บทที่ 29: เรียนด้วยตัวเอง
“เจ้าผู้นั้นเป็นเพียงโฮ่วเทียนสามชั้นฟ้า แล้วทำไมมันถึงเข้าสถาบันจี้เซวี่ยได้ล่ะเนี่ย?”
“ถามได้ดี สถาบันจี้เซวี่ยยอมรับเฉพาะอัจฉริยะเท่านั้น เจ้าผู้นั้นอายุสิบห้าสิบหกแล้ว อย่างน้อย ๆ ก็ควรเป็นโฮ่วเทียนห้าหกชั้นฟ้าสิถึงจะถูก ใช่ไหม?”
“ไม่แน่อาจเป็นคนรับใช้ที่มากับนายน้อยของมันก็ได้”
“แต่ดูจากเสื้อผ้ามันแล้วไม่น่าใช่คนรับใช้นา”
นักเรียนคนอื่น ๆ ต่างพากันซุบซิบนินทาเย่เซิงกันมันปากทันทีจับระดับการฝึกฝนของเขาได้
แม้ว่าจะมีคนจำนวนมากจ้องมองแต่เย่เซิงกลับไม่แยแส คนที่แยแสและอึดอัดกลับเป็นฟางฉงหลงซะงั้น เขากระซิบเย่เซิงว่า “พี่เย่ ๆ ไอ้คนพวกนั้นมันนิทาเจ้าอยู่นะ”
“ปากก็ปากพวกมัน ข้าจะไปมีสิทธิ์อะไรไปห้ามไม่ให้พวกมันพูดเล่า?” เย่เซิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“แต่ว่านะพี่เย่ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าเป็นเพียงโฮ่วเทียนสามชั้นฟ้าเท่านั้น แต่ได้รับคำสั่งให้เขาเรียนที่นี่ได้อย่างไร? หรือว่าเจ้ามีความสามารถอย่างอื่นด้วย?” ฟางฉงหลงถามด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวสถาบันเปิดเจ้าก็รู้เองแหล่ะหน่า” เย่เซิงไม่ได้อธิบายความสามารถของตัวเอง แน่นอนว่าเขาไม่อาจบอกว่าตนพึ่งพาบารมีของพระมเหสีเย่เข้าประตูหลังเอา
ฟางฉงหลงหยุดถามแล้วเดินไปยืนข้าง ๆ เย่เซิงที่ทางเข้าเพื่อรอสถาบันเปิด
ประตูของสถาบันจี้เซวี่ยเป็นลายมังกรคู่บรรจบกันมีพื้นหลังเป็นหยินหยางแปรผันหนึ่งขาวหนึ่งดำดูสวยงามมาก
ฟางฉงหลงกล่าวเบา ๆ ว่า “ประตูนี้สำเนามาจากประตูมังกรในตำนาน ว่ากันว่าเป็นประตูสู่สวรรค์ เมื่อได้เจอกับประตูมังกรและผ่านเข้าไปจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมือนในโลกโดยสิ้นเชิง”
เย่เซิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับสมบัติดังกล่าวเลย
“มีใครพบประตูมังกรนี้หรือยัง” เย่เซิงถาม
“ไม่ มีแต่ข่าวลือว่าปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์หลงได้พบประตูนั่นแต่ไม่ได้ผ่านเข้าไป พระองค์เพียงทอดพระเนตรมองมันจากนั้นจึงได้กลับมาสร้างประตูสำเนานี้ขึ้น” ฟางฉงหลงมีความทรงจำดีมาก เขาจดจำเรื่องราวในประวัติศาสตร์ได้อย่างชัดเจน
ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง!
ในตอนนี้ได้มีเสียงกลองดังออกมาจากด้านในสถาบันจี้เซวี่ย จากเบาเป็นแรงและสะท้านไปทั่วทั้งบริเวณ
ในขณะที่เสียงกลองดำเนินไปเย่เซิงรู้สึกได้ว่าอัตราการเต้นของหัวใจของตัวเองเพิ่มขึ้น เลือดในร่างกายเริ่มสูบฉีดและเดือดพล่านจนจู่ ๆ ก็อยากจะหาคนมาทุบตีแรง ๆ ให้มันส์มือ
“เสียงกลองพวกนี้มัน!” สายตาของเย่เซิงจริงจังขึ้น เขาตระหนักได้ว่ามันมีอะไรที่ผิดปกติอยู่
ฟางฉงหลงเอามือปิดหูทันทีที่ได้ยินเสียงกลองเพื่อไม่ให้ได้ยินทำให้เขาไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
“พี่เย่นี่เป็นกลองสงครามของสถาบันจี้เซวี่ย มันทำจากหนังสัตว์อสูรในอดีตเสียงของมันปลุกพลังปราณกับเลือดในกายและกระตุ้นจิตต่อสู้ หากฟังมากเกินไปล่ะก็จะควบคุมตัวเองไม่ได้!” ฟางฉงหลงตะโกนใส่เย่เซิง
เย่เซิงที่ได้ยินเรื่องราวก็อยากปิดหูด้วยเหมือนกัน แต่จู่ ๆ เขาก็หรีตาลง เพราะเห็นว่าในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างพากันปิดหู แต่มีนักเรียนบางส่วนที่ยืนฟังจนหน้าแดงไปหมดแต่ก็ยังไม่ยอมปิดหูซักที
“แล้วคนพวกนั้นล่ะ?” เย่เซิงชี้ไปที่พวกที่ไม่ได้ปิดหู
“พวกนั้นกำลังฝึกฝนตัวเองโดยใช้เสียงกลองกระตุ้นเลือดลมแล้วตัวเองก็พยายามระงับมันไว้ แต่การฝึกแบบนั้นถ้าไม่ระวังล่ะก็บาดเจ็บสาหัสได้เลยนะ!” ฟางฉงหลงตะโกนตอบ
ดวงตาของเย่เซิงเป็นประกาย ‘วิธีฝึกแบบนี้ก็ได้เหรอวะเฮ่ย?’
เขาล้มเลิกความคิดที่จะปิดหูทันทีและยืนฟังกลองต่ออย่างระมัดระวัง เขารู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นเร็วขึ้น พลังปราณและเลือดในกายยิ่งมาก็ยิ่งพุ่งพล่าน จากนั้นก็ค่อย ๆ เริ่มสงบลง ๆ
ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง!
เสียงกลองยังคงดังก้องต่อไป แต่ละครั้ง ๆ ดูจะดังกว่าครั้งที่แล้วและเร็วขึ้น ๆ จนรัวไม่ต่างจากเม็ดฝนที่ตกกระหน่ำจนทำให้ร่างกายของเย่เซิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำไปทั้งตัว
“พอ!” เย่เซิงส่งเสียงคำรามต่ำและผนึกสังสารวัฏภายในร่างกายก็เปิดใช้งาน มันบังคับให้ดูดซับพลังเลือดลมที่กำลังพุ่งพล่านทั้งหมดเข้าไปจนเปลี่ยนเป็นสีแดงสด จากนั้นเย่เซิงจึงได้สงบลงอีกครั้ง
อัตราการเต้นของหัวใจเริ่มช้าลงและในที่สุดเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงหันไปมองดูผู้คนรอบ ๆ ตัวและเห็นว่าเกือบทุกคนที่ไม่ปิดหูก่อนหน้านี้ได้ปิดหูไว้หมดแล้วและมองไปยังสถาบันจี้เซวี่ยด้วยใบหน้าที่ออกอาการสยดสยอง
คนที่ไม่ปิดหูเหลือเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น หนึ่งเป็นภิกษุหนุ่มคิ้วเข้ม นัยน์ตาคมกริบ ปากแดงก่ำและฟันขาวจั๊วะยืนนับลูกประคำในมือด้วยสีหน้านิ่งเฉย
คนต่อไปเป็นชายหนุ่มชุดดำที่ดูเยือกเย็นและแผ่บรรยากาศอันดูก็รู้เลยว่ามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อสู้ ไอ้หมอนี่ไม่ได้ต้านทานเสียงกลองแต่ดูดซับเสียงเข้ามาเพื่อฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น
คนต่อไปเหมือนจะเป็นบัณฑิต ไอ้หมอนี่มันยืนหลับตาปลดปล่อยพลังปราณออกมารอบ ๆ ตัวโดยพลังปราณนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเงาลวงของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายท่านเข้าช่วยปิดกันเสียงกลอง
คนต่อไปเป็นชายร่างใหญ่สวมหนังสัตว์ที่มีฝ่ามือหยาบหนา ไอ้หมอนี่มาจากครอบครัวยากไร้เห็น ๆ และมันยืนฟังเสียงกลองแบบสบายบรื๋อเหมือนไม่ต่างจากคนหูหนวกที่ไม่ได้ยินเสียง
ส่วนคนสุดท้ายคือเย่เซิง เขายืนตัวตรงรออยู่เงียบ ๆ ด้วยกิริยามารยาทอันยอดเยี่ยมและมองดูรอบ ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาซักคำเดียว
เสียงกลองยังคงดังต่อไปอีกสิบนาทีจึงได้หยุดลง มันหยุดอย่างกะทันหันจนรู้สึกเหมือนพายุฝนฟ้าคะนองที่กำลังพัดถล่มจู่ ๆ ก็วูบดับหายไปกลายเป็นท้องฟ้าใส่ซะเฉย ๆ เลยจนทำให้ทุก ๆ คนต่างอึ้งเก็มกี่ไปกันหมด
เย่เซิงขมวดคิ้วและพึมพำกับตัวเองว่า “เกือบแล้ว”
ผนึกสังสารวัฏภายในตันเถียนของเขาช่วยดูดซับพลังปราณและเลือดที่พุ่งพล่านในร่างกายจนกลายเป็นสีแดงสด จากเมื่อก่อนมันยังเป็นเพียงแค่เงาเลือนลางที่แทบมองไม่เห็น บัดนี้มันถึงกับเป็นรูปเป็นร่างอันสมบูรณ์แล้ว เหลืออีกแค่นิดเดียวเท่านั้นที่ผนึกสังสารวัฏจะก่อตัวสมบูรณ์และสามารถปลดปล่อยพลังสูงสุดของมันออกมาได้
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่สถาบันจี้เซวี่ย” เสียงกลองหยุด ประตูเปิดออกและชายชราคนหนึ่งได้เดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับทักทายเหล่านักเรียนทั้งหลายด้วยรอยยิ้ม
สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่ชายชรา
“นั่นผู้อาวุโสหานซาน รองอธิการบดีของสถาบันจี้เซวี่ย!” ฟางฉงหลงกล่าวอย่างตื่นเต้น
“เก่งมากเลยเหรอ?” เย่เซิงถามอย่างเงียบๆ
“ท่านเป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่ทรงพลังที่สุดแล้ว เจ้ารู้เรื่องสิบสองเซียนผู้ครองโลกมั้ย? ท่านเป็นลำดับสิบ ตอนที่ท่านยอมมาเป็นรองอธิการที่นี่ข้าล่ะตกใจแทบแย่!” ฟางฉงหลงตื่นเต้นจนหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว
นัยน์ตาของเย่เซิงหดวูบ แค่บอกว่าเป็นหนึ่งในสิบสองเซียนผู้ครองโลกก็ทำเอาอึ้งแล้ว เพราะไม่มีเซียนท่านใดฝีมือกระจอก ดังนั้นสำหรับเย่เซิงในตอนนี้ผู้ใดอยู่ในลำดับเหล่านี้ผู้นั้นล้วนเป็นผู้ที่เย่เซิงมองหา
“เราผู้เฒ่าเรียกว่าหานซาน มาวันนี้เพื่อทักทายเหล่านักเรียนทั้งหลาย เอาล่ะตามข้ามา” หานซานกล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณากับรอยยิ้มน้อย ๆ ดูรู้เลยว่าเป็นชายชราที่อ่อนโยนใจดีและรักสงบมาก ๆ
ทุกคนเดินตามผู้อาวุโสหานซานและก้าวเข้าสู่ประตูสถาบัน
หลังจากที่พวกเขาก้าวเข้ามาก็พบว่าตัวเองเจอกับลานกว้างโดยมีคนสองสามร้อยคนจากหลายสาขาวิชาไม่ว่าจะเป็นพุทธ เต๋า บัณทิต มาร มายืนรออยู่กลางลานกว้างนั้นแล้ว
ผู้อาวุโสหานซานล่าวว่า “นักเรียนใหม่สามารถเลือกสาขาหนึ่งที่ต้องการเรียนรู้ได้ตามใจชอบ ไปยืนยังสาขาที่พวกเจ้าต้องการเถอะ”
พรึบ!
ทันใดนั้นทุกคนที่ตัดสินใจมาก่อนแล้วต่างพุ่งไปยังสาขาที่ตัวเองเลือกไว้แล้วทันที
อีกสี่คนที่ทนต่อเสียงกลองกลองได้นั้น ภิกษุก็ไปสาขาพุทธะ ชายชุดดำเดินไปสายมาร บัณฑิตเลือกสายปราชญ์ เจ้าคนร่างใหญ่ก็ไปเลือกสายมารด้วย
ฟางฉงหลงมองไปที่เย่เซิงและถามอย่างสงสัย “ทำไมพี่เย่ถึงไม่เลือกล่ะ?”
เย่เซิงยังคงอยู่ที่เดิมพลางมองไปยังตัวเลือกต่าง ๆ ตรงหน้าแล้วกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะตอบว่า “พี่ฟางไปเลือกก่อนเลย”
ฟางฉงหลงไม่เข้าใจสิ่งที่เย่เซิงพยายามทำ ดังนั้นเขาจึงเดินไปหาสายเต๋า
จากนั้นลานกว้างก็กลายเป็นว่างเปล่าเหลือแค่เย่เซิงเท่านั้นที่ยังยืนอยู่
สายตาทุกคู่เลยตกลงมาที่ตัวเขาทันที
ผู้อาวุโสหานซานถามด้วยความสงสัย “ทำไมเจ้าไม่เลือกล่ะ?”
“ข้าว่ามันเลือดยากจริง ๆ ขอรับ” เย่เซิงตอบ
ผู้อาวุโสหานซานส่ายหัวและกล่าวว่า “พลังงานของทุกคนมีขีดจำกัด พวกคนหนุ่มสาวต่างก็ต้องการที่จะคว้าอะไรหลาย ๆ มากอดให้สะใจ แต่ยังไงก็ไม่อาจกินเยอะเกินไปได้อยู่ดี เลือกมาสายหนึ่งแล้วฝึกฝนให้หนักและเลื่อนเป็นระดับเซียนเทียนโดยไว จากนั้นค่อยเริ่มเดินในสายอื่น ๆ”
เย่เซิงมองไปมองมาก่อนจะก้มหน้าคิดอย่างรอบคอบ จากนั้นก็เงยหน้าถาม “ข้าอยากเรียนรู้ทุกอย่างไม่ได้เหรอ?”
ผู้อาวุโสหานซานตกตะลึงครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “หึหึ งูโลภที่พยายามกลืนช้าง หากทำเช่นนั้นเจ้าจะไม่อาจบรรลุสิ่งใดได้เลยนะ”
แต่เย่เซิงยังคงดื้อ “สถาบันจี้เซวี่ยไม่ได้มีกฎข้อบังคับที่ระบุว่านักเรียนต้องเลือกสายใดสายหนึ่งไม่ใช่เหรอขอรับ? ข้าสามารถเรียนรู้ทั่งหมดได้ใช่ไหมขอรับ?”
ผู้อาวุโสหานซานตอบว่า “ได้สิได้แน่นอน แต่เจ้าต้องรู้ก่อนว่าถ้าเจ้าต้องการเรียนรู้ทุกอย่างจะถือว่าเจ้าโลภและไม่มีครูที่นี่ชอบคนโลภ ดังนั้นจะไม่มีครูคนไหนจะยอมสอนเจ้าอย่างจริงใจ เจ้ามีเพียงต้องคอยคลำทางเอาเองเท่านั้นซึ่งนั่นไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย แบบนี้แล้วเจ้ายังจะยืนยันที่จะเอาแบบนี้อยู่อีกหรือไม่?”
เย่เซิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าคิดอย่างรอบคอบแล้วขอรับ การเรียนรู้ด้วยตัวเองดูเหมือนจะไม่เลวเลยทีเดียว”