บทที่ 28: ฟางฉงหลง
เย่เซิงเดินออกจากเซียนหยางไปตามถนนที่ทอดยาวไปยังสถาบันจี้เซวี่ย เขาใช้จี้เฟิงปู้ทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วพอ ๆ กับม้าหรือรถม้าวิ่ง
พลังปราณภายในตันเถียนโคจรไม่หยุดหย่อน เมื่อเทียบกับโฮ่วเทียนสามชั้นฟ้าคนอื่น ๆ แล้วถือว่าเย่เซิงมีความได้เปรียบมากกว่าเยอะ
ผนึกสังสารวัฏยังคงควบแน่ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่เสร็จ แต่พลังของมันกลับมีมหาศาลและเป็นไพ่ตายอีกใบหนึ่งของเย่เซิง
ระหว่างทางไปสถาบัน เย่เซิงสังเกตว่ามีคนจำนวนมากที่กำลังเร่งรีบเดินทางราวกับว่ากำลังจะไปสถาบันด้วย
เย่เซิงวิ่งครบหนึ่งร้อยลี้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามและมาถึงทางเข้าสถาบันจี้เซวี่ยได้ในที่สุด
สถานศึกษาขนาดมหึมานี้ตั้งอยู่กลางทิวเขา อาคารนับไม่ถ้วนที่เห็นกินบริเวณกว้างขวางออกไปไกล แต่กลับไม่ได้ทำลายบรรยากาศทิวเขาให้มัวหมองแต่เพิ่มความงดงามราวกับหลุดออกมาจากภาพมายา
ที่หน้าทางเข้าสถาบันเป็นทะเลสาบขนาดมหึมา ชายฝั่งมีเรือประมานสามสิบสี่สิบลำจอดอยู่โดยไม่มีคนเรือ เมื่อเย่เซิงมาถึงเขาก็หยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่
“นี่พี่ชาย เจ้าเองก็เป็นนักเรียนของสถาบันจี้เซวี่ยด้วยหรือ?” คนที่อยู่ข้าง ๆ เย่เซิงเห็นเขาเอาแต่ยืนงงเลยถามขึ้นมา
“อาฮะ แต่เห็นไม่มีคนพายเรือแสดงว่าเราต้องพายไปเองใช่หรือไม่?” เย่เซิงหันไปตอบและถามกลับ
“ใช่แล้ว มันเป็นหนึ่งในประเพณีของสถาบันน่ะ เห็นว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หลงแล้ว ทะเลสาบนี่ก็ไม่ใช่ธรรมดานา~ ภายในมีค่ายกลเพียบเลยชาวบ้านทั่ว ๆ ไปข้ามไม่ได้หรอก นักเรียนต้องเป็นผู้เข้าไปบุกเบิกเองซึ่งระหว่างทางอาจเจอเหตุการณ์พิเศษ ๆ บางอย่างด้วยก็เป็นได้” นักเรียนคนนั้นตอบ
เย่เซิงมองดูนักเรียนคนนี้อย่างละเอียด ใบหน้าดูอ่อนเยาว์รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดสีขาวมีรอยยิ้มอ่อน ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนที่เข้าถึงง่าย
“ไม่ทราบพี่ชายชื่ออะไรเหรอ?” เย่เซิงถาม
“ข้าชื่อฟางฉงหลงจากเซียนหยาง” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเย่เซิงจากเซียนหยางเหมือนกัน” เย่เซิงกล่าวพลางป้องมืออย่างสุภาพ
“พี่เย่ขึ้นเรือด้วยกันเถอะ” ฟางฉงหลงแนะนำ
“อื้ม” เย่เซิงพยักหน้า
พวกเขาไปขึ้นเรือเล็กลำหนึ่งและออกเรือโดยที่ฟางฉงหลงเป็นคนพายอยู่ท้ายเรือ ส่วนเย่เซิงนั่งอยู่ทางหัวเรือ
“พี่เย่เข้าสถาบันจี้เซวี่ยพร้อมกับเหล่าครูเมื่อหลายวันก่อนใช่หรือไม่?” ฟางฉงหลงถามด้วยความสงสัย
เย่เซิงส่ายหัวตอบ “ข้าได้รับการรับรองให้มาเข้าเรียนในสถาบันจี้เซวี่ยน่ะ”
ฟางฉงหลงตกตะลึง “มีการรับรองให้มาเข้าเรียนด้วยเหรอ?”
“ช่าย~ ถ้ามีผลงานดีก็สามารถได้รับการรับรองให้เข้าเรียนน่ะ” เย่เซิงตอบอย่างสบาย ๆ
“โห ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย” ฟางฉงหลงพูดพลางส่ายหัว
“ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วไง” เย่เซิงกล่าวยิ้ม ๆ
“ก็จริงล่ะนะ ว่าแต่พี่เย่อยากไปเรียนรู้เรื่องใดที่สถาบันจี้เซวี่ยรึ?” ฟางฉงหลงถามอีกครั้ง
“แล้วสถาบันจี้เซวี่ยสอนอะไรบ้างล่ะ?” เย่เซิงถามด้วยความสงสัย
“สถาบันจี้เซวี่ยแบ่งออกเป็นหลายสายหลายสาขาวิชา มีทั้งปรมาจารย์จอมยุทธ์ ปรมาจารย์บัณฑิต ผู้อาวุโสเต๋า พระ ปรมาจารย์สายมาร ศิษย์ระดับเริ่มต้นทุก ๆ สามารถเลือกเรียนสาขาได้ตามที่ต้องการ” ฟางฉงหลงกล่าว
“มีการสอนสายมารด้วยเหรอ?” เย่เซิงถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“แล้วทำไมจะไม่มีล่ะ?” ฟางฉงหลงถามกลับ
“ก็ชื่อเสียงของพวกพรรคมารมันไม่ค่อยดีนักไง” เย่เซิงตอบ
“สี่นิกายใหญ่ก็มีบางส่วนที่เป็นสายมารแถมยังทรงพลังสุด ๆ ในต้าฉินด้วย สถาบันจี้เซวี่ยบอกว่าเป็นสถาบันที่ครอบคลุมทุกศาสตร์ทุกสายดังนั้นมีหรือที่จะไม่มีสายมาร” ฟางฉงหลงอธิบายให้ฟัง
“สี่นิกายใหญ่? ไม่ใช่มีนิกายหนึ่งโดนทำลายจนราบคาบไปแล้วเหรอ?” เย่เซิงถามอย่างสงสัย
“เจ้าหมายถึงนิกายสังสารวัฏ? หลังจากพัฒนามาสิบเจ็ดปีศาลาฉางเซิงได้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในสี่นิกายใหญ่แทนที่นิกายสังสารวัฏไปแล้ว” ฟางฉงหลงตอบ
เย่เซิงพยักหน้าก่อนจะทำท่าครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ ก่อนที่จะเงยหน้ามองฟางฉงหลงแล้วถามว่า “แล้วเจ้าล่ะจะเข้าสาขาไหน?”
“สายเต๋า ข้าอยากเรียนเต๋า มันทั้งวิเศษและลึกลับยากจะคาดเดาอย่างน่าที่ยิ่ง” ฟางฉงหลง กล่าวอย่างตื่นเต้น
“ขอให้โชคดี” เย่เซิงอวยพรให้ล่วงหน้า
“ขอบใจมาก ตอนที่สถาบันจี้เซวี่ยกำลังรับสมัครข้าได้กรอกใบสมัครไปแล้วว่าต้องการเรียนเต๋า” ฟางฉงหลงกล่าวอย่างมีความสุข
เย่เซิงพยักหน้าโดยในใจกำลังคิดว่าจะเอายังไงดี
ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่นั้นเรือเล็กก็มาถึงใจกลางทะเลสาบแล้ว ทะเลสาบที่สงบและเป็นประกายระยิบระยับภายใต้แสงแดด ด้วยคลื่นน้ำอ่อน ๆ จากลมและการพายเรือ เย่เซิงมองลงไปดูเงาในน้ำอย่างพิษวงงงงวยเหมือนเห็นภาพลวงตา
เห็นว่าเหมือนมีบัณฑิตกำลังโต้เถียงความรู้ จอมยุทธ์กำลังต่อสู้ นักพรตเต๋ากำลังฝึกปราณ ปรมาจารย์สายมารใช้ออกกระบวนท่า ภาพมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาทีละภาพ ๆ
ฟางฉงหลงพูดอย่างตื่นเต้นว่า “นี่เป็นฉากของสถาบันจี้เซวี่ยในอดีต ดอกไม้แห่งสรรพวิชามากมายเบ่งบานโดยแต่ละดอกล้วนมีจุดเด่นของตน ฝ่าบาททรงรื้อฟื้นสถาบันขึ้นมาโดยหมายที่จะฟื้นฟูภาพความรุ่งโรจน์ของสถาบันแห่งนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
เย่เซิงนั่งเงียบ ๆ ด้านหัวเรือและเฝ้าดูภาพลวงตาตรงหน้า ภาพแต่ละที่กำลังฉายไปเรื่อย ๆ อยู่นั้นเขารู้สึกเหมือนว่ากำลังได้ยินได้ฟังเสียงใครก็ไม่รู้กำลังโต้เถียงกันอยู่ และเมื่อเขาตั้งใจฟังมันดี ๆ ก็พบว่าเหมือนจะเป็นเคล็ดวิชาอะไรซักอย่างซึ่งน่าประหลาดมากจริง ๆ
“ได้ยินเสียงอะไรไหม?” เย่เซิงถามฟางฉงหลง
ฟางฉงหลงส่ายหัว “พี่เย่ได้ยินอะไรเหรอ?”
“ฟังดูเหมือนมีคนกำลังพูดอยู่ แต่เมื่อข้าตั้งใจฟังมันกลับยุ่งเหยิงไปหมดเหมือนมีคนนับพันกำลังโต้เถียงกันไปคนละเรื่องและเสียงก็กลับเบาลง ๆ” เย่เซิงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“นั่นคือเสียงของปราชญ์! พี่เย่ฟังให้ดี ๆ ล่ะหากเจ้ามีโอกาสได้คัมภีร์หรือเคล็ดวิชาจากสมัยโบราณอะไรอยู่ล่ะก็นั่นถือเป็นพรของเจ้าแล้ว” ฟางฉงหลงกล่าวอย่างสนุกสนานและอิจฉา
เย่เซิงหลับตาลงอย่างรวดเร็วและตั้งสมาธิเพื่อฟังอย่างระมัดระวัง
แต่เสียงก็ยังวุ่นวายเกินไปเขาขมวดคิ้วตั้งสมาธิแต่ก็ไม่สามารถแยกเสียงได้
‘ตันเถียนดาวโลก!’ ทันใดนั้นเย่เซิงนึกอะไรบางอย่างออกเขาเลยเปิดใช้งานตันเถียนดาวโลกของตนทำให้ชาวโลกทุกคนได้ยินเสียงทุกอย่างที่เขาได้ยิน
ในชั่วพริบตานั้นเองทุกคนบนโลกต่างตกตะลึงกันอย่างมาก พวกเขาทั้งหมดมองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่รู้ว่าเสียงนี้มาจากไหน
แต่ก็มีบางคนที่มีทักษะการรับรู้ที่ไม่ธรรมดาอยู่ด้วย พวกเขาเริ่มบันทึกทุกสิ่งที่เย่เซิงได้ยินและปล่อยให้ชาวโลกได้ยินด้วยในทันที
หลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วยามฉากที่เปลี่ยนแปลงไปมานี้ก็สิ้นสุดลง
หลังจากที่เสียงหยุดลงเย่เซิงก็ลืมตาขึ้นและมองไปรอบ ๆ เขาจึงได้เห็นว่าตัวเองข้ามฟากมาถึงอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบแล้ว
“พี่เย่ได้อะไรจากเสียงที่ได้ยินนั่นบ้างหรือไม่?” ฟางฉงหลงถาม
“มันยุ่งเหยิงมากเกินไป สมองข้าสับสนไปหมดแล้ว” เย่เซิงส่ายหัวอย่างเสียใจ
“นั่นช่างน่าเสียดายนัก ข้าตั้งใจจะใช้เวลาอยู่ที่ทะเลสาบนานขึ้นเพราะเห็นว่าเจ้าขมวดคิ้วอย่างหนัก แต่ข้าก็รู้นะว่าการที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากมาก” ฟางฉงหลงกล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจไปด้วย เขาเชื่อสิ่งที่เย่เซิงพูดเพราะว่าหลายคนสามารถได้ยินเสียงของปราชญ์ แต่ผู้ที่เข้าใจและได้รับอะไรบางอย่างจากเสียงนี้กลับมีน้อย อาจมีไม่ถึงหนึ่งในร้อยด้วยซ้ำไป
เย่เซิงยืนขึ้นและพูดอย่างแน่วแน่ว่า “เรื่องแบบนี้ข้าไม่สามารถบังคับได้หรอก ยังไงก็ไปสมัครกันก่อนเถอะ”
“อื้ม” ฟางฉงหลงพยักหน้าทันที
ทั้งสองคนลงจากเรือและได้เห็นว่าสถาบันจี้เซวี่ยนั้นถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างสวยสดงดงามมากจริง ๆ ทางเดินหินกรวด บรรยากาศโดยรอบเขียงขจีมีดอกไม้หลากสีสันแซมอยู่ทั่วไปซึ่งส่งกลิ่นหอม ๆ ตลบอบอวลไปตามลม มีทั้งผึ้งและผีเสื้อหลากสีมากมายต่างมาตอมดอกไม้เหล่านั้น
ไม่ได้มีแค่เย่เซิงและฟางฉงหลงเท่านั้นที่รออยู่ที่ทางเข้าของสถาบันจี้เซวี่ย ยังมีคนอีกอย่างน้อย ๆ ก็สามสี่ร้อยคน ซึ่งทั้งหมดต่างก็เป็นผู้ผ่านการทดสอบเข้าเรียนที่นี่ทั้งสิ้น
ในหมู่คนเหล่านี้มีลูกหลานหลายคนจากตระกูลที่ร่ำรวย และยังมีอีกหลายคนมาจากตระกูลที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร จะเหมือนกันก็แต่ทุก ๆ คนล้วนเป็นอัจฉริยะโดยไม่มีข้อยกเว้น
เย่เซิงมองไปรอบ ๆ และพบว่าระดับการฝึกฝนของตัวเองนั้นต่ำสุดเลย กลิ่นอายของตนเรียกได้ว่าอ่อนแอที่สุดแล้ว โฮ่วเทียนสามชั้นฟ้าเป็นที่สะดุดตาจนทุก ๆ คนต้องหันขวับมามอง