรวจรอบๆ เพื่อวางกับดัก
ผ่านไปไม่นาน ฉันกลับมานั่งประจำที่ นักบุญหญิงยังคงแหงนหน้ามองท้องฟ้าในจุดห่างไกล ส่วนอัศวินนั่งรอบกองไฟฝั่งตรงข้ามเรา
“เจ้าดูมีความสุขนะ”
อัศวินหมายถึงฉัน
แน่นอนอยู่แล้ว นี่คือบรรยากาศที่ฉันปรารถนา เป็นธรรมดาที่จะมีความสุข
ลิลี่สัมผัสถึงความรู้สึกจากก้นบึ้งในใจฉัน จึงทำเพียงส่ายหน้า
อัศวินยังคงจ้องพวกเรา แต่คราวนี้ถามกับลิลี่
“เจ้าเป็นพวกเดียวกับข้าสินะ”
ฉันก็คิดมาสักพักแล้ว ถ้ามีผมสีดำ ผิวขาว และตาแดง ก็คงมองเป็นอย่างอื่นนอกจากแวมไพร์ไม่ได้
ลิลี่จ้องอัศวินและพูด
“…เจ้าเป็นขุนนางทางภาคเหนือหรือ”
อัศวินโบกมืออย่างเคอะเขิน
“ข้าไม่ใช่เผ่าพันธุ์ชั้นสูงเหมือนกับพวกรอยัลบลัดหรอก… เป็นแค่เด็กกำพร้าที่นักบุญหญิงเอ็นดูและรับมาเลี้ยง ปัจจุบันเป็นอัศวินรับใช้ศาสนจักรเทวราชา”
ลิลี่จ้องอัศวินสลับกับนักบุญหญิง ตามด้วยกล่าว
“…ข้าอยากทราบว่า เหตุใดนักพยากรณ์และอัศวินผู้พิทักษ์ถึงออกจากศาสนจักรมาเตร็ดเตร่เช่นนี้”
ฉันที่จ้องกองไฟรีบหันไปทางลิลี่ อัศวินก็เช่นกัน
“เจ้ารู้ได้ยังไง… หรือว่าเป็นรอยัลบลัด?”
“ข้าไม่ได้รู้เพราะมองเห็นวิญญาณ”
“แล้วทำไมถึง…”
“มีดที่นักพยากรณ์คาบอยู่… โคล์บ’ รานเดอจู” (Colb’ Randerju)
อัศวินพยักหน้าเศร้าสร้อยหลังจากได้ยิน
ฉันที่นั่งฟังมาสักพัก ตัดสินใจถาม
“โคล์บอะไรนั่น… คืออะไร?”
“ตำนานที่หนึ่งในเก้าเทพร่วงหล่นเพราะเหยี่ยว จนพระศพพระองค์กลายเป็นโลก… เจ้าเคยฟังแล้วใช่ไหม”
หงึก
ตำนานที่โลกเกินจากศพพระเจ้า สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในโลกมนุษย์
“ปีศาจที่ถือกำเนิดจากเสียงร้องอันทุกข์ทรมานของเทพที่ร่วงหล่น มีนามว่าโคล์บ’ รานเดอจู”
“…มันถูกผนึกอยู่ในมีดเล่มนี้?”
ลิลี่ส่ายหน้า
“มีดทั้งเล่มคือปีศาจ”
ฉันเปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อย
“เล่าต่อสิ”
“หากผู้ถือครองอ้าปากแม้แต่ครั้งเดียว ปีศาจจะส่งเสียงร้องอันทุกข์ทรมานขณะเทพร่วงหล่น ผ่านออกจากปากผู้ถือครอง”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้น”
“…ไม่มีใครทราบแน่ชัด”
เธอก็ไม่รู้?
ลิลี่เงยหน้ามองฉัน
“…ทุกคนที่ได้ยินไม่มีใครรอดชีวิต เจ้าสงสัยไหมว่าทำไมภูเขาหิมะถึงมีลักษณะแบบนั้น”
ภูเขาหิมะใต้เกาะท้องฟ้า ส่วนยอดเขาแหว่งเป็นรูปทรงจันทร์เสี้ยว
หากเป็นภูเขาไฟระเบิด ยอดเขาจะต้องมีลักษณะเป็นแอ่งเหมือนภูเขาแพ็กดู
แต่ยอดเขาหิมะแห่งนี้แหว่งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ไม่ว่าดูยังไงก็เหมือนถูกใครบางคนกัดหายไปหนึ่งคำ
ฉันเคยสงสัย แต่ที่นี่คือต่างโลก อะไรก็เกิดขึ้นได้ จึงไม่ได้ใส่ใจจะหาคำตอบ
ทว่า ถ้าเกริ่นมาขนาดนี้ ความอยากรู้อยากเห็นใจในฉันย่อมต้องก่อตัว
“เมื่อราวหนึ่งร้อยปีก่อน มหาจักรพรรดิถูกลอบสังหาร ยอดเขาหิมะคือสถานที่สิ้นพระชนม์”
“ความตายของมหาจักรพรรดิทำให้ภูเขาแหว่ง?”
“ในตอนนั้น มหาจักรพรรดิคือผู้ถือครองโคล์บ’ รานเดอจู”
“…”
บ้าบอสิ้นดี
ฉันหันไปมองนักบุญหญิงที่กำลังนั่งคาบมีดในปาก
อัศวินพยายามพูดปลอบประโลมพวกเรา
“ท่านนักบุญหญิงคาบมีดมานานหลายปีแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป ท่านมีเจตจำนงที่แรงกล้า… แต่ถ้าไม่สบายใจจริงๆ พวกเรายินดีที่จะเป็นฝ่ายไปเอง”
“บ้าไปแล้ว… ทำไมเธอถึงตัดสินใจแบบนี้?”
อัศวินจ้องฉันด้วยสีหน้างุนงง ลิลี่ก็เช่นกัน
ทันใดนั้น
นักบุญหญิงเงยหน้าขึ้น อัศวินผู้พิทักษ์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับชักดาบ
ลิลี่เองก็ชักมีดล่าสัตว์
ส่วนฉันยังคงนั่งนิ่งหน้ากองไฟ แต่ก็เข้าใจได้ว่าทำไมทุกคนถึงตอบสนองแบบนี้
มีบางสิ่งกำลังเข้ามาใกล้เพื่อโจมตีพวกเรา
“บางสิ่ง… กำลังตรงมา… ต้องเตรียมตัวรับมือ…”
“เพราะเป็นนักบุญหญิง เธอก็เลยอาสาคาบมีดไว้เองเพื่อผนึกปีศาจ? เจ๋งชะมัด!”
อัศวินและลิลี่ต่างก้มมองฉันด้วยใบหน้าฉงน
“ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง แต่ตอนนี้ต้องจัดการกับปัญหาก่อน”
“ในช่วงเวลาแบบนี้ สิ่งที่มักโจมตีนักผจญภัยที่ตั้งแคมป์บนที่ราบคือหมาป่าสคาเวน… ฟังจากเสียงสะท้อน พวกมันเป็นแค่ลิ่วล้อที่ไม่มีจ่าฝูง”
“รู้ตัวเหมือนกันหรือ… แบบนั้นก็เยี่ยมเลย พวกเราต้องออกไป…”
ฉันดึงสายเบ็ดใต้ฝ่าเท้า
ปึด!
บึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!
อักษรรูนโมห์สmohs ที่เขียนไว้ใต้ขวดสารประกอบทางเคมีถูกกระตุ้น เกิดระเบิดห้าจุดในเวลาเดียวกัน
“โฮกกก! เอ๋ง! เอ๋ง!”
ขอแค่ทำให้ตกใจ การปะทะก็จะไม่เกิดขึ้น
ฟังจากเสียงร้อง ดูเหมือนฉันจะกะจังหวะได้แม่นยำ
ฉันถามอีกครั้ง
“ว่าแต่ ทำไมถึงออกจากศาสนจักรแล้วมาเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้? ถูกขับไล่ออกมาหรือ”
“…เฮ้อ”
ลิลี่นั่งลงประหนึ่งว่าชินชาแล้ว
อัศวินมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าสับสน
นักบุญหญิงลุกขึ้นจ้องฉันด้วยดวงตาเบิกกว้าง มือข้างหนึ่งจับมีดที่คาบอยู่
“คุ่ก! คุ่ก!”
ได้เห็นเธอไม่ยอมเปิดปากขณะไอ ฉันเชื่อแล้วว่ามีจิตใจที่แน่วแน่จริงๆ
ลิ่วล้อหมาป่าสคาเวนต่างเผ่นหนีหางจุกก้นหลังจากบางส่วนถูกระเบิดเล่นงาน
จะจัดการกับพวกมันต้องใช้ความกลัว ไม่ใช่พละกำลัง ฉันเคยสู้กับหมาป่าสคาเวนมามาก และรู้ดีว่าพวกมันขี้กลัวขนาดไหน
หลังจากกลอกตาไปมาสักพัก อัศวินยืนยันว่าปลอดภัย จึงนั่งลงเงียบๆ ประจำตำแหน่ง
“…พวกเรากำลังตามหาผู้ที่สั่นระฆังเอล โรคร่า เบลล่า”
“ตามหาไปทำไม”
“เพราะคำทำนายระบุว่า พวกเขาจะได้พบกับดาวดำระหว่างทางและเผชิญเคราะห์กรรม”
ลิลี่กับฉันประสานสายตากัน
“นับตั้งแต่ยุคทองจนถึงปัจจุบัน คำทำนายของนักพยากรณ์ไม่เคยผิดพลาด… ก่อนที่พวกเขาจะถูกดาวดำเล่นงาน นักบุญหญิงต้องการแจ้งเตือนให้รับรู้ถึงอันตราย”
“…ทำไมถึงเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเขา”
“เพราะหนึ่งในเอกสารของปฐมนักบันทึกที่เพิ่งถูกค้นพบระบุไว้ว่า เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่ล่วงรู้ความลับของทองคำ”
อัศวินกล่าวพลางหันหน้าไปทางทิศใต้
“…แต่น่าแปลก ในตำแหน่งนั้นเพิ่งมีการขึ้นสวรรค์ของดารากร นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ?”
ต้องไม่บังเอิญอยู่แล้ว
ที่ผิดคือคำทำนายของพวกเธอต่างหาก
เป็นนักพยากรณ์ได้ยังไง?
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel