บทที่ 26: ให้เข้าสถาบันจี้เซวี่ย
หลังจากที่รวมพลังโฮ่วเทียนสองชั้นฟ้าห้าสิบคนแล้ว การจู่โจมที่เหมือนภายุกระหน่ำของเย่เซิงก็ตกใส่ตัวของไอ้เย่ชิง การป้องกันของมันไม่มีผลอะไรเลยจึงได้ถูกซัดกระเด็นไปพร้อม ๆ กับเสียงแตกหักของอะไรบางอย่างดังออกมาจากแขนข้างหนึ่งของมัน นี่ขนาดมันใช้วิชาเก้าชีพจรเข้าช่วยแล้วนะแต่ก็ยังไม่ช่วย
ทุก ๆ คนต่างเบิกตากว้างจ้องมองไอ้เย่ชิงที่พ่ายแพ้ ถึงร่างกายมันจะไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไรแต่ที่บาดเจ็บที่สุดคือหน้ามัน เพราะมันแตกละเอียดไปหมดแล้ว สีหน้าของมันมืดหม่นเหมือนก้นหม้อที่ถูกเผาไฟ แววตาของมันไฟลุกซู่แต่ไม่ใช่ไฟต่อสู้ เป็นไฟที่สะท้อนอารมณ์อันซับซ้อนในใจไม่ว่าจะความโกรธแค้นหรือความอิจฉาริษยา
“ฝ่าบาท กระหม่อรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวก่อนพะยะค่ะ” ไอ้เย่ชิงรีบประสานมืออย่างสุภาพพึมพำคำเหล่านี้ก่อนจะวิ่งออกไป มันไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปเพราะรู้สึกอับอายกับสายตาที่จับจ้องมา
หูเหมยแม่มันก็จ้องไปที่ไอ้ขยะเย่เซิงอย่างกับจะกระโดดกัดคอ จากนั้นก็หันไปกราบทูลองค์จักรพรรดิว่า “ฝ่าบาทเพคะ บุตรชายหม่อมฉันยังเด็กจึงไม่รู้มารยาท ได้โปรดยกโทษให้เขาด้วยเถอะเพคะ”
องค์จักรพรรดิก็โบกมือและทรงตรัสว่า “เขาแพ้การแข่ขันและไม่อาจรักษาหน้าตัวเองไว้ได้ถึงได้ทำแบบนั้น เป็นเรื่องปกติของเด็กหนุ่ม ไป ไปปลอบเขาเถอะ”
หูเหมยกล่าวขอบคุณก่อนจะคำนับแล้วรีบออกไปทันที และแม้ในขณะที่กำลังเดินออกไปก็ยังไม่วายเหลือบมามองเย่เซิงอย่างคาดโทษไว้ก่อนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังและมุ่งร้ายอีกหนึ่งที
“ฝ่าบาทเพคะ ผลการต่อสู้ครั้งนี้ชัดเจนแล้ว รางวัลเป็นของน้องสิบสองซึ่งหมายความว่าน้องสิบสองจะได้ตำแหน่งเทียนจื่อเหมินเซิงใช่ไหมเพคะ?” พระมเหสีเย่ถามด้วยความยินดี
ทุกคนต่างหันไปมองที่เย่เซิงและองค์จักรพรรดิ ว่าพระองค์จะทรงมอบตำแหน่งเทียนจื่อเหมินเซิงให้เย่เซิงไปจริง ๆ น่ะเหรอ?
ตำแหน่งอันทรงเกียรติซึ่งสามารถรับประกันได้เลยว่าในอนาคตจะต้องมีชีวิตอย่างหรูหรา
“จักรพรรดิตรัสแล้วไม่คืนคำ ในเมื่อเย่เซิงเอาชนะเย่ชิงได้แล้วเรื่องก็เป็นไปตามนั้น” องค์จักรพรรดิบัญชา
เย่เซิงรีบโค้งคำนับทันที “ขอบพระทัยพะยะค่ะ”
“เย่เซิงเอ๋ย เจ้าเป็นชายหนุ่มที่มีอนาคตและพรสวรรค์อันหายากยิ่งซึ่งต้าฉินเราต้องการมาก วันนี้เราแต่งตั้งเจ้าเป็นเทียนจื่อเหมินเซิงเป็นกรณีพิเศษ หมายความว่าเจ้าต้องไม่ทำให้ชื่อเสียงของเราจักรพรรดิเสื่อมเสีย” องค์จักรพรรดิย้ำเตือนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เย่เซิงขอบพระทัยพะยะค่ะ” เย่เซิงโค้งคำนับตอบรับเสียงดัง
ด้วยสถานะแบบนี้เขาจะเป็นอิสระอย่างแท้จริง เป็นอิสระจากหวางฝูตระกูลเย่และไม่ต้องเรียนรู้ฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไป
จากนั้นเย่เซิงก็เงยหน้าแล้วหันไปมองผู้คนรอบ ๆ ซึ่งเห็นว่าหลายคนกำลังส่งสายตาอิจฉามองมา หลายคนเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ส่วนเย่หวางเหย่นั้นสงบมากเหมือนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลย ซึ่งนั่นทำให้เย่เซิงไม่สบายใจเพราะว่าด้วยสันดานของคนแบบนั้นเย่เซิงไม่น่าจะรอดและถูกลงโทษไปนานแล้ว
สีหน้าของนายหญิงใหญ่ก็เคร่งเครียด รอยยิ้มที่ยิ้มออกมานั้นดูเชรี่ยยิ่งกว่าตอนร้องให้ซะอีก ตัวนางที่นั่งอยู่นั้นแข็งทื่อดวงตายังคงสั่นระริกไม่มั่นคง จะให้เดาว่านางคิดอะไรอยู่นั้นก็เดาไม่ออก
ส่วนคนสุดท้ายที่เขาสังเกตเห็นคือนายหญิงเฒ่า หน้าของอีแก่นี่ยิ่งกว่าตัวเหี้ยอีก แววตาที่จ้องมองมานั้นหาเศษเสี้ยวของความเป็นมิตรไม่เจอจริง ๆ มีแต่ความเป็นศัตรูล้วน ๆ ไม่รู้ว่าไปเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน
และแน่นอนเย่เซิงไม่สนใจเลยว่าพวกมันจะมองเขายังไงหรือคิดกับเขาแบบไหน เพราะอีกเดี๋ยวเขาก็จะได้ออกจากสถานที่บัดซบรี้แล้ว และหลังจากนี้เขาคงจะไม่ได้มามีปฏิสัมพันธ์กับตัวตะกวดพวกนี้อีกต่อไป แล้วมันเรื่องอะไรที่ต้องไปสนใจพวกมัน?
มีเพียงคนเดียวที่ทำให้เย่เซิงประหลาดใจ
นั่นก็คือหลิงฮวาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเขาเอง พฤติกรรมของนางนี่ยากที่จะมองออก หลังจากที่นางได้เห็นเย่เซิงเข้ารับตำแหน่งเทียนจื่อเหมินเซิงสีหน้าของนางก็ออกอาการโมโหนิดหน่อยก่อนจะเก็บอาการกลับไปในพริบตาพลางก้มหน้าลง และเมื่อนางรู้ตัวว่าเย่เซิงกำลังมองตัวเองอยู่นั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา
แววตาของนางดูเหมือนงูพิษที่เย็นชาอย่างยิ่ง แต่ความเย็นชานั้นก็หายวับไปอย่างเร็วเกือบจะทันทีที่เขาสังเกตเห็นและเปลี่ยนเป็นแววตาอบอุ่นตามปกติ
แต่น่าเสียดายสำหรับนางที่เย่เซิงสามารถจับพิรุธในช่วงจังหวะนั้นได้พอดี
พระมเหสีเย่เพิกเฉยต่อปฏิกิริยาของคนอื่น ๆ ทั้งหมด เพราะแค่เย่เซิงชนะพระนางก็ทรงมีความสุขมากแล้ว พระพักตร์ชื่นบานเหมือนได้ดื่มน้ำผึ้งมา รอยยิ้มงดงามเผยออกพร้อมกับพูดว่า “ฝ่าบาทเพคะ ตอนนี้เย่เซิงเป็นเทียนจื่อเหมินเซิงแล้ว หม่อมฉันก็อยากจะหาสถานที่ดี ๆ ให้เขาซักหน่อยเพคะ”
องค์จักรพรรดิทรงกระซิบว่า “นี่ ๆ น้องหญิง อยากได้อะไรเจ้าก็รีบ ๆ หน่อยเถอะตอนนี้เราหิวแล้วนะ”
“ฝ่าบาทเพคะ เมื่อจัดการเรื่องน้องชายเสร็จแล้วเดี๋ยวหม่อมฉันจะพาพระองค์หาอะไรดี ๆ ดื่มกันตกลงไหมเพคะหืม?” พระมเหสีเย่พูดด้วยน้ำเสียงเย้ายวน
“เอาล่ะ ๆ รีบ ๆ บอกเรามาว่าเจ้าอยากให้เย่เซิงไปอยู่ที่ไหน” องค์จักรพรรดิถามด้วยเสียงหัวเราะสะใจ
“สถาบันจี้เซวี่ยเพคะ” พระมเหสีเย่กล่าวอย่างมั่นใจสุด ๆ ต่อหน้าสายตาทุกคู่ในหวางฝูที่จับจ้องมา และนั่นก็ทำให้พวกมันทุกตัวสั่นสะท้านด้วยความตกใจ
โดยเฉพาะอีนายหญิงใหญ่มันขมวดคิ้วมองพระมเหสีด้วยความไม่อยากจะเชื่อ มันไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าพระมเหสีจะมีความทะเยอทะยานเรื่องน้องชายขยะนั่นถึงขนาดนี้ ขนาดถึงขั้นอยากส่งเย่เซิงเข้าสถาบันจี้เซวี่ย
ดวงตาของเย่หวางเหย่สาดประกายเย็นชากับคำพูดเหล่านี้ในทันใด มันหันไปพิจรานาเย่เซิงอีกครั้งพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ไม่ได้! สถาบันจี้เซวี่ยเป็นสถานศึกษาที่ก่อตั้งโดยต้าฉิน! นักเรียนทุกคนที่ถูกรับเข้าเรียนล้วนเป็นอัจฉริยะเท่านั้น! แม้แต่ในหวางฝูเรายังมีไม่กี่คนที่เข้าได้! แล้วอย่างเย่เซิงจะไปเข้าได้ได้อย่างไร!?” ไม่นึกว่าคนแรกที่คัดค้านตะเป็นอีนายหญิงเฒ่า มันเอาไม้เท้าเคาะพื้นและพูดอย่างวางอำนาจ
เมื่อมีตัวเปิดก็ต้องมีตัวตาม ซึ่งตัวกตามก็คืออีนายหญิงใหญ่ “นายหญิงเฒ่ากล่าวถูกต้องแล้ว! เย่หวางเหย่มีลูกมากกว่าสิบคน มีเพียงสามคนเท่านั้นที่เข้าศึกษาในสถาบันจี้เซวี่ยได้ และเย่เซิงไม่มีสิทธิ์เข้า!”
หลังจากที่สตรีเบอร์สูงสองคนของบ้านพูดขึ้นพระมเหสีเย่ก็ยิ้มออกมา แววตาของพระนางสาดประกายอำนาจที่มองไม่เห็นปกคลุมไปทั่วทั้งสถานที่ นายหญิงใหญ่หวาดกลัวจนหัวใจแทบระเบิด ความหวาดกลัวนั้นได้สะท้องออกมายังหน้าต่างของหัวใจอย่างดวงตา และนางก็ใช้ดวงตาที่สะท้อนจิตใจตัวเองคู่นั้นมองไปยังพระมเหสี
“นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงให้สัญญา อีกทั้งพวกเจ้าทั้งคู่ต่างก็เป็นคนในหวางฝู่ตระกูลเย่ เย่เซิงเป็นน้องชายของเราและเป็นลูกหลานในหวางฝูตระกูลเย่ด้วย ดังนั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะรังเกียจเขามากขนาดไหน แต่ในฐานะของคนเป็นย่าและภรรยาใหญ่ของเย่หวางเหย่แล้วก็ควรที่จะเปิดใจกว้าง ๆ อวยพรเขาต่างหาก มิฉะนั้นเดี๋ยวคนภายนอกจะครหาได้ว่าคนในหวางฝูของเย่หวางเหย่ผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นแหล่งรวมตัวของพวกขี้อิจฉา เมื่อลูก ๆ จากต่างแม่เหมือนจะได้ผลประโยชน์ก็เสนอหน้าออกมาขัดขวางกันให้สลอน นอกจากนี้เย่หวางเหย่ยังไม่ได้พูดอะไรซักคำเลยแต่พวกเจ้ากลับปากยื่นปากยาวกันแล้ว จะข้ามหน้าข้ามตากันเกินไปหน่อยไหม?” พระมเหสีเย่ไม่ยอมปล่อยให้อีสองตัวนี่ได้แสดงท่าทางอวดเบ่งอีกต่อไปโดยจัดการกดหัวพวกมันทั้งคู่ลง ท่าทีของนางช่างเย็นชานักและเหมือนจะไม่ใส่ใจเลยว่าที่นั่งข้าง ๆ ตัวเองคือพระสวามีซึ่งเป็นองค์จักรพรรดิด้วย ซึ่งพฤติกรรมของนางทำให้อีกพวกนายหญิงทั้งสองที่โดนกดหัวถึงกับโกรธจัดจนอยากจับพระนางมาถลกหนังทั้งเป็น
สีหน้าของอีนายหญิงใหญ่เริ่มซีดเผือดเหมือนไก่ต้มซึ่งในใจก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ นางพยายามระงับความโกรธของตัวเองอย่างหนักถึงกับหยิกขาตัวเองที่อยู่ใต้โต๊ะ เนื้อจากขาว ๆ เปลี่ยนเป็นแดง จนจากแดงเปลี่ยนเป็นเขียวถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้สำเร็จ
พระมเหสีเย่เอ่ยปากสั่งสอนนางต่อหน้าคนมากมายอีกทั้งยังต่อหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิด้วย ตัวนางที่แม้จะเป็นนายหญิงใหญ่ของบ้านนี้ก็ตามแต่สถานะของนางก็ยังเป็นเพียงแค่ภรรยาของผู้ใต้บังคับบัญชาขององค์จักรพรรดิ ด้วยสถานะที่ต่างกันถึงขนาดนี้นางจะไปทำอะไรได้
และแม้นายหญิงใหญ่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ก็ตาม แต่อีนายหญิงเฒ่านี่ไม่ไหวมันเอาไม่อยู่เลยแม่แต่นิดเดียว นับตั้งแต่ที่พระมเหสีก้าวเท้าเข้าสู่หวางฝูตัวนายหญิงเฒ่าก็เหมือนถูกบังคับให้เอาอุจจาระใส่ปากแล้วเคี้ยวโดยห้ามคายทิ้งอยู่ตลอดเวลา
ทำไมอีแก่นี่ถึงเป็นแบบนี้น่ะเหรอ? ก็เพราะกำพืดมันไงเล่า ตัวมันจริง ๆ แต่เดิมใช่ชนชั้นสูงซะที่ไหน เป็นแค่ชาวบ้านปากตลาดเซราะกราวขนาดหนักตัวหนึ่งเท่านั้น การฝึกฝนอบรมมารยาทอะไรก็ไม่เคยมีกับเขา แต่ที่มันได้ดิบได้ดีอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะอภิชาติบุตรอย่างเย่หวางเหย่ผงาดขึ้นมาต่างหาก แต่สันดานไพร่อย่างไรก็เป็นไพร่ เมื่อมันเห็นว่าไอ้ลูกเฮ็งซวยของนางสนมที่มันเกลียดกำลังจะได้ดิบได้ดีก็เก็บอาการไม่อยู่ ความไร้สำนึกถึงที่ต่ำที่สูงระเบิดออกและลุกขึ้นหมายจะแหกปากด่าทอพระมเหสีที่ไม่เคารพคำสั่งของครอบครัว
แต่เย่หวางเหย่ยืนขึ้นก่อนที่มันจะได้ผายลมโง่ ๆ อะไรออกมาและกล่าวว่า “ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องโกรธขนาดนั้น ที่พระมเหสีกล่าวนั้นก็ไม่ผิด เย่เซิงเองก็เป็นลูกชายข้า ในเมื่อได้เป็นเทียนจื่อเหมินเซิงแล้วสถานศึกษาที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ก็มีเพียงสถาบันจี้เซวี่ยเท่านั้น”
อีนายหญิงเฒ่าถึงขั้นแหกตาจ้องมองลูกชายตัวเองอย่างตกตะลึง มันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลูกชายคนนี้น่าจะเกลียดไอ้เย่เซิงมากที่สุดแท้ ๆ แต่ทำไมถึงยังไปสนับสนุนไอ้ตัวขยะอีก?
แต่เย่หวางเหย่ไม่ได้อธิบายอะไร ทำแค่ส่ายหัวและให้แม่มันนั่งลง
อีตัวแม่ก็ยังคงโกรธจัด แต่กลับไม่กล้างระเบิดโทษะใส่ลูกชายตัวเองเลยได้แต่นั่งลงทั้งที่ยังโกรธจนเส้นเลือดที่หัวแทบจะระเบิดอยู่นั่นแหล่ะ
ทุก ๆ คนต่างหวาดกลัว ตั้งแต่ตอนที่พระมเหสีเริ่มโกรธจนกระทั่งเย่หวางเหย่ยืนขึ้นพูด ทุก ๆ ต่างคนรู้สึกได้ว่าบรรยากาศตึงเครียดมาก ๆ กังวลว่าจะเกิดการระเบิดได้ทุกเมื่อ
คนที่ยืนดูเรื่องราวอย่างสงบนิ่งไม่ทุกข์ร้อนก็คงมีแต่เจ้าตัวเย่เซิงเท่านั้นแหล่ะ
องค์จักรพรรดิโบกมือและทรงตรัสว่า “เอาละ ๆ ไม่มีเหตุผลที่ต้องโต้เถียงเรื่องนี้อีก เราได้ให้สัญญากับเย่เซิงไว้แล้วว่าหากเขาเอาชนะเย่ชิงได้จะแต่งตั้งเป็นเทียนจื่อเหมินเซิง และสัญญากับพระมเหสีเย่แล้วด้วยว่าจะทำตามคำของของพระนางหนึ่งอย่าง ในเมื่อพระมเหสีต้องการให้เย่เซิงเข้าศึกษาที่สถาบันจี้เซวี่ยเราก็จะให้เป็นไปตามนั้น วันพรุ่งนี้ให้เย่เซิงไปรายงานตัวที่สถาบัน เดี๋ยวเราจะออกคำสั่งให้”
เย่เซิงคุกเข่าลงทันทีและกล่าวด้วยความซาบซึ้งว่า “ขอบพระทัยเป็นอย่างสูงพะยะค่ะ”
พระมเหสีเย่รินสุราให้องค์จักรพรรดิอย่างพึงพอใจพร้อมกับพูดว่า “ขอบพระทัยสำหรับความรักนะเพคะ”