ตอนที่ 201 ไงปู่! ไม่เจอกันนาน(อ่านฟรี)
ตอนที่ 201 ไงปู่! ไม่เจอกันนาน
ลูอิสในตอนนี้กำลังตรวจสอบเอกสารจำนวนมากบนโต๊ะทำงานของเขา เมื่อไม่มีพ่อบ้านเฟรดและเจียน่าคอยช่วย ทำให้งานหลาย ๆ อย่างดูวุ่นวายขึ้นไม่น้อย
เจียน่าไปช่วยอพยพผู้คน ในจุดที่อพยพยังมีใกล้กับแนวรบด้านตะวันออก ซึ่งในตอนนี้แนวรบด้านตะวันออกนั้นดูจะเงียบเหงาซะเหลือเกินเนื่องจากไม่มีกองทัพอันเดดมาแถวนั้นเลย ลูอิสจึงเหลือไว้เพียงทหารเฝ้ายามประมาณ 100 คนเท่านั้น
แต่ด้วยความที่จุดแนวรบนี้ใกล้เคียงกับเส้นทางถอยทางเหนือพอดี ลูอิสจึงสร้างจุดพักใกล้กับที่นี่มันปลอดภัยกว่าไปสร้างตรงทางเหนือตรง ๆ เลย เนื่องจากว่าที่แนวรบนี้ปลอดภัยและมีสถานที่รองรับผู้คนได้มากเพียงพอ
ไม่ต้องไปเสียเวลาสร้างใหม่ แม้จะอ้อมไปเล็กน้อย แต่ก็เป็นการเพิ่มเวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น
พอมาถึงที่แนวรบยังสามารถใช้เส้นทางที่พวกทหารใช้กันได้ตรงมาที่เมืองเอลดิลตรง ๆ จึงนับว่าเป็นเส้นทางที่โคตรปลอดภัยที่สุด ไม่ต้องกลัวพวกอันเดดบุกลงมาด้วย
“ที่นั่นไม่น่าเป็นห่วงฉันมองผ่านอีกาได้ตลอด แต่ว่าตอนนี้ในป่าทมิฬจะเป็นอย่างไรกันบ้าง” ลูอิสอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ แต่เขาก้พอจะรู้ว่าตอนนี้พวกของพ่อบ้านเฟรดไม่เป็นอะไรมาก เนื่องจากว่าเขายังสามารถเช็คผ่านระบบได้
ลูอิสมองรายชื่อผู้เช่นผ่านระบบ แต่มักจะมีรายชื่อหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ อยู่รายชื่อหนึ่งที่เขาจะมองดูทุกครั้งที่มีเวลาว่างนั้นก็คือ แอนเดรีย
ตอนนี้แอนเดรียนั้นแข็งแกร่งมาก ๆ ลูอิสไม่รู้ว่าเธอต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่ยิ่งเวลาผ่านไปแอนเดรียยิ่งทรงพลัง เลเวลของแอนเดรียนั้นสูงไม่ต่างจากลูอิสเลย
“พลังของจอมเวทย์ ถ้าไม่เจอระดับที่สูงกว่าตัวเองเกินไปเธอจะปลอดภัยแน่นอน” ลูอิสพึมพำด้วยความเป็นห่วง
จากที่เขารู้ตอนนี้คือ แอนเดรียต้องไปตามหาเบาะแสของพ่อที่เขาไม่เคยเห็นหน้าคนนั้น ลูอิสรู้ว่าไม่ใช่ว่าแอนเดรียไม่เป็นห่วงเขา แต่แอนเดรียคิดว่าเธอนั้นจะเป็นเป้าล่อให้พวกศาสนจักรให้ตามเธอไป
แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว เพราะยังไงเขาและศาสนจักรก็เป็นศัตรูกันแล้ว
“ท่านลูอิสมีเรื่องต้องแจ้งให้ท่านทราบ”
ดรูอิดสื่อสารคนหนึ่งเข้ามารายงาน ที่คฤหาสน์ของลูอิสจะมีดรูอิดสื่อสารอยู่ พวกเขาคอยรวบรวมข้อมูลและข่าวมาให้เก็บไว้ที่นี่ และยังรายงานต่อเขาโดยตรง
“มีเรื่องอะไร” ลูอิสถามด้วยท่าทีปกติ
“ท่านอาร์มันโด้พบเรือเหาะโลหะลำหนึ่งที่อยู่ในสภาพเสียหาย เข้าไปตรวจสอบแล้วปรากฏว่าพวกเขาคือคนที่หนีออกมาจากเมืองหลวงอีคอนได้และคนที่เป็นผู้นำเห็นว่าเป็นนายช่างใหญ่ที่ชื่อว่า กันนาร์ เขามีความสามารถในการสร้างเรือเหาะได้ ท่านอาร์มันโด้จึงคิดว่าควรจะให้เขามาที่เมืองเอลดิล เพราะคิดว่าท่านลูอิสน่าจะสนใจความสามารถของนายช่างผู้นี้” ดรูอิดสื่อสารรายงาน
“นายช่างใหญ่กันนาร์? ตาแก่หัวล้านบ้ากล้ามนั้นเอง ไม่คิดว่าจะหนังเหนียวแบบนี้ แต่พอคิดดูแล้วตาแก่นี้มีของเล่นซ่อนไว้เยอะจริง ๆ”
ลูอิสรู้สึกแปลกใจมากที่ได้ยินชื่อนี้อีก แต่ที่แปลกใจกว่าคือเรือเหาะจากที่ฟัง เรือเหาะที่พานายช่างใหญ่กันนาร์หนีเป็นเรือที่เขาสร้างขึ้นมาเองจริง ๆ
“ก็ว่าอยู่ทำไมพอตาแก่นั้นเห็นโพชั่นพลังงานถึงได้ตื่นเต้นขนาดนั้น” ลูอิสพึมพำคนเดียว
“พวกเขามาถึงหรือยัง” ลูอิสถาม
“พวกเขากำลังเข้ามาใกล้ที่แนวหน้าแล้วครับ อีกไม่ถึงชั่วโมงน่าจะมาถึงที่เมืองเอลดิล” ดรูอิดสื่อสารรายงาน
“ก็ดี ฉันจะไปพบพวกเขาหลังจากที่มาถึงแล้ว” ลูอิสพูด ก่อนจะยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์ ‘นายช่างใหญ่กันนาร์ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ถ้าตาแก่นั้นรู้จะมีสีหน้ายังไงกัน’
...
“นี่นะเหรอเองเอลดิล มันต่างจากเมืองชายแดนมากจริง ๆ ไม่คิดว่าจะดูเจริญแบบนี้” นายช่างใหญ่กันนาร์มองดูจากห้องนักบิน
ขณะเดียวกันผู้คนที่มาจากบนเรือด้วยก็พากันชะโงกหน้าออกไปดูเหมือง ไม่ใช่ว่าพวกเขาเห็นเมืองที่จะเจริญแล้วจะตื่นเต้น แต่เป็นเพราะพวกเขายินดีที่เป็นเมืองที่ยังมีผู้คนและชีวิตอยู่
ที่ผ่านมาพวกเขาร่อนเร่ไปบนท้องฟ้า ต้องหลบหนีพวกอันเดดที่บินได้ตลอดเวลาและไม่ว่าไปเมืองไหนที่พอจะมีหวัง พอไปและตรวจสอบก็ทำให้พวกเขาต้องสิ้นหวัง เนื่องจากเมืองที่ว่าแข็งแกร่งเหล่านั้นไม่มีเมืองใดต้านทานกองทัพอันเดดได้เลย
ดังนั้นพอเห็นเมืองเอลดิลก็เหมือนเห็นความหวังว่าอย่างน้อยก็ยังมีเมืองที่มีชีวิตอยู่
“พวกเขาจะไปจอดกันตรงนั้นสินะ” นายช่างใหญ่กันนาร์มองผ่านกระจกเห็นพื้นที่ลานกวางขนาดใหญ่ มันเป็นแค่ลานกว้างจริง ๆ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด ๆ เลย นอกจากสิ่งของจำนวนมากวางไว้ตามจุดต่าง ๆ ในนั้นยังมีเรือเหาะ 1 ลำจอดอยู่ ขณะที่มีอีกลำกำลังบินขึ้นไปส่งของยังทางด้านแนวระบบตะวันตก
“แปลกทำไมข้ารู้สึกว่ารูปแบบลานกวางนี้มันคุ้นตา” นายช่างใหญ่กันนาร์สังเกตเห็นก็ขมวดคิ้วมอง ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตากับรูปแบบนี้
“คุ้นตา แต่ว่ามีบางอย่างหายไป เดี๋ยวก่อน! ข้าคิดออกมาแล้ว นี่มันเหมือนพื้นที่ลานกว้างที่พวกศาสนจักรใช้กัน ตรงนั้นควรจะมีโบสถ์สิแล้วโบสถ์มันหายไปไหน หรือว่าไอ้ผู้ปกครองเมืองนี้มันรื้อโบสถ์ออกไปกัน” นายช่างใหญ่กันนาร์เผยสีหน้านึกออก ก่อนจะเริ่มหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“ฮ่า ๆ ดี ๆ ฉันชอบไอ้ผู้ปกครองเมืองเอลดิลนี้จริง ๆ ที่กล้ารื้อโบสถ์ออกไป แถมดูแล้วคงยึดเรือเหาะพวกศาสนจักรไว้ด้วย ฮ่า ๆ สมแล้วไอ้นักบวชแสงสกปรกพวกนั้น”
นายช่างใหญ่กันนาร์คิดว่าตัวเองต้องไปพบกับผู้ปกครองเมืองนี้สักครั้งหนึ่ง เพื่อขอบคุณที่ช่วยรื้อโบสถ์พวกนี้ เพราะเขานั้นไม่ชอบพวกศาสนจักรมานานแล้ว
เรือเหาะที่ลากเรือเหาะโลหะมานั้นพาพวกเขามาถึงยังพื้นที่ลงจอด ก่อนที่ทางเรือเหาะหมายเลข 2 จะถอดโซ่ที่ลากจูงออกและขยับเรือเหาะไปจอดที่ช่องหมายเลข 2 ประจำตำแหน่ง
นายช่างใหญ่กันนาร์เห็นว่ามาถึงที่จอดแล้ว แต่เพราะเรือเหาะตอนนี้ขับเคลื่อนด้วยตัวเองไม่ได้และยังเสียหายอยู่ จึงไม่สามารถลงจอดแบบปกติได้ แต่ก็ไม่เป็นปัญหากับนายช่างใหญ่กันนาร์ เขาทำการลดพลังงานของเครื่องลงอย่างเบามือ
ด้วยความเป็นมืออาชีพและเข้าใจกลไกของเหาะไม่ต่างจากเรือนร่างของภรรยา เขาจึงรู้ว่าจุดไหนควรผ่อนควรเร่ง เพื่อให้ที่รักของเขาพอใจ
“มาลงไปที่พื้นกันที่รัก” นายช่างใหญ่กันนาร์พูดกับเรือเหาะสุดรักของตน
เรือเหาะที่ลอยลำอยู่ก็ลดระดับลงจากความสูงที่ 200 เมตรอย่างช้า ๆ และมั่นคง ส่วนคนที่อยู่บนเรือเหาะก็พากันลุ้นด้วยใจที่สั่น ถ้าเรือเหาะล้วงลงไปคงไม่ต้องบอกว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไร
แต่ไม่ต้องรอให้ลุ้นนานในที่สุดเรือเหาะก็จอดลงที่พื้นพร้อมกับที่ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนที่ความรู้สึกต่อมานั้นคือความยินดีอย่างถึงที่สุด
พวกเขาถึงพื้นก็ปลอดภัยแล้ว
ทุกคนช่วยกันลงไปจากเรือเหาะ ก่อนจะพบว่ามีคนมารอพวกเขาอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก
“ยินดีต้อนรับสู่เมืองเอลดิลพวกคุณคงจะหิวมาก พวกเรามีอาหารไว้รออยู่ทางด้านนู้น พวกคุณสามารถไปทานได้” เจ้าหน้าที่เดินออกมากล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพาทุกคนไปทานอาหารกัน
คน 70 กว่าคนพากันดีใจ ก่อนจะเดินตามกลิ่นอาหารไป
นายช่างใหญ่กันนาร์ที่พึ่งจะลงมาทีหลัง เพราะต้องทำการปิดระบบเครื่องยนต์ในห้องเครื่องก่อน เพื่อไม่ให้มันเสียหายไปมากกว่านี้ แต่พอลงมาแล้วเขาก็ต้องพบว่ามีเจ้าหน้าที่สาวมารอเขาอยู่แล้ว
“คุณคือเจ้าของเรือเหาะและคนที่พาทุกคนหนีมาใช่หรือเปล่าครับ” เจ้าหน้าที่ถามอย่างสุภาพ
“ใช่แล้ว ข้าเองเธอมีอะไรหรือเปล่า” นายช่างใหญ่กันนาร์ถามกลับขณะที่เช็ดมือที่เลอะไปด้วย
“ผู้ปกครองเมืองเอลดิล นายท่านลูอิส แกริคเชิญท่านไปพบและร่วมทานอาหารค่ำที่คฤหาสน์ค่ะ” เจ้าหน้าที่สาวกล่าว ก่อนจะเชิญนายช่างใหญ่กันนาร์ขึ้นรถบรรทุกที่ถูกตกแต่งใหม่ให้เป็นรถโดยสารที่จอดอยู่ด้านหลัง
“ช่างเป็นรถที่หยาบคายซะจริง ๆ” นายช่างใหญ่กันนาร์กล่าวติ เพราะการที่เอารถบรรทุกมารับคนแบบนี้มันก็แปลกจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นนายช่างใหญ่กันนาร์ก็ยังขึ้นรถไป
ในเมื่อชวนไปกินอาหารเขาจะปฏิเสธไปทำไม เดินทางมานานอุดอู้และทนหิวมานาน ขอได้ไปกินของอร่อยและเจอกับผู้ปกครองเมืองนี้หน่อยก็ดี เขาต้องการจะกล่าวชมเรื่องรื้อโบสถ์ศาสนจักรแสงพิสุทธิ์อยู่พอดี
ระหว่างทางนายช่างใหญ่กันนาร์มองเมืองเอลดิลอย่างสนใจ อย่างแรกตอนนี้ไม่ใช่สภาวะปกติ เพราะมีกองทัพอันเดดกวาดล้างฆ่าไปทุกที่ แต่ผู้คนในเมืองกลับใช้ชีวิตด้วยความหวัง ทำเอาเขาอดมองไม่ได้ถึงความมีชีวิตชีวานี้
“เป็นเมืองที่น่าสนใจ คนที่ปกครองคงน่าสนใจยิ่งกว่า” นายช่างใหญ่กันนาร์อยากจะเจอชายที่ชื่อ ลูอิสเข้าไปอีก
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงคฤหาสน์แกริค พอรถหยุดลงนายช่างใหญ่กันนาร์ก็เห็นว่ามีคนแต่งกายด้วยชุดสูงศักดิ์รอเขาอยู่แล้ว แต่พอลงมาและมองชายผู้นั้นดี ๆ นายช่างใหญ่กันนาร์ถึงอึ้งจนหน้าเหวอไปทันที
“ไอ้หนู! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!” นายช่างใหญ่กันนาร์ชี้มืออ้าปากค้างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น
เด็กกวนประสาทที่เคยมาขอให้เขาซ่อมเรือเหาะมาโผล่อยู่ที่นี่
ในตอนนั้นเขาคิดว่าเด็กนั้นอาจจะตายไปแล้วหรือถ้าหนีได้ก็คงไม่ได้เจอกันอีก ใครจะคิดว่าโชคชะตาจะให้ตาแก่อย่างเขามาเจอกับเด็กคนนี้อีก
“ไงปู่! ไม่เจอกันนาน” ลูอิสยิ้มออกมา
“ไม่เจอกันนานบ้าอะไร มันแค่เกือบ ๆ เดือนเท่านั้นเอง ไอ้หนู...ทำไมเจ้าถึงโตไว้ขนาดนี้ ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ ทำไมเจ้าถึงแต่งตัวแบบนั้น แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่วะ!” ชายแก่ยิงคำถามไม่หยุด ถึงขนาดเขาอยากจะไปลากตัวเด็กตรงหน้าถามเลยด้วยซ้ำ
...