บทที่ 30: กฎเต๋าสิบข้อ
การขอเรียนรู้ด้วยตนเองของเย่เซิงทำให้ทุก ๆ คนหัวเราะเยาะออกมา
นักเรียนหลายร้อยคนจ้องมองเย่เซิงด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์อย่างเห็นได้ชัด มีหนึ่งในนั้นถึงขั้นตะโกนมาว่า “ถ้าเจ้าสามารถเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองได้แล้วจะมาสถาบันจี้เซวี่ยทำซากอะไร? ทำไมไม่เรียนอยู่บ้านไปเล่าฮะ?”
หลังที่ได้ยินไอ้นั่นมันมันว่าไอ้พวกที่เหลือก็แหกปากหัวเราะลั่นกันสนั่น เห็นได้ชัดว่าพวกมันเห็นเขาเป็นตัวตลก
ผู้อาวุโสหานซานถามเขาอีกครั้งว่า “แบบนี้แล้วเจ้ายังยืนยันที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองอีกหรือ?”
เย่เซิงเพิกเฉยการเยาะเย้ยทั้งหมดและยืนยันการตัดสินใจเดิม “ข้าอยากเรียนรู้จากทุก ๆ สาขาไม่ใช่เพียงแค่สาขาเดียวขอรับ”
ผู้อาวุโสหานซานเลยได้แต่ถอนหายใจ “สถาบันจี้เซวี่ยให้ความสำคัญกับการเลือกของนักเรียนมาก่อนเสมอ เนื่องจากเจ้าได้เลือกเช่นนี้ไปแล้วเจ้าจะไม่สามารถเลือกครูได้ด้วย สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครที่ไหนอยากสอนศิษย์ร่วมกับผู้อื่น”
เย่เซิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ตราบใดที่ข้าได้รับอนุญาตให้นั่งในชั้นเรียนได้ทุก ๆ ชั้นเรียนแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
ผู้อาวุโสหานซานพยักหน้าและพูดว่า “เจ้าไปได้แล้ว นักเรียนคนอื่นต้องเลือกครูของตัวเอง ในเขตนักเรียนมีบ้านพักนักเรียนอยู่ไปเลือกอยู่ซักหลัง หลังจากนี้เจ้าต้องพึ่งพาตนเองแล้ว”
“ขอบคุณท่านรองหาน ข้าขอตัวก่อนขอรับ” เย่เซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี เขาเพิกเฉยต่อสายตาของนักเรียนคนอื่น ๆ แล้วเดินออกจากลานกว้างทันที
ผู้อาวุโสหานซานหันมาพูดกับพวกที่เหลือว่า “เอาล่ะพวกเจ้าทุกคนมากับข้า ไปเลือกครูกัน”
...
สถาบันจี้เซวี่ยแบ่งออกเป็นหลายพื้นที่ พื้นที่หนึ่งมีไว้สำหรับครูอาจารย์ อีกพื้นที่หนึ่งสำหรับนักเรียนใหม่ และอีกพื้นที่หนึ่งสำหรับนักเรียนรุ่นพี่ การแบ่งเขตชัดเจนเป็นอย่างมาก
ในไม่ช้าเย่เซิงก็พบพื้นที่ของนักเรียนใหม่ หลังจากมองไปรอบ ๆ ดี ๆ แล้วเขาก็พบบ้านที่มีกุญแจที่ห้อยอยู่ที่ประตูหลังหนึ่งเลยเดินเข้าไป
บ้านหลังนี้อยู่ภายใต้ต้นหม่อนขนาดใหญ่รอบ ๆ บ้านหลังนี้ไม่มีบ้านหลังอื่นเลยและมันก็เงียบสงบอย่างมาก ด้านหลังบ้านมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลลงมาตามขอบเขาผ่านตรงนี้แล้วไปที่ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่อยู่หน้าสถาบันจี้เซวี่ย
เย่เซิงเดินเข้าไปในบ้านและพบว่ามีเครื่องเรือนครบครันโดยทุกอย่างใหม่หมดเนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่สำหรับนักเรียนใหม่ เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจและรีบถอดรองเท้าอย่างเร็วแล้วลงไปนอนหลับตาอยู่บนเตียง
เย่เซิงไม่ได้ตั้งใจจะนอนหลับแต่เขากำลังจะตรวจสอบตันเถียนดาวโลก เขาอยากเห็นความเป็นไปของชาวโลกราวกับตัวเองเป็นพระเจ้า
“ก่อนหน้านี่ที่เราข้ามทะเลสาบก็ได้ยินเสียงของปราชญ์ด้วย ตอนนั้นเราได้ส่งต่อมันสู่ดาวโลกแถมดูเหมือนตอนนี้จะมีคนแปลออกแถมได้อะไรบางอย่างมาแล้ว” เย่เซิงมองด้วยความคาดหวังอย่างสุด ๆ
ในทะเลสาบมีค่ายกลอยู่ โดยผู้อาวุโสของสถาบันจี้เซี่ยหลายชั่วอายุคนได้ทำความเข้าใจปรัชญาของตนแล้วใส่ทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในค่ายกลนั้น โดยเมื่อได้ยินเสียงของปราชญ์แล้วสามารถถอดรหัสมันได้ก็จะได้รับอะไรบางอย่างกลับมา
เสียงที่เย่เซิงได้ยินนั้นอ่อนมากและยากที่จะจับ แต่อัจฉริยะบนโลกสามารถเข้าใจได้
บางคนสามารถเข้าใจได้ทันที และบางคนก็ฉลาดทำการบันทึกสิ่งที่ได้ยินแล้วค่อยนำมาคลำทางทำความเข้าใจอย่างช้า ๆ
เย่เซิงรีบตรวจสอบอย่างรวดเร็วและค้นพบทันทีว่าสิ่งที่คนเหล่านี้ได้ยินคือวิชาโบราณโดยเป็นกฎเต๋าสิบข้อ
‘กฎเต๋าสิบข้อ!’
อู้เจี้ยน (ควบคุมกระบี่)! ฮูเฟิง (เรียกลม)! เต๋าไห่ (ทะเลคลั่ง)! ฮ่วนหยู่ (เรียกฝน)! ปานซาน (ย้ายภูเขา)! เช่อหลิง (อภัยให้ไว)! เฉิงหยุน (ขี่เมฆ)! จินกัง (เหล็กทอง)! เซว่เจี่ย (ปลดอาวุธ)! โหยวหุน (วิญญาณพเนจร)!
กฎเต๋าสิบข้อนี้มีเพียงนักพรตเต๋าอัจฉริยะเท่านั้นที่จะเชี่ยวชาญได้ อย่างเช่นอู้เจี้ยนเมื่อถึงขั้นหรูเหมินแล้วจะสามารถใช้กระบี่หนึ่งเล่มฟาดฟันศัตรูที่อยู่ไกลนับร้อยลี้ได้ปานเทพยดาลงมือ
ฮูเฟิง! สามารถควบคุมสายลมอันยิ่งใหญ่ให้เป็นอาวุธจู่โจมโหมกระหน่ำใส่ศัตรูเป็นวงกว้าง
เย่เซิงได้เห็นกฎเต๋าทั้งสิบจนครบแล้วเขาก็ตกใจอย่างยิ่ง เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะมีวิชาเต๋ามากมายถึงขนาดนี้ปะปนอยู่ในเสียงของปราชญ์
แม้ว่าชื่อของวิชาพวกนี้จะบ้าน ๆ ไม่เจ๋งแต่พลังความแรงกลับไม่ธรรมดา
และหลังจากที่เขาได้รวบควมทั้งสิบมาเรียบเรียงเสร็จแล้วเย่เซิงก็ได้ส่งต่อให้กับทั้งโลกไปอีกรอบ
ตู้ม!
หินก้อนใหญ่สองสามพันก้อนตกลงมาจากฟ้าสู่ส่วนต่าง ๆ ของโลก แต่ละก้อนสลักเอาไว้ด้วยกฎเต๋าสิบข้อให้ชาวโลกทั้งหลายได้เรียนรู้
เมื่อมีสิบคนไปถึงขั้นเสวฮุ่ยของแต่ละข้อ เย่เซิงก็จะไปถึงขั้นเสวฮุ่ยของแต่ละข้อด้วย หากมีร้อยคนถึงขั้นเสวฮุ่ยของแต่ละข้อจะทำให้เย่เซิงเป็นขั้นหรูเหมินของแต่ละข้อได้โดยอัตโนมัติ
นี่คือเหตุผลหลักว่าทำไมเย่เซิงถึงไม่เต็มใจที่จะเรียนรู้จากสาขาเดียว ก็เพราะว่าตันเถียนของเขาในตอนนี้เป็นสูตรโกงอันไม่น่าเชื่อ เมื่อเขามาถึงสถาบันจี้เซวี่ยซึ่งมีตำรานับไม่ถ้วนแล้วมีหรือที่จะไม่หาประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้มันถึงที่สุด แบบนั้นไม่เท่ากับมาเสียเปล่าหรอกเหรอ?
“ต้องส่งต่อวรยุทธ์ทั้งหมดของสถาบันจี้เซวี่ยให้แก่โลก ในไม่ช้าทุก ๆ คนบนโลกจะเริ่มฝึกฝนและช่วยให้เราเติบโตได้อย่างรวดเร็ว” เย่เซิงได้ตัดสินใจแล้วว่าแผนการต่อไปคืออะไร
กฎเต๋าสิบข้อนั้นยังคงทำให้ทั่วทั้งโลกฮือฮา ทุก ๆ คนต่างปิติยินดีและเริ่มกระบวนการทำความเข้าใจอย่างไม่รอช้า ยิ่งพวกที่เป็นนักพรตเต๋าอยู่แล้วนั้นยิ่งมีแต่จะดีใจ
นักพรตเต๋าทั้งหลายล้วนศึกษากฎเกณฑ์ธรรมชาติภายนอกทุกประเภทตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่อาจพัฒนาต่อด้วยความรู้เดิมได้ ตอนนี้ทุก ๆ อย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เย่เซิงได้มอบเส้นทางที่แน่ชัดให้ทำให้เหล่านักพรตเต๋าทั้งหลายต่างออกมาทำงานกันอย่างหนักโดยการฝึกฝนอย่างไม่ย่อท้อทันที
หลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งวันก็มีบางคนถึงขั้นเสวฮุ่ยแล้วในแต่ละข้อ และมีข้อหนึ่งที่มีคนเข้าถึงขั้นเสวฮุ่ยเกินสิบคน
ข้อนั้นก็คือ ‘ฮูเฟิง!’
เย็นวันนั้นเย่เซิงลืมตาขึ้นและสัมผัสได้ถึงความร้อนภายในวิญญาณ มีคนสิบคนเรียนรู้ฮูเฟิงจนถึงขั้นเสวฮุ่ยแล้วดังนั้นทางด้านเย่เซิงจึงเป็นขั้นเสวฮุ่ยไปด้วยโดยอัตโนมัติ! กฎเต๋านั้นแตกต่างจากวรยุทธ์ทั่ว ๆ ไป พวกมันใช้พลังงานจากวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรเลยทำให้เย่เซิงรู้สึกเหมือนว่าหัวสมองของตัวเองมีอุณภูมิสูงขึ้น
พลังงานในจิตใจเขาก็เริ่มขยายตัว และในไม่ช้ามันเมื่อมาถึงระดับหนึ่งแล้วเย่เซิงก็พูดเบา ๆ ว่า “ฮูเฟิง!”
เกิดสายลมพัดผ่านหน้าผากของเขาทำให้ผมปลิวไสว
“ก็โออยู่ ถึงตอนนี้จะยังกากแต่มันก็พึ่งจะแค่ฮูเฟิงเท่านั้น รอให้พลังวิญญาณเยอะ ๆ ก่อนเดี๋ยวมันก็แรงขึ้นเอง” เย่เซิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
พลังที่ใช้ออกเมื่อกี๊นี้พอ ๆ กันกับโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้า แต่ในสายเต๋าจะเรียกระดับนี้ว่าหย่างหุน (หล่อเลี้ยงวิญญาณ) หนึ่งชั้นฟ้า
ระดับของสายเต๋าจะแบ่งออกเป็นระดับหย่างหุนกับชูเฉี่ยว (ละกาย) ซึ่งจะสอดคล้องกับสายวรยุทธ์คือระดับโฮ่วเทียนกับเซียนเทียน
หย่างหุนหนึ่งชั้นฟ้าสอดคล้องกับโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้า เย่เฟิงในตอนนี้พึ่งจะเริ่มฝึกสายเต๋าจึงได้มีระดับต่ำกว่าระดับวรยุทธ์
แต่นี่ก็สามารถทำให้เขาประหลาดใจได้แล้ว
“เราเลือกถูกแล้วจริง ๆ ด้วย การฝึกเต๋าและวรยุทธ์ควบคู่กันไปจะทำให้เราแข็งแกร่งเพิ่มมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า แถมพลังที่ได้ก็ยังไม่ใช่ธรรมดาอีก” เย่เซิงยิ้มให้กับความฉลาดเลือกของตัวเองอย่างมีความสุข
วรยุทธ์และเต๋าเป็นสองสายที่แตกต่างกัน เต๋านั้นมุ่งเน้นการฝึกจิตใจส่วนวรยุทธ์มุ่งเน้นการฝึกกาย ทั้งคู่ต่างมีข้อดีข้อด้อยกันไปคนละแบบ และตอนนี้เย่เซิงได้รวมเอาข้อดีของทั้งคู่เข้ามาไว้กับตัวเองแล้ว อนาคตของเขาจึงดูแล้วน่าจะสดใสอย่างเหลือจะเชื่อ
“การมาที่สถาบันจี้เซวี่ยนี่เป็นทางเลือกที่ดีจริง ๆ ต่อไปก็ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าและเติบโตขึ้นโดยเร็วที่สุด” เย่เซิงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างมาก
ตอนนี้ก็เย็นย่ำค่ำแล้ว กลุ่มนักเรียนใหม่ได้เข้ามาแถว ๆ บริเวณพื้นที่นี้เพื่อเลือกบ้านอยู่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเสียเวลาไปตลอดบ่ายเพื่อเลือกอาจารย์เพียงหนึ่งเดียวในชีวิต และเมื่อได้แล้วแต่ละคนเลยมาที่นี่เพื่อเลือกบ้านอยู่อย่างมีความสุข
ฟางฉงหลงเองก็กลับมาด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เขารีบเข้ามาบอกข่าวดีของตนเองให้เย่เซิงฟัง “พี่เย่ ๆ บ่ายนี้ข้าได้กลายเป็นนักเรียนของนักพรตเต๋าผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูเขาหลงหู่ (พยัคฆ์มังกร) นามว่านักพรตชิงซูด้วยล่ะ”
“ยินดีด้วย! ได้ยินมาว่าภูเขาหลงหู่เป็นขุมกำลังหลักของสายเต๋าเลยด้วยนี่” เย่เซิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ ถึงเขาจะเป็นเพียงเด็กเก็บตัวที่ไม่ได้รับอนุญาติให้มารับรู้เรื่องโลกบำเพ็ญเพียรมาก่อนก็ตาม แต่ก็ยังเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างเหมือนกัน
ฟางฉงหลงหัวเราะอย่างมีความสุข “นักพรตชิงซูกล่าวว่าข้ามีศักยภาพในการฝึกเต๋าสูงมาก ต่อให้อายุสิบหกแล้วแต่เนื่องจากมีพื้นฐานดีจึงสามารถเรียนรู้เต๋าและเริ่มต้นใหม่ได้เร็ว”
“แล้ววรยุทธ์ของเจ้าล่ะ?” เย่เซิงถามด้วยความสงสัย
“พี่เย่เอ๋ย คนเราถ้าเลือกปลาแล้วก็ต้องตัดใจจากอุ้งตีนหมี ตัวข้าได้เลือกเต๋าแล้วดังนั้นข้าจะต้องทิ้งวรยุทธ์ไปเสีย คนแต่ละคนล้วนมีขีดจำกัดดังนั้นจึงไม่ควรโลภ ข้าเองก็ขอถือวิสาสะแนะนำเจ้าให้เลือกเอาทางเต๋าไม่ก็ทางวรยุทธ์ไม่สายใดก็สายหนึ่งก่อนจะดีกว่า” ฟางฉงหลงกล่าว
เย่เซิงพยักหน้าอย่างสงบและพูดว่า “เข้าใจอยู่”
ฟางฉงหลงรู้จากปฏิกิริยาของเย่เซิงได้เลยว่าเขาโน้มน้าวไม่สำเร็จจึงไม่พูดต่อ
และเมื่อเขากำลังจะจากไปก็มีคนตะโกนมาจากนอกบ้านว่า “ข้าถูกใจบ้านหลังนี้ ยกให้ข้าแล้วออกไปซะ!”