ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 23 เส้นทางสู่ยุทธภพ
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 23 เส้นทางสู่ยุทธภพ
แปลโดย iPAT
เมื่อความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เศษเสี้ยงของพลังปราณก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง มันไหลไปที่บาดแผลของหลี่ฉิงซานและทำให้เขารู้สึกคัน
ฮวงปิงหูส่งนักล่าที่ว่องไวสองสามคนออกไปสำรวจเส้นทางขณะที่คณะเดินทางมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา
พวกเขาเดินทางโดยไม่หยุดพักจนถึงยามค่ำ ไม่มีร่องรอยของมนุษย์อยู่ในบริเวณรอบๆ
เมื่อไปถึงเชิงเขา หลี่ฉิงซานก็เห็นหมู่บ้านบังเหียนม้าในตำนาน
กำแพงไม้สูงตระหง่านถูกสร้างขึ้นรอบๆหมู่บ้าน หอสังเกตการณ์ตั้งอยู่ในแต่ละมุม มันดูไม่เหมือนหมู่บ้านแต่เป็นฐานทัพทหารมากกว่า เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ คณะนักเดินทางก็ส่งสัญญาณให้คนด้านใน จากนั้นประตูขนาดใหญ่ก็เปิดออก กล่าวได้ว่ามันไม่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านกระทิงหมอบเลยแม้แต่น้อย
หลี่ฉิงซานเป็นคนนอกเพียงคนเดียว ดังนั้นเขาจึงดึงดูดความสนใจของทุกคน ภายนอก เขาดูไม่ได้รับผลกระทบ แต่ภายใน เขายังลอบรู้สึกประหม่า นี่คือสถานที่ในตำนานที่สามารถเอาชนะกองทัพขนาดใหญ่และบังคับให้พวกเขาดึงบังเหียนม้ากลับไป
ฮวงปิงหูดูเหมือนจะไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ แต่หลี่ฉิงซานยังต้องจัดการเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง มิเช่นนั้นเขาอาจเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัว ดาบของเขาถูกปลดออกไปแล้ว อย่างไรก็ตามแม้เขาจะยังครอบครองมันแต่ความเสียหายที่ได้รับจากการต่อสู้ก็เกินกว่าจะซ่อมแซมได้แล้ว
ฮวงปิงหูจัดบ้านหลังเล็กที่ว่างเปล่าไว้ให้หลี่ฉิงซาน แม้เขาจะไม่ได้ส่งบางคนมาเฝ้าระวังแต่เขาก็บอกหลี่ฉิงซานไม่ให้เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว
ในอาคารที่จุดศูนย์กลางของหมู่บ้าน นักล่าที่ทรงอิทธิพลที่สุดมารวมตัวกันที่โต๊ะทรงกลมใต้แสงตะเกียงสองสามดวง
“เพื่อผลประโยชน์ หมู่บ้านราชาโสมพยายามเอาเปรียบพวกเรา บ่อยครั้งที่คนของเราหายตัวไปบนภูเขา นั่นเป็นฝีมือของพวกเขา คราวนี้พวกเขาถึงกับพยายามฉกชิงโสมจิตวิญญาณไปจากเรา แต่นี่ก็เป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบที่เราจะจัดการพวกเขา!”
ทั้งสองหมู่บ้านตั้งอยู่บนภูเขาโดยไม่มีพรมแดนที่ชัดเจน คนเก็บโสมหาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บโสมและสมุนไพรขณะที่นักล่าจะออกล่าสัตว์อยู่ในภูเขา โสมเป็นสมุนไพรเพียงไม่กี่ชนิดที่นักล่ารู้จัก ดังนั้นพวกเขาจะไม่ปล่อยมันไป
ผลประโยชน์ทำให้เกิดการโต้เถียงระหว่างหมู่บ้านและชาวบ้านมักแก้ปัญหาด้วยคมมีด แต่เนื่องจากพวกเขาอยู่ห่างไกลกันมากพอ การต่อสู้ครั้งใหญ่จึงยังไม่เคยเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามพวกเขาพึ่งเผชิญหน้ากันอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ มันเป็นยอดเขาไป่เหลาที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านบังเหียนม้า พวกเขาพบโสมจิตวิญญาณในตำนานที่นั่น มันมีรูปร่างคล้ายมนุษย์และสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความตั้งใจของมันเอง
แน่นอนว่าสมบัติหายากย่อมนำไปสู่การต่อสู้ หลังจากการต่อสู้จบลง โสมจิตวิญญาณก็หนีไปแล้ว แต่มันควรจะยังอยู่บนยอดเขาไป่เหลา ทั้งสองหมู่บ้านไม่กล้ากระทำการโดยประมาทหรือสุ่มค้นหาไปทั่วภูเขา ตอนนี้พวกเขากำลังเตรียมการสำหรับเรื่องนี้
“ท่านหัวหน้า เราไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้ มาจัดการเด็กนั่นกันเถอะ!”
“เด็กนั่นมีทักษะบางอย่าง นอกจากนี้ข้าก็ชอบอุปนิสัยของเขา การฆ่าเขาเป็นเรื่องน่าเสียดาย ข้าต้องการให้เขาอยู่ในหมู่บ้านและเป็นกำลังให้เรา”
“แต่เขาเป็นคนนอก”
“ไม่จำเป็นต้องพูดอีก ข้าจะทดสอบเขาด้วยตนเอง หากเขาไม่คู่ควร ข้าจะไม่ใจอ่อนอย่างแน่นอน” ฮวงปิงหูกล่าวอย่างจริงจังก่อนจะไอออกมา
ในบ้านที่มืดมิด เสี่ยวอันโผล่ออกมาจากแผ่นไม้และมองหลี่ฉิงซานด้วยความกังวล มันยื่นมือออกไปสัมผัสบาดแผลของหลี่ฉิงซานที่ตกสะเก็ดไปแล้ว
หลี่ฉิงซานกล่าว “ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าสบายดี สำหรับตอนนี้!” แม้เขาจะสามารถบอกได้ว่าฮวงปิงหูชื่นชมเขา แต่ความรู้สึกที่เขาตกอยู่ในมือของผู้อื่นยังเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถยอมรับ หากเขาต้องการควบคุมชะตากรรมของตนเอง เขาต้องแข็งแกร่งขึ้น
เขาทำตามคำแนะนำของวัวดำโดยแช่โสมไว้ในไหสุราเพื่อทำสุราหมักสมุนไพร ตอนนี้เขากำลังมองผลงานของเขาและรู้สึกปลาบปลื้มใจกับมัน
วันรุ่งขึ้น หลี่ฉิงซานลุกขึ้นแต่เช้าตรู่และเริ่มฝึกหมัดปีศาจวัวทันที แต่ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกถึงกระแสลมแรงพัดเข้ามาจากด้านหลังราวกับพยัคฆ์ร้ายที่กำลังพุ่งเข้าตะครุบเหยื่อ
หลี่ฉิงซานหันหลังกลับพร้อมกับปล่อยหมัดออกไป แต่มันพลาดเป้า ฮวงปิงหูปัดแขนของเขาและส่งกรงเล็บข้างขวาพุ่งไปที่ลำคอของหลี่ฉิงซาน
‘เขาต้องการปิดปากข้า!’ ความคิดนี้พุ่งผ่านจิตใจของหลี่ฉิงซาน ในความเป็นจริงเขาไม่ได้พยายามปิดกั้นการโจมตีของคู่ต่อสู้ ตรงข้าม เขาเลือกที่จะเผชิญหน้าโดยตรง ราวกับเขาต้องการเผยจุดอ่อนของตนให้กับศัตรูเห็น เขาส่งหมัดจากมือทั้งสองข้างออกไปในลักษณะที่ดูเหมือนหมีกอดต้นไม้พร้อมกับปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเขาออกมา
เขาบ่มเพาะร่างกายเป็นหลัก มันไม่ใช่ทักษะการต่อสู้ทั่วไป แม้เขาจะยังไม่บรรลุความแข็งแกร่งของกระทิงหนึ่งตัว แต่พลังการบีบอัดของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายของคนทั่วไปจะสามารถทนได้
ฮวงปิงหูดึงกรงเล็บกลับและล่าถอยออกไป
หลี่ฉิงซานอุทาน “โอ้ ไม่”
ฮวงปิงหูหยุดโจมตีอย่างกะทันหันและยืนมองหลี่ฉิงซานด้วยสายตาชื่นชม
กรงเล็บก่อนหน้านี้จะโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำหากหลี่ฉิงซานถอยกลับ มันจะฉีกกระชากลำคอของเขาอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานกลับก้าวออกมาข้างหน้าและโจมตีกลับ กล่าวได้ว่าเขาสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสมและยังกล้าหาญอีกด้วย
“ข้าแพ้แล้ว” หลี่ฉิงซานถูคอของเขาที่มีรอยเลือดเล็กๆห้ารอยอยู่ที่นั่น ทักษะของฮวงปิงหูน่าประทับใจมาก แม้หลี่ฉิงซานจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ฮวงปิงหูก็ยังสามารถฝากร่องรอยบางอย่างเอาไว้
“เจ้าเรียนศิลปะการต่อสู้มาจากที่ใด?” หวงปิงหูถาม นอกเหนือจากความกล้าหาญและไหวพริบ ศิลปะการต่อสู้ของหลี่ฉิงซานก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน แม้คนทั่วไปจะสามารถตอบสนองได้เร็วพอ แต่พวกเขาก็อาจไม่สามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้ทันเวลา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกรงเล็บของฮวงปิงหูสัมผัสลำคอของหลี่ฉิงซาน เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังโจมตีกระทิงที่แข็งแกร่งตัวหนึ่ง มันไม่ใช่ส่วนที่อ่อนนุ่มและเปราะบางของมนุษย์
หลี่ฉิงซานไม่สามารถบอกได้ว่าเขาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากวัวดำ มิฉะนั้นผู้คนอาจปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนงี่เง่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงบอกไปว่าเขาบังเอิญบพปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งเมื่อหลายปีก่อน อาจารย์ของเขาเห็นว่าเขาเป็นเด็กซื่อสัตย์ ดังนั้นอาจารย์ของเขาจึงสอนบางอย่างให้เขา อย่างไรก็ตามอาจารย์ของเขาสั่งให้เขาปิดบังความแข็งแกร่งและเก็บมันไว้เป็นความลับ
“ไม่กี่ปีที่ผ่านมางั้นหรือ?” ฮวงปิงหูรู้สึกพูดไม่ออก เขาไม่แปลกใจกับความจริงที่ว่าหลี่ฉิงซานไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงอาจารย์ของตน แต่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหลี่ฉิงซานต้องฝึกทักษะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังอายุยังน้อย
“มีสิ่งใดผิดปกติ?” หลี่ฉิงซานรู้สึกงุนงง
“เจ้าไม่ได้เริ่มเรียนทักษะการต่อสู้มาตั้งแต่อายุยังน้อยงั้นหรือ?”
“เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการนำเจ้ามาถึงระดับนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อนัก ดูเหมือนอาจารย์ของเจ้าจะเป็นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ”
หลี่ฉิงซานลอบหลั่งเหงื่ออย่างลับๆ โชคดีที่เขากล่าวว่าสองสามปีก่อนไม่ใช่ไม่สองสามเดือนก่อน มิฉะนั้นเขาอาจทำให้ฮวงปิงหูหวาดกลัวจนตาย
ในเวลาเดียวกัน เขาก็เข้าใจมากขึ้นว่าความสามารถเหนือธรรมชาติและศิลปะการต่อสู้ของมนุษย์เป็นสองระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฮวงปิงหู นั่นเป็นเพราะเขาพึ่งฝึกฝนมาไม่ถึงสองเดือน ในทางกลับกัน ฮวงปิงหูอาจใช้เวลายี่สิบหรือสามสิบปีก่อนจะบรรลุระดับปัจจุบันของเขา
“ข้าขอทราบเหตุผลของการมาเยี่ยมของท่านได้หรือไม่ ท่านหัวหน้านักล่า”
“เจ้าหนู เจ้าสนใจที่จะปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านบังเหียนม้าหรือไม่?” แม้มันจะเป็นคำถามแต่มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธ
“แน่นอน!” หลี่ฉิงซานตอบรับอย่างตรงไปตรงมาซึ่งทำให้ฮวงปิงหูรู้สึกประหลาดใจ “ที่บ้านของเจ้าไม่มีปัญหางั้นหรือ?”
“หากข้าไม่ตกลง ท่านหัวหน้านักล่าจะปล่อยให้ข้าออกจากที่นี่อย่างปลอดภัยหรือไม่?” หลี่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ “และข้าเคยได้ยินผู้คนพูดกัน”
“พูดสิ่งใด?”
“บ้านคือที่ที่ข้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านกระทิงหมอบหรือหมู่บ้านบังเหียนม้า มันก็ไม่แตกต่าง ข้าอาจสามารถเรียนรู้วิธีการยิงธนูและการล่าสัตว์จากที่นี่ ท่านหัวหน้า ท่านเข้าใจข้าหรือไม่? ความทะเยอทะยานของข้าไม่ได้อยู่บนภูเขาเหล่านี้!”
“ด้วยทักษะการต่อสู้ครึ่งๆกลางๆของเจ้า การเดินทางในยุทธภพจะนำเจ้าไปสู่ความตายเท่านั้น อย่างมากที่สุดเจ้าก็เป็นได้เพียงลิ้วล้อที่ติดตามคุณชายตระกูลใหญ่หรือสำนักที่อยู่รอบๆ มันจะเปรียบเทียบกับอิสรภาพแห่งขุนเขาได้อย่างไร?”
“ท่านหัวหน้านักล่า กระทั่งทักษะของท่านก็ยังไม่เพียงพองั้นหรือ?” หลี่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจ ฮวงปิงหูถือเป็นคนที่มีชื่อเสียงของภูมิภาคนี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังค่อนข้างถ่อมตน?
“เจ้าสามารถหัวเราะหากเจ้าต้องการ แต่ทักษะของข้าอยู่ในระดับพอใช้เท่านั้น ข้าเคยพยายามสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองในยุทธภพมาก่อน แต่ยุทธภพเต็มไปด้วยผู้คนที่มีพลังอำนาจ แม้เจ้าจะฝึกศิลปะการต่อสู้มาหลายสิบปีแล้ว แต่เด็กในวัยเดียวกันกับเจ้าในยุทธภพยังสามารถฆ่าเจ้าได้เหมือนการฆ่าสุนัขตัวหนึ่ง ข้าพบกับความทุกข์ทรมานมามาก โชคดีที่ข้าสามารถกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่”
หลี่ฉิงซานเม้มริมฝีปาก เขาไม่รู้สึกกลัว ตรงข้าม เขายิ่งหลงใหลมันมากขึ้น