SN-ตอนที่ 11 การต่อสู้ครั้งแรก,ปลุกอันเดด
อัลดิช ได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้งในคืนที่เงียบสงัดที่ดูอันตราย และ จากนั้นเขาก็ได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้รวมถึงสกิลและค่าสถานะทั้งหมดที่มี
แน่นอนว่าในปัจจุบัน เขายังคงเลเวล 1 อยู่ และ ไม่สามารถประมาทศัตรูได้
อัลดิช ได้วิเคราะห์สถานการณ์ในทันที เมื่อพิจารณาจากภัยคุกคาม ระดับ E ที่รู้จักในชื่อ สไตร์เกอร์ มันเป็นสัตว์สี่เท้าที่มีรูปร่างเกือบจะเหมือนกับหมาป่า มีดีที่ความเร็วและเขี้ยวที่แหลมคม 2 อันขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากปากของมัน
อัลดิช รู้เรื่องนี้ เพราะในสถาบันฮีโร่แบล็ควอเตอร์ มีข้อมูล AA (หน่วยงานผู้วิวัฒ) ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะและวิธีจัดการพวกมัน
เพียงแต่น่าเสียดายที่มีเพียงสถาบันฮีโร่เท่านั้นที่สามารถจัดแจงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้ และ ใน แบล็ควอเตอร์ ข้อมูลเกี่ยวกับ วาแลน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับสูง ถูกจำกัดเป็นรางวัลสำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนสูงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปรระดับล่างนั้นสามารถพบโดยทั่วไปได้ เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้มีมากมายมันเลยสามารถค้นหาในข้อมูลออนไลน์เกี่ยวกับลักษณะและวิธีจัดการพวกมัน
การทดสอบภาคปฏิบัติที่ อัลดิช และ เพื่อนของเขาต้องทำนั้นมันเกี่ยวข้องกับการจัดการ วาแลน แบบจำลอง โดยที่มีโดรนคอยช่วยเหลือ ดังนั้นเขาจึงมีความพร้อมที่จะรับมือกับภัยคุกคามของวาแลนระดับล่าง
หนึ่งในการทดสอบเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการเบี่ยงเบนความสนใจของ สไตร์เกอร์ ให้อยู่ห่างจากเขตพลเรือน
อัลดิช มองดูหน้าจอที่ลอยอยู่ที่มุมวิสัยทัศน์ซึ่งแสดงค่าสถานะของเขา จากนี้จะเห็นได้ว่าแถบค่าสถานะไม่ใช่แถบเดียวที่เขามี เพราะมันยังมีแถบช่องเก็บของด้วย
อัลดิช ได้คลิกไปที่แถบนั้นทันที จากนั้นทุกอย่างก็เหมือนกับในเกม เพราะเขาเห็นไอเทมที่เขาต้องการ
-1x หนังสือแห่งความมืด
>>>
อัลดิชได้เลือก หนังสือแห่งความมืด ในใจของเขาและทันใดนั้นมันก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาด้วยอนุภาคสีเขียวที่ดูน่าขนลุก หนังสือเล่มนี้มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าหนังสือคู่มือเล่มเล็ก ๆ โดยปกของมันทำมาจากหนังที่เหี่ยวย่นและแห้ง และ มีใบหน้าที่กรีดร้องสลักอยู่ตรงกลาง
นี่เป็นหนังสือคู่มือของเนโครแมนเซอร์ฉบับเริ่มต้นโดยมันได้มอบสกิลพื้นฐาน 3 อัน จากจำนวนทั้งหมด 15 สกิล
อัลดิช ได้กินไอเท็มนี้อย่างไม่เต็มใจ โดยหนังสือก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวจาง ๆ จากนั้น รายการสกิลที่เขาสามารถเรียนรู้ได้ก็พลันปรากฏขึ้นในหน้าจอเล็ก ๆ ตรงหน้าของเขา แต่เขาแทบไม่ได้มองมัน เพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามีสกิลที่เขาต้องการอยู่ภายในนั้น
เขาได้เลือกสิ่งที่เขาต้องการในทันที
เส้นพลังงานสีเขียวที่น่ากลัวได้ส่องประกายจากหนังสือและเข้าสู่ร่างกายของ อัลดิช ผ่านเส้นเลือดที่แขนของเขาจนทำให้มันส่องแสงในความมืด
[กระสุนสายฟ้า,กลิ่นอายแห่งความตาย เลเวล 1,ปลุกอันเดด เลเวล 1 ได้รับการเรียนรู้]
โชคดีที่ อัลดิช มีแนวคิดพื้นฐานที่ดีเกี่ยวกับวิธีการใช้พลังของเขา ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือใช้พลังทางจิตในการสั่งการให้มันเปรียบเสมือนส่วนนึงของร่างกายของเขา และ เนื่องจากเขารู้ว่าตัวละครภายในเกมของเขาทำงานอย่างไร มันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะเริ่มทำงานอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
อัลดิชสั่นสะท้านเมื่อรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเขา มันได้ซึบซาบผ่านเส้นเลือดของเขาจากพลังงานของหนังสือ สิ่งนี้มันทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นราวกับเป็นส่วนหนึ่งกับมัน จากนั้นหนังสือก็สลายกลายเป็นฝุ่น และ ในขณะนั้น สไตร์เกอร์ก็พุ่งออกมาจากป่า
พวกมันดูเหมือนกับหมาป่าขนาดมหึมาที่มีเสื้อคลุมขนสีเทาที่หนาและกรามขนาดใหญ่ แต่ด้วยดวงตากลมโตและเขี้ยวที่แหลมคมของพวกมันทำให้พวกมันไม่ใช่สัตว์ป่าธรรมดา
พวกมันได้พุ่งมาข้างหน้าพร้อมกับเขี้ยวที่ยื่นออกมาและมองไปที่ อัลดิช อย่างหื่นกระหาย
อัลดิช ที่เห็นพวกมันเคลื่อนตัวเข้ามาเขาได้พุ่งไปที่ด้านข้างทันที สิ่งนี้ทำให้ สไตร์เกอร์ได้พุ่งชนเข้ากับต้นไม้อย่างรุนแรง จนทำให้พวกมันมึนงงไปชั่วขณะจากแรงกระแทก
ถึงกระนั้น อัลดิช ก็เกือบจะสั่นสะท้านกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะเขาเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ได้ถูกชนจนเอียงไปข้างหลังและล้มลงมา หากมนุษย์คนใดโดนการโจมตีนี้เช่นนี้เข้า อวัยวะภายในของพวกเขาย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัส และ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขี้ยวที่แหลมคมของพวกมัน
แม้ว่า อัลดิช จะเร็วกว่าสไตร์เกอร์แต่เขาก็ต้องให้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เพราะเนื่องจากเขามีสถานะ [ไม่มีสัมภาระ] ซึ่งมันใช้ได้เฉพาะตอนที่เขาไม่ได้สวมใส่อุปกรณ์ใด ๆ มันจึงทำให้เขามีบัฟความเร็วที่ว่องไวเป็นอย่างมาก และ ผลที่ได้คือ ความเร็วของเขาได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน และ แม้กระทั่งเมื่อเทียบกับคนธรรมดา เขาก็ยังมีสมรรถภาพทางกีฬาในระดับสูงสุดอีกด้วย
อัลดิช ได้ชี้มือที่ขาวซีดของเขาไปที่ สไตร์เกอร์ทั้ง 2 เช่นเดียวกับตัวละครเนโครแมนเซอร์ของเขา เขาได้ร่าย [กระสุนสายฟ้า]
[มานา : 15/15 > 11/15]
ก้อนเมฆสีขาวและสีน้ำเงินในฤดูหนาวสองลูกได้ปรากฏขึ้นที่ข้างมือของเขา จากนั้น สายฟ้าคู่สีฟ้าอ่อนก็ได้พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
สลักเกลียวสายฟ้าทั้ง 2 ได้ตกลงบนศีรษะของสไตร์เกอร์ในทันที แรงสั่นสะเทือนนี้ทำให้ สไตร์เกอร์ล่าถอยออกไปราวกับถูกยิงด้วยกระสุน แต่มันได้สะบัดศีรษะอย่างรวดเร็ว เพื่อปิดกั้นรอยแผลเป็นเหล่านั้น ดูเหมือนว่าความเสียหายนี้ยังไม่เพียงพอที่จะเจาะทะลุเข้าไปในสมองได้
“หืม?”อัลดิช ได้ตั้งข้อสังเกตุ
สไตร์เกอร์เหล่านี้ไม่ใช่ตัวธรรมดา โดยปกติ ภัยคุกคามระดับ E เช่นพวกมันสามารถจัดการได้ง่ายด้วยอาวุธทั่วไปและ [กระสุนสายฟ้า] ก็เพียงพอแล้วที่จะเปลี่ยนสมองของพวกมันให้กลายเป็นขี้เถ้าเมื่อพิจารณาจากความแรงในเกม แม้แต่หินขนาดใหญ่ก็ยังถูกทำลายจากการโจมตีอันนี้
แต่ดูเหมือนว่าสไตร์เกอร์เหล่านี้จะได้พัฒนากะโหลกศีรษะที่แข็งขึ้นเพื่อรองรับนิสัยที่ชอบพุ่งกระโจนของพวกมัน โดยมันได้ขจัดจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดจุดนึงของพวกมันออกไป เนื่องจากขนที่หนาบนร่างกายของพวกมันได้ก่อตัวขึ้นเป็นเกราะโดยธรรมชาติ
ในแง่ของตัวเกม สไตร์เกอร์ เหล่านี้ น่าจะมีเลเวลถึงระดับ 4 หรือ 5 ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อ อัลดิช ในสถานะนี้
และยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าสไตร์เกอร์เหล่านี้ได้จู่โจมเขาอย่างรุนแรง เขาจะต้องตายโดยทันทีหลังจากที่ HP ของเขาหมดลง
แต่ อัลดิช เชื่อมั่นในปฏิกิริยาและการตอบสนองของเขา
สไตร์เกอร์อีกตัวได้คำรามและพุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง
อัลดิช ได้หลบเลี่ยงไว้ก่อน โดยการกลิ้งไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตีของมันอย่างหวุดหวิด จากนั้นเขาก็ร่าย [กลิ่นอายแห่งความตาย] หรือให้แม่นยำกว่านั้น เขาได้เปิดใช้งานสกิลเป็นแบบพาสซีฟแบบสลับ
สิ่งนี้มันต่างจาก [กระสุนสายฟ้า] เพราะ [กลิ่นอายแห่งความตาย] เป็นความสามารถติดตัวที่ล้อมรอบอยู่ใกล้ร่างกายของ [กลิ่นอายแห่งความตาย] มันเป็นพลังงานด้านลบที่สามารถดูดกลืนพลังชีวิตของศัตรูได้
สิ่งนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเปิดใช้งานสกิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเลเวลสกิลที่ต่ำ แต่ถึงกระนั้นมันก็แลกมากับการที่มันสร้างความเสียหายได้ไม่มากนัก มันคล้ายกับว่าสิ่งนี้คือดาเมจต่อเนื่องที่สะสมอยู่ตลอดเวลาทีละเล็กละน้อย
โดยรัศมีพลังสีเขียวที่น่าสยดสยองได้ห้อมล้อมรอบตัวของ อัลดิช และ แผ่ขยายออกไปในระยะ 10 เมตร โดยระยะนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะครอบคลุม สไตร์เกอร์ทั้ง 2 ตัวนี้
สไตร์เกอร์ ได้สูดดมไอหมอกแปลก ๆ นี้อย่างระมัดระวัง แต่พอมันไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามอะไรมันก็ไม่ได้วิ่งหนีไป กลับกัน พวกมันได้ยืนอยู่ในหมอกและพยายามเดินวนรอบตัวของ อัลดิช
อัลดิช ได้สูดลมหายใจเข้าลึก และ พยายามรักษาปฏิกิริยาของเขาเอาไว้ เขาไม่สามารถใช้ [ปลุกอันเดด] ได้เพราะมันต้องการศพ ส่วนเหตุผลที่เขาเลือกคาถานี้มาเพราะเขามั่นใจว่าจะสามารถจัดการสไตร์เกอร์ด้วย [กระสุนสายฟ้า] ได้
แม้ว่าตอนนี้ อัลดิช จะต้องปรับกลยุทธ์ของเขาใหม่เพื่อเอาชนะสไตร์เกอร์ แต่ด้วยการหลบหลีกอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ผลของ [กลิ่นอายแห่งความตาย] ทำงานอย่างต่อเนื่อง และ ยังมี [กระสุนสายฟ้า] ที่สามารถสร้างความเสียหายที่ทำให้สไตร์เกอร์ช้าลง
อัลดิช ได้วางแผนต่อสู้โดยที่ไม่มีอันเดด แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าการมีอันเดดจะทำให้งานของเขาง่ายขึ้นมาก
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เนโครแมนเซอร์คืออะไร โดยเฉพาะเนโครแมนเซอร์ที่ไม่มีลูกน้องในกองทัพของพวกเขา?
และนั่นเป็นตอนที่ อัลดิช สังเกตุเห็นหลุมศพด้วยความประหลาดใจ
มันไม่ใช่หลุมศพที่แท้จริง แต่เป็นหลุมศพที่มีรูปกางเขนตั้งเอาไว้ ซึ่งมันได้บ่งบอกถึงการปรากฏตัวของศพที่เขาสามารถปลุกขึ้นมาได้ โดย ศพเหล่านี้มีเพียงเนโครแมนเซอร์เท่านั้นที่มองเห็นได้ และ มันก็เป็นทั้งภาพที่น่ายินดีและไม่น่ายินดีสำหรับเขา
2 หลุมฝังศพ
อัลดิช ทำหน้าบูดบึ้ง เขารู้ว่าพวกเขาเป็นใคร และ เขาไม่ชอบใช้เพื่อนที่ตายไปแล้วให้กลายเป็นอันเดดของเขา แต่ตอนนี้เขาต้องเอาตัวรอด เขาต้องเอาชีวิตรอดเพื่อแก้แค้นให้กับพวกที่มันสมควรตาย
อัลดิช ได้ยื่นมือออกมาและร่าย [ปลุกอันเดด เลเวล 1]
>>
[มานา : 15/15 > 6/15]
>>
เลเวล 1 นี้หมายความว่าเขาสามารถปลุกอันเดดได้ตั้งแต่เลเวล 1-10 เท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทั้งหมดมีความสัมพันธ์กับโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไร แต่การมีอยู่ของหลุมฝังศพแสดงว่ามันอยู่ในช่วงที่เลเวลสกิลของเขาสามารถใช้งานได้
ทันใดนั้นแขนที่ซีดเซียวทั้ง 2 ชุด ก็พุ่งออกมาจากพื้นดิน และ หลุมฝังศพที่อยู่เหนือพวกเขาก็จางหายไป
อัลดิช ขมวดคิ้ว เมื่อเห็น อดัม และ เอเลเน่ ลุกขึ้นมาจากพื้นดิน โดยร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยสีที่ซีดเซียว โดยเขารู้ว่าพวกเขาได้กลายเป็นซอมบี้ที่ดูพิลึกพิลั่น เพราะ เอเลเน่ มีรูช่องโหว่ที่ท้องของเธอ ในขณะที่อดัม ก็มีคอที่บิดจนสุด ดวงตาของพวกเขาไร้ชีวิตชีวา และ เปล่งเสียงคร่ำครวญของสัตว์ประหลาดที่ไม่ใช่มนุษย์ออกมา
เนโครแมนเซอร์ ไม่เหมือนกับนักบวช พวกเขาไม่ได้ชุบชีวิตคนตาย แต่พวกเขาได้ใช้ซากศพเพื่อสร้างสัตว์ประหลาด
โดยวิญญาณที่หลงเหลือในซากศพนั้นได้ตายไปแล้ว อย่างน้อยสิ่งนี้ก็เป็นไปตามข้อกำหนดของเกม
อัลดิช หวังว่ามันจะถูกต้อง เพราะเขาไม่เคยเชื่อโชคลางหรือเรื่องวิญญาณหลังความตาย แต่ถ้ามันมีอยู่จริง เขาก็ไม่ต้องการให้วิญญาณเพื่อนของเขาติดอยู่ในร่างเหล่านี้
สไตร์เกอร์ได้หยุดเดินทันทีเมื่อเห็นซอมบี้ทั้ง 2 พวกมันได้ประเมินภัยคุกคามอย่างรวดเร็ว
อัลดิช สัมผัสได้ถึง ‘สายใย’ ทางจิตใจที่เชื่อมโยงกับ อดัม และ เอเลเน่ และ เขามีสัญชาตญาณว่าเขาสามารถเคลื่อนย้ายพวกเขาไปโดยรอบได้โดยการสั่งการของเขา โดยในเวลานี้ เขาได้สั่งให้ อดัม และ เอเลเน่ ยืนอยู่เคียงข้างเขา เพื่อเป็นการปกปิดจุดบอดของเขา และ เมื่อเขาอยู่ด้วยกันแบบนี้ มันก็ทำให้เขาเกือบรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาได้กลับมาเป็นทีมเดียวกันอีกครั้ง
อัลดิช ส่ายศีรษะทันทีเพื่อเขานึกถึงการต่อสู้หลายครั้งที่พวกเขาได้ผ่านมาด้วยกัน แต่นั่นคืออดีต เพราะ อดัมและเอเลเน่ ได้เสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้ พวกเขาเป็นเพียงซอมบี้เท่านั้น และ สิ่งนี้ เซ็ท โซลาร์ และ เพื่อนของเขาจะต้องชดใช้
อัลดิช ได้ริเริ่มใช้ความคิดอีกครั้ง โดยยิง [กระสุนสายฟ้า] ไปที่สไตร์เกอร์ตรงหน้า
>>
[มานา : 6/15 > 2/15]
>>
คราวนี้เขาไม่ได้เล็งไปที่กะโหลกศีรษะที่แข็งกระด้างของมัน แต่เล็งไปที่ดวงตาแทน สิ่งนี้ทำให้ สไตร์เกอร์ได้ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่กระสุนสายฟ้าได้กระทบเข้าใส่ดวงตาสีเหลืองที่แวววาวของมัน สิ่งนี้ทำให้ของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากตาเล็กน้อย
ขณะที่สไตร์เกอร์ถูกปิดกั้นเช่นนี้ อัลดิช ก็วิ่งไปหา สไตร์เกอร์อีกตัว โดยล่อให้มันพุ่งเข้าใส่เขา จากนั้นเขาก็สั่งให้ อดัมและเอเลเน่ พุ่งเข้าไปโจมตีสไตร์เกอร์ที่ตาบอดอยู่
อดัมและเอเลเน่ ได้คำรามขณะวิ่งไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะในฐานะซอมบี้ พวกเขามีสถานะทางกายภาพที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งยังมีร่างกายที่เป็นอมตะนอกเสียจากการได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ และ กลิ่นอายของความเป็นพิษเน่าเสียของพวกเขาก็ทำให้พวกเขากลายเป็นนักสู้แนวหน้าที่ดีกว่า อัลดิช
โดยรวมแล้วทั้งคู่มีเลเวล 3 และ ทั้ง 2 คน สามารถเอาชนะ สไตร์เกอร์ ตัวเดียวได้อย่างง่ายดาย หาก อัลดิช ได้ดึงความสนใจของ สไตร์เกอร์อีกตัวไป
อดัม และ เอเลเน่ ได้จัดการกับสไตร์เกอร์อีกตัวโดยการฉีกพวกมันอย่างทารุณราวกับสัตว์ประหลาด พวกเขาได้ล้มตัวลงบนสไตร์เกอร์และใช้มือกรีดหนังของมันอย่างดุเดือด แม้กระทั่งใช้กระดูกของพวกเขากรีดแทงเข้าไปในเนื้อของพวกมันโดยที่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอะไร
ส่วน อัลดิช เขาได้เล่นเกม วิ่งไล่จับกับสไตร์เกอร์อีกตัว โดยเขาได้พยายามหลบหลีกการพุ่งเข้าใส่ และ หลบเลี่ยงการโจมตีจากฟันกรามของมันด้วยความไวที่เหนือกว่า เขาได้ทำสิ่งนี้จนกระทั่งสไตร์เกอร์อีกตัวได้ส่งเสียงร้องคำรามออกมาก่อนที่จะสิ้นใจตาย
>>
[กำจัดสไตร์เกอร์! +10 EXP]
[แถบ EXP : 0/10 > 10/10]
[เลเวลอัพ!]
[เลเวล 1 > 2]
[ได้รับแต้มกระจายค่าสถานะ + 5]
>>
อัลดิช พยักหน้าให้กับตัวเอง โดยรู้สึกได้ถึงสไตร์เกอร์ที่พุ่งเข้ามาหาเขา สิ่งนี้ทำให้ อัลดิช ได้ตั้งรับและจับปากของมันด้วยมือเปล่าของเขา เขาพยายามเอามือจับกรามของมันเพื่อป้องกันไม่ให้มันง้างปาก
สไตร์เกอร์ ได้เบิกตากว้างเมื่อเห็นพลังที่อัลดิชแสดงออกมา
>>
[กระจายแต้มค่าสถานะ…]
[ความแข็งแกร่ง : 6 > 11]
อัลดิช ได้เพิ่มค่าสถานะความแข็งแกร่งจาก 6 เป็น 11 สิ่งนี้มันทำให้เขารู้สึกแข็งแกร่งขึ้นแม้ว่าคลาสของเขาจะไม่มีค่าความสัมพันธ์ที่ดีกับความแข็งแกร่งก็ตาม แต่เขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่ได้ลงทุนในค่าสถานะนี้ไป
อัลดิช ได้เหวี่ยงสไตร์เกอร์ออกไปราวกับผู้เชี่ยวชาญในการขว้างปา เขาได้ส่งมันไปชนต้นไม้ขนาดใหญ่จนเกิดการแตกร้าวในทันที
โดยปกติแล้ว คลาสของเขา ได้ใช้เวทย์มนตร์เป็นหลักก็จริง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องละเลยสถานะทางกายภาพของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่ฮีโร่มีความเร็วที่เร็วกว่าที่สายตามนุษย์จะมองทันได้ สิ่งนี้มันคงรวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะตอบสนองและปล่อยสกิลได้ทัน
“เอาล่ะนะ”อัลดิช กล่าวขณะที่เขาหักคอและข้อนิ้วของเขา จากนั้นเขาก็เดินไปข้างหน้าอย่างสบาย ๆ ขณะที่ สไตร์เกอร์ได้พยายามลุกขึ้นมาจากการโจมตี
สไตร์เกอร์ ได้มองดูอัลดิช จากนั้น ก็เห็น อดัม และ เอเลเน่ ตามมาข้างหลัง ร่างของพวกเขาในเวลานี้ เต็มไปด้วยเลือด ที่มาจาก เพื่อนของมัน สิ่งนี้ทำให้ สไตร์เกอร์ตัวนี้สั่นด้วยความกลัวทันที
“มันถึงเวลาแล้วที่แกกับเพื่อนของแกจะได้กลายเป็นส่วนนึงของพวกเรา”อัลดิช กล่าวออกมา