บทที่ 27: มุ่งหน้าสู่สถาบันจี้เซวี่ย
พระมเหสีเย่ใช้เวลาหวางฝูตระกูลเย่เพียงแค่สองวัน เมื่อพระนางแน่ใจว่าแล้วว่าเย่เซิงจะเข้าศึกษาในสถาบันจี้เซวี่ย พระนางก็เสด็จกลับวังด้วยกันกับองค์จักรพรรดิในคืนนั้นเลย พระนางยังคงมีลูกสาวตัวน้อย ๆ รอคอยพระนางอยู่
หลังจากที่พระมเหสีเย่จากไปทุก ๆ คนในบ้านต่างก็มองเย่เซิงอย่างแตกต่างกันไป
เย่เซิงไม่สนใจพวกมันเลยแม่แต่น้อย หลังจากที่บอกลาจากเย่หวางเหย่แล้วก็กลับไปที่เรือนเล็ก ๆ ของตนและเก็บเสื้อผ้าที่ก็ไม่ค่อยจะมี เขาเตรียมตัวที่จะออกจากหวางฝูตระกูลเย่และมุ่งหน้าไปยังสถาบันจี้เซวี่ยในวันรุ่งขึ้น
สถาบันจี้เซวี่ยพึ่งจะเสร็จสิ้นการรับนักเรียนใหม่ของปีนี้ได้ไม่นาน ดังนั้นภาคเรียนจึงพึ่งจะเปิดขึ้น และเย่เซิงยังคงสามารถตามทันอยู่
เนื่องจากเรื่องนี้เป็นคำสั่งขององค์จักรพรรดิ เย่เซิงจึงไม่กังวลว่าเย่หวางเหย่จะพยายามหยุดเขา
แต่เย่หวางเหย่กลับมาที่เรือนเล็ก ๆ ของเขาในคืนนี้
“ท่านพ่อ ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่ล่ะขอรับ” เย่เซิงตกตะลึงและวิ่งออกไปรับหน้า
เย่หวางเหย่จ้องมองเย่เซิงด้วยแววตาที่เย็นชาและห่างเหินเหมือนเดิมก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าจะออกจากหวางฝูตระกูลเย่ในวันพรุ่งนี้ดังนั้นข้าจึงมาดูเจ้า ตอนนี้เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนมังกรที่โผขึ้นจากท้องทะเลทะยานออกสู่ฟากฟ้าอันยิ่งใหญ่อยู่ล่ะสิ?”
เย่เซิงตอบอย่างเบา ๆ ว่า “ลูกแค่ต้องการที่จะเติบโตอย่างอิสระเท่านั้น”
“ถ้าพี่หญิงใหญ่ของเจ้าไม่ปกป้องเจ้าในวันนี้ล่ะก็ข้าจะลงมือกับเจ้าโทษฐานเรียนวรยุทธ์ให้สาสม ให้เจ้าได้สำเหนียกตัวเองและกลายเป็นเศษขยะที่ไม่อาจฝึกยุทธ์ได้อีกตลอดชีวิต” เย่หวางเหย่กล่าวอย่างเย็นชาแบบตรง ๆ โดยไม่สนใจที่จะถนอมน้ำใจใด ๆ ทั้งสิ้น
เย่เซิงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธที่ท่วมท้นล้นใจ แต่ด้านสติก็ยังย้ำเตือนเหตุผลไปว่าให้เย็น ๆ ไอ้เสือ จากนั้นเขาก็ถามออกไปอย่างใจเย็นว่า “ลูกรู้ว่าลูกผิด และลูกก็ขอบคุณท่านพ่อที่เมตตาด้วยขอรับ ที่ท่านมาดึกดื่นก็เพื่อจะเตือนเรื่องนี้หรือ?”
“ผ่อนคลาย ในเมื่อพี่หญิงใหญ่ของเจ้าตั้งใจที่จะปกป้องเจ้าถึงเพียงนี้ข้าก็จะไม่ลงโทษเจ้าตามกฎของบ้านหลังนี้ ตอนนี้เจ้าก็อายุสิบหกปีแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงมีพระกระแสรับสั่งให้เจ้าเข้าศึกษาในสถาบันจีเซี่ยด้วย ดังนั้นจงจำไว้ให้ดีว่าอย่าทำลายชื่อเสียงของหวางฝู่ตระกูลเย่เป็นอันขาด” เย่หวางเหย่กล่าวด้วยเสียงเด็ดขาด
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ลูกจะระวังเรื่องนี้เป็นอย่างดี” เย่เซิงตอบด้วยท่าทางสุภาพ
“เมื่อเจ้าอยู่ในสถาบันจี้เซวี่ยเจ้าจะสามารถเรียนวรยุทธ์ได้อย่างเป็นระบบ ในอดีตข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเรียนวรยุทธ์เพราะข้าหวังให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา แต่ในเมื่อเจ้าเลือกเดินทางนี้แล้วก็จงมุ่งมั่นกับมันเสีย เจ้ามีพี่ชายสามคนในสถาบันจี้เซวี่ย หากมีปัญหาให้ไปขอความช่วยเหลือจากสามคนนั้น” เย่หวางเหย่กล่าว
“ขอรับ” เย่เซิงยังคงสุภาพเช่นเคย
“ว่าแต่ก่อนหน้านี้เจ้าใช้กระบวนท่าใดในการเอาชนะเย่ชิง?” จู่ ๆ เย่หวางเหย่ก็ล้วงความลับ
หัวใจของเย่เซิงกระตุก เขารู้เลยว่าไอ้ที่พ่น ๆ มาก่อนหน้านี้นี่ตอแหลล้วน ๆ แล้ว เป้าหมายที่แท้จริงคือไอ้นี่นี่เอง เขาตอบว่า “ลูกได้บีบอัดพลังลมปราณจำนวนมากเก็บสำรองไว้ในตันเถียนก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อระเบิดพลังทั้งหมดนั่นออกมาเย่ชิงที่ไม่ทันตั้งตัวจึงไม่อาจรับไหวขอรับ”
เย่หวางเหย่มองเย่เซิงอย่างไร้อารมณ์ และเย่เซิงก็ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเขาจะยอมเชื่อไหม
“ในเมื่อเจ้าต้องการออกจากหวางฝูตระกูลเย่เจ้าควรไปแต่เช้า หวางฝูตระกูลเย่ไม่อาจกักขังเจ้าไว้ได้อีกต่อไปแล้ว” เย่หวางเหย่หันหลังจากไป
เย่เซิงยืนมองเย่หวางเหย่เดินออกจากลานบ้านตัวเอง ร่างกายของเขาเหยียดตรงภายใต้แสงของพระจันทร์เสี้ยว ความคิดมากมายหลายอย่างไหลผ่านเข้ามาในจิตใจ เขาไม่ได้พูดอะไรอีกและหันหลังกลับเข้าบ้าน
ภายในห้อง...
เย่เซิงนอนอยู่บนเตียงและครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ว่าวันนี้ไอ้เย่หวางเหย่นี่มีพฤติกรรมแปลกมาก มันทำตัวแตกต่างจากไอ้สารเลวที่อยู่ในความทรงจำของเย่เซิงคนก่อนไปโดยสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้แค่มันรู้ว่าเย่เซิงเรียนวรยุทธ์มันก็คงจะลงมือทุบตีทำลายตันเถียนเขาจนพิการไปแล้ว แบบนั้นต่อให้ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตอีกต่อไป
แต่ดูเหมือนเพราะว่าพระมเหสีเย่อยู่ด้วยจึงทำให้มันไม่ลงมือ ขนาดเรื่องที่เย่เซิงออกจากบ้านโบยบินสู่อิสรภาพมันก็ยังไม่หยุดด้วย
“ดูเหมือนไอ้เย่หวางเหย่จะกลัวพี่หญิงใหญ่เล็กน้อย” เย่เซิงให้ข้อสรุปกับตัวเอง
และเดาต่อไปด้วยว่าที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะพี่หญิงใหญ่เป็นพระมเหสีด้วย ต่อให้นางเป็นพระมเหสีแต่ยังไงก็ยังคงเป็นลูกสาวของมันอยู่ เป็นไปไม่ได้หรอกว่าไอ้เย่หวางเหย่มันจะไม่กล้าฉีกหน้านาง จริงไหม?
และจากที่เย่เซิงสังเกตก่อนหน้านี้ ไอ้เย่หวางเหย่มันก็อยากจะตบฝ่ามือใส่เขาตั้งหลายต่อหลายรอบอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความที่พี่หญิงใหญ่นั่งอยู่ด้วยมันเลยได้แต่กล้ำกลืน
แถมวิธีปฏิบัติพี่หญิงใหญ่ปฏิบัติต่อหวางฝูตระกูลเย่คนอื่น ๆ ก็ไม่เหมือนกับที่คนรุ่นลูกหลานปฏิบัติต่อเหล่าผู้อาวุโสหรือครอบครัวเลย ทำการกดขี่ข่มเหงอย่างไม่ไว้หน้า พูดจากเหน็บแนมสั่งสอนอีสองนายหญิงต่อหน้าของไอ้เย่หวางเหย่ด้วยความเผด็จการสุดขีด
และเมื่อเย่เซิงย้อนความทรงจำของร่างก่อนเขาก็เห็นแล้วว่าไอ้พฤติกรรมเผด็จการของพี่หญิงใหญ่นี้มันมีมาตั้งแต่สมัยที่นางยังอยู่ในหวางฝูแล้ว
“ช่างมันก่อน เรื่องแบบนี้มานอนคิดตอนนี้ไปก็ไร้บอย หลับให้เต็มอิ่มก่อนดีกว่าจะได้ตื่นไปสถาบันแต่เช้า” เย่เซิงหลับตาลงและตัดสินใจไม่คิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้อีกต่อไป
ตอนนี้ระดับการฝึกฝนของเขายังต่ำเกินไป ดังนั้นเขาจึงเอาตัวเข้าไปยุ่งยังไม่ไหว สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำในตอนนี้คือการแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่านั้น
เขาหลับตาและเริ่มมองดูการเปลี่ยนแปลงในตันเถียนดาวโลกของตน
หลังจากที่ได้ถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้กับชาวโลกแล้ว พวกเขาได้เริ่มการเดินเข้าสู่เส้นทางของตนเองอย่างช้า ๆ และผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้เรียนรู้วิชาเหล่านั้นเข้าสู่ขั้นเสวฮุ่ยและหรูเหมินมาก
ผ่านมาเกือบ ๆ สองสัปดาห์ตอนนี้มีโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าประมาณสามร้อยคนแล้ว โดยส่วนใหญ่อยู่ในขั้นต้น แต่จากศักยภาพที่แสดงให้เห็นนั่นชัดเจนแล้วว่าพวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะชัวร์ ๆ เพราะจากคนหนึ่งพันสี่ร้อยล้านมีเพียงพวกเขาที่เป็นกลุ่มแรก ๆ ที่สามารถก้าวเข้าสู่ขั้นนี้ได้
และมีอีกห้าสิบคนที่เป็นโฮ่วเทียนสองชั้นฟ้าแล้ว ความเร็วขนาดนี้ถือว่ายอดเยี่ยมยิ่ง
“เมื่อข้าเข้าสู่สถาบันจี้เซวี่ยแล้วจะต้องไปหาวิชามาเพิ่มแล้วส่งต่อทุกสิ่งทุกอย่างสู่โลก ให้ทุก ๆ คนบนโลกสามารถฝึกวรยุทธ์ได้ ทำแบบนี้เราถึงจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว” เย่เซิงวางแผนอนาคตล่วงหน้า
สถาบันจี้เซวี่ยจริง ๆ แล้วไม่ได้ก่อตั้งในราชวงศ์ปัจจุบัน แต่ย้อนกลับไปสมัยราชวงศ์หลงแล้ว ราชวงศ์หลงได้ก่อตั้งสถาบันจี้เซวี่ยนี้ขึ้นมา สมัยที่รุ่งเรืองถึงขีดสุดคาดว่ามีบัณฑิตถึงสามพันคนเลยทีเดียว สายตาทุกคู่ล้วนแต่จับจ้องมองมาที่สถาบันนี้
แต่ต่อมาราชวงศ์หลงเกิดความวุ่นวาย ขุนนางในราชสำนักทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำให้สถาบันจี้เซวี่ยในสมัยนั้นตกต่ำลงไปด้วยและเมื่อถูกต้าฉินเข้ายึดครอง สถาบันจี้เซวี่ยก็ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น หนังสือจำนวนนับไม่ถ้วนที่สถาบันนี้ถือครองจึงถูกยึดและนำไปเก็บไว้ในท้องพระคลังอยู่ถึงยี่สิบปี
ยี่สิบปีให้หลังจักรพรรดิองค์ที่สองแห่งต้าฉินขึ้นครองบัลลังก์และฟื้นฟูสถาบันจี้เซวี่ยกลับคืนมา หนังสือทั้งหมดจึงถูกส่งกลับไปยังหอสมุดของสถาบัน ทำให้ดึงดูดเหล่าบัณฑิตและจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจจากทั่วโลกเข้ามารวมตัวกันในทันที จากนั้นคนเหล่านั้นก็เข้าร่วมกับทางสถาบันก่อเกิดเป็นขุมกำลังใหม่อีกหนึ่งขุมกำลัง
นี่คือทั้งหมดที่เย่เซิงรู้ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ นั้นเขาไม่รู้เลย
วันต่อมาเย่เซิงที่เก็บของทุกอย่างไว้แล้วได้ออกจากหวางฝูตระกูลเย่ตั้งแต่ก่อนไก่โห่
อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เก็บของอะไรไปหรอก เพราะว่าไม่มีอะไรในบ้านที่เป็นของเขา จะมีก็แต่เงินสามร้อยเหรียญทองที่พระมเหสีเย่ให้ไว้ก่อนกลับวัง ของอื่น ๆ ก็ทิ้ง ๆ ไปเพราะไม่ใช่ของตน
ประตูทางเข้าของหวางฝูตระกูลเย่นั้นยิ่งใหญ่มาก ประตูเหล็กทั้งสองข้างเปิดออกและเย่เซิงก็เดินออกไปพร้อม ๆ กับห่อผ้าของตน
บนถนนไร้ซึ่งผู้คน สิงโตหินขนาดใหญ่สองตัววางท้าลมฝนอยู่ข้างประตูซ้ายขวาอย่างน่าเกรงขาม ด้วยความที่ทำจากวัสดุราคาแพงจึงยังทำให้มันยังคงดูเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา
เย่เซิงรู้สึกโล่งมาก ๆ ทุก ๆ สิ่งที่เฝ้าอดทนมาตลอดตั้งแต่มาเกิดใหม่ก็เพื่อวันนี้ เพื่ออิสรภาพในวันนี้นี่เอง
เมื่อหลายวันก่อนเย่เซิงได้ออกจากหวางฝูตระกูลเย่ก็จริง แต่นั้นมันเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แค่ได้ไปกราบหลุมศพแม่เท่านั้น แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้นแล้วไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
เย่เซิงเต็มไปด้วยพลังและความมั่นใจมือถือห่อผ้าเดินอย่างลิงโลดไปตามถนนมุ่งหน้าสู่ประตูเมือง
สถาบันจี้เซวี่ยไม่ได้อยู่ในเมืองเซียนหยาง มีเทือกเขาห่างจากเซียนหยางประมาณร้อยลี้ สถาบันขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงนั้น
และที่นั่นจะเป็นสถานที่ที่เย่เซิงผงาดขึ้นมาและหลุดออกจากสภาพที่น่าสังเวชได้ในที่สุด
การจากไปของเย่เซิงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรในหวางฝูตระกูลเย่เลย ในความเป็นจริงมีคนจำนวนมากที่รอเย่เซิงออกไปจนทนไม่ไหวและอีนายหญิงเฒ่ามันก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย มันถึงกับเป็นคนแรกที่รู้ว่าเย่เซิงออกจากบ้านไปแล้ว ทำให้มันมีความสุขมากกว่าทุกวันเยอะมาก
อีนายหญิงใหญ่ก็มืดหม่นจนน่าผวา มันนั้นไม่อยากให้เย่เซิงออกจากบ้านไปที่สถาบันจี้เซวี่ยเพราะอยากเก็บไว้ใกล้ ๆ ตัวรอให้อีหูเหมยคอยทรมานเขาเรื่อย ๆ จนมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตกตาย
และยังมีอีหูเหมยกับลูกชายมันที่ยิ่งไม่พอใจที่ไอ้ขยะเย่เซิงกำลังจะไปได้ดิบได้ดีจนเริ่มจะหาวิธีและหาคนไปฆ่าแล้ว