วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0066
บทที่ 24 นักบุญหญิง (1)
* * *
‘ดารากรขึ้นสวรรค์’ ถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่มาก ชั่วชีวิตหนึ่งอาจจะได้เห็นแค่ครั้งเดียว
จึงเป็นเหตุผลที่ซอจีอา ผู้กำลังเฝ้ากระท่อมให้คังซอนฮู ถึงกับโยนเฮดโฟนที่สวมไว้ตลอดเวลาทิ้ง และรีบแหงนหน้ามองฟ้า
เสียงเอะอะดังมาจากด้านในเบสแคมป์
ท้องฟ้ากำลังสั่นสะเทือน เป็นเหตุการณ์ใหญ่ไม่ต่างจากเอล โรคร่า เบลล่า
ดวงดาวขยับตำแหน่งเพื่อสร้างช่องว่าง ณ ใจกลาง
เสาลำแสงต้นหนึ่งกำลังทะลวงผ่านความมืดในจุดห่างไกล
ไม่สิ ไม่ใช่เสาลำแสง แต่เป็นพายุแสงต้นใหญ่
เพล้ง!
ชาโซฮีทำแก้วหลุดมือ
ตกใจแรกก็คือ เธอเพิ่งเคยเห็นหูของซอจีอา และเมื่อหันไปเห็นเสาลำแสง ชาโซฮีลุกพรวดจากเก้าอี้ทันที
“นั่นมัน… อะไร?”
ซอจีอาไม่รู้ว่าตนควรอธิบายสถานการณ์ตรงหน้าให้เพื่อนชาวโลกฟังอย่างไร
“คุณโซฮี… ฉันคิดว่าเพื่อนของคุณก่อเรื่องอีกแล้ว”
“ถึงหมอนั่นจะไม่ได้เพิ่งเคยก่อเรื่องแค่ครั้งสองครั้ง แต่ครั้งนี้มัน… ยิ่งใหญ่ไปหน่อยไหม? เสียสติไปแล้วหรือไง”
“…ใช่เลย เสียสติมาก”
พวกเธอเอาแต่แหงนมองท้องฟ้า
ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากคังซอนฮูออกผจญภัยไปทางเหนือ
และในทิศเดียวกัน ดารากรตนหนึ่งได้ขึ้นสวรรค์ เป็นระยะทางที่คังซอนฮูน่าจะเดินทางไปถึงพอดี
นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ?
ซอจีอาไม่คิดเช่นนั้น
จินซอยอนวิ่งหน้าตั้งออกมาจากหมู่บ้าน
“จ…จีอา! คุณซอนฮูยังไม่กลับมาใช่ไหม”
ซอจีอาพยักหน้า จินซอยอนรีบเงยหน้ามองไปทางทิศเหนือ เป็นจุดที่ลำแสงกำลังผงาด
“เป็นฝีมือคุณซอนฮูสินะ”
ซอจีอาพยักหน้าอีกครั้ง
“…มันคืออะไร”
“…ขึ้นสวรรค์”
“หา? คุณซอนฮูขึ้นสวรรค์?”
ซอจีอาส่ายหน้า คนพวกนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับต่างโลกเลยจริงๆ
เธอไม่ชอบเล่าเรื่องสมัยอดีต จึงทำเพียงปิดปากเงียบ
จากนั้นก็หันไปมองเส้นขอบฟ้า
ภูเขาหิมะในจุดห่างไกล
เกาะด้านบนเปิดเผยตัวเองอีกครั้ง
เกาะที่เห็นได้เพียงเงารางเพราะซ้อนทับกับตำแหน่งดวงจันทร์พอดี เกิดเป็นฉากช่างอันงดงามตระการตา
เมื่อราวร้อยปีก่อน ซอจีอาเคยเห็นเกาะดังกล่าวเผยตัวชั่วขณะครั้งหนึ่ง
“คุณนักวิจัย”
“หือ? นึกอะไรออกแล้วใช่ไหม”
“เคยได้ยินตำนานอัศวินแห่งท้องฟ้าของต่างโลกไหม”
“อ้อ… เคยได้ยินจากคุณซอนฮู… เขาเล่าว่า ฟังมาจากแวมไพร์ที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน”
ซินก้าเล่าให้ฟังแล้วสินะ
ซอจีอาพยักหน้ารับ
จากนั้นก็หวนนึกถึงความทรงจำเก่า
อัศวินแห่งท้องฟ้าในตำนาน ผู้ลงมาจากเกาะท้องฟ้าเพื่อทวงคืนความยุติธรรม
นั่นคือช่วงเวลาที่มหาจักรพรรดิถูกสังหาร
ซอจีอามองไปยังเกาะท้องฟ้าอันเลือนรางด้วยสีหน้าซับซ้อน
* * *
ฉันเอาแต่จ้องมองของขวัญที่ดารากรมอบให้
ลิลี่ด้านหลังพูดเสียงค่อย
“มันคือ?”
อัญมณีรูปไข่ที่ส่องแสงสีส้ม
สมัยยังอยู่ในความดูแลของนักแปรธาตุ ฉันเคยเห็นมัน
แต่ชายผมสีม่วงต้องการเป็นสุริยเทพ จึงขโมยอัญมณีไปจากบ้านนักแปรธาตุ
ในเวลานั้น ฉันเห็นเต็มสองตา นักแปรธาตุแสร้งทำเป็นไม่เห็นการขโมย
“…อุ่นจัง”
ลิลี่กล่าวพลางเลื่อนมือเข้าไปใกล้
“นี่คือศิลาสุริยัน”
“ศิลาสุริยัน? เจ้ารู้จัก?”
ฉันทำได้เพียงพยักหน้ารับ
เพราะสิ่งที่รู้มีแค่ชื่อของมัน และรู้ว่าหนึ่งในประโยชน์คือการนำมาใช้เป็นวัตถุดิบแปรธาตุ
“ของมีค่าสินะ”
แค่มองผิวเผิน ไม่ว่าใครก็คงดูออกว่าเจ้านี่ไม่ธรรมดา
ฉันเหยียดแขนเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง และสัมผัสถึงความอบอุ่นขณะใช้มือคว้าไว้
แตกต่างจากความอบอุ่นของเปลวไฟโมห์สmohs
วัตถุปริศนาชนิดนี้ช่วยมอบความอุ่นที่แผ่ซ่านไปยังเส้นเลือดทั่วร่างกาย
ฉันแหงนหน้ามองฟ้า
“ขอบคุณมาก!”
เธอได้ยินเสียงของฉัน?
ดารากรที่เพิ่งขึ้นสวรรค์ไปเมื่อสักครู่ คล้ายกับส่องแสงกะพริบตอบรับ
จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ฉันไม่สน นั่นคือสิ่งที่ฉันเลือกจะเชื่อ
เพราะในโลกนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้
เสียงคำรามของเรลิกซิน่าดังขึ้น
“กรร!”
“ทำอะไรสักอย่างกับเสียงนี้ได้ไหม ข้าตัวชาทุกครั้งที่ได้ยิน”
ใครบางคนกล่าวไว้ว่า เสียงคำรามของเสือมีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อของสิ่งมีชีวิตเกร็งไปชั่วขณะ ยังไม่มีงานวิจัยวิทยาศาสตร์รองรับเกี่ยวกับผลจากคลื่นความถี่ จึงเชื่อกันว่าเป็นอิทธิพลทางจิตใจ
เป็นธรรมดาที่ลิลี่จะกลัวเสียงคำรามของเรลิกซิน่า
จากจุดสีดำเล็กๆ เรลิกซิน่าขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นรายละเอียดชัดเจน เราสองคนทำเพียงยืนมองโดยไม่พูดอะไร
“ไปกินอะไรมาอีกแล้ว”
“กรร!”
ปากเต็มไปด้วยเลือด
ไปล่าอะไรมากิน? แต่เท่าที่รู้ มันอิ่มแล้วแน่นอน
ไม่ได้พูดเล่นนะ ได้เห็นแบบนี้แล้ว ฉันอยากจะใช้เรลิกซิน่าแทนหมาล่าเนื้อจริงๆ
“…ไปกันเถอะ ลิลี่”
“อื้อ”
พวกเราขึ้นขี่หลังเรลิกซิน่า กระเป๋าถูกย้ายไปมัดกับอานม้าอย่างแน่นหนา
หลังจากตบเท้า เรลิกซิน่าเริ่มตะกุยผ่านผืนดินที่ยังร้อนขึ้นไปทางเหนือ
คราวนี้ไม่ใช่ทิศเหนือแบบคลุมเครืออีกต่อไป
เหนือเทือกเขาอันห่างไกล เกาะท้องฟ้าที่ซ้อนทับกับดวงจันทร์
นั่นคือเป้าหมายของฉัน
ท่ามกลางค่ำคืนอันยาวนาน หลังจากวิ่งไปได้สักพัก ฉันสัมผัสได้ว่าหัวของลิลี่เอนมาชนหลัง
ช่วงเวลาที่อยู่ในหอคอยเต็มไปด้วยความกดดัน โดยเฉพาะความเครียดเมื่อรู้ว่าดาวดำเกือบจะทำลายโลก แม้แต่ฉันที่เชื่อใจวีรชนคนดังกล่าว ก็ยังมิอาจสงบจิตใจได้หนักแน่น
“เหตุใดเจ้าถึงดูผ่อนคลายนัก”
เสียงลิลี่ดังขึ้น
ฉันจักจี้เล็กน้อย เพราะคล้ายกับเสียงถูกส่งผ่านหน้าผากลิลี่มาถึงแผ่นหลังของฉันโดยตรง
ดูเหมือนลิลี่คิดว่าฉันกำลังผ่อนคลาย
“ถ้าฉันตัวคนเดียว คงจะผ่อนคลายได้มากกว่านี้ แต่มีเธออยู่ด้วย จึงยังกังวลเล็กๆ”
“ทำไม”
“สมัยที่เคยเป็นนักผจญภัย ฉันชอบทำงานคนเดียวมากกว่า ไม่ว่าสถานที่นั้นจะอันตรายแค่ไหน… การอยู่คนเดียวทำให้ฉันกล้ารับผลกระทบจากการตัดสินใจของตัวเอง”
แต่ตอนนี้ฉันได้รับรู้ว่า ความคิดในทำนอง ‘ถ้าจะตาย ก็แค่ตาย’ มันใช้ไม่ได้
“ไม่ต้องกังวล ผู้นำทางจะไม่เป็นภาระ”
ลิลี่พูดด้วยเสียงกึ่งละเมอ ฉันผงกศีรษะรับขณะแหงนหน้ามองฟ้า
เรลิกซิน่ายังคงวิ่งอยู่บนทุ่งกว้างร้อนๆ ที่ยังไม่กลับมาเย็น ผืนนภาด้านบนไม่มีเมฆแม้แต่หนึ่งก้อน หมู่ดาราจำนวนมากกำลังพร่างพราว
จากบรรดาทั้งหมด ดารากรที่เพิ่งขึ้นสวรรค์ลอยอยู่ด้านหน้าฉัน เธอกำลังส่องแสงสีฟ้า
หอคอยที่สร้างโดยคนโบราณ, เรื่องราวเบื้องหลัง และดาวดำ
ฉากการขึ้นสวรรค์ของดาวดำผู้อดทนมาเนิ่นนาน
เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันอดยิ้มไม่ได้
“สุดยอดไปเลยนะ ว่าไหม”
ลิลี่พยักหน้า ไม่รู้ว่าเป็นการตอบหรือสัปหงก แต่ฉันไม่สนใจ
ในหัวคิดแต่เรื่องตั้งแคมป์ทันทีที่หลุดพ้นจากเขตความร้อน
ด้วยความสัตย์จริง ตาฉันก็ใกล้จะปิดแล้ว
ฉันสัมผัสด้ามโคลด์ฟรอสต์ที่ห้อยตรงเอวแผ่วเบา จากนั้นก็ปล่อย
หากไม่จำเป็น ก็ไม่อยากพึ่งพาพลังการฟื้นตัวของโคลด์ฟรอสต์สักเท่าไร
การตั้งแคมป์คืออีกหนึ่งความสนุกสนานของการสำรวจ
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เรลิกซิน่าวิ่งพ้นเขตความร้อน
“…โว้ว!”
ทันทีที่ข้ามเขต เรลิกซิน่าเร่งความเร็วจนน่าตกใจ
เรลิกซิน่าที่วิ่งได้ค่อนข้างเร็วแล้วในเขตความร้อน กลับคืนความเร็วปรกติทันทีที่เท้าสัมผัสทุ่งกว้าง
ไม่สิ อาจเร็วยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ดูเหมือนว่าวิญญาณเสือขาวจะคุ้นเคยกับร่างใหม่แล้ว
“โฮ่…”
“กรร!”
“ฉันดีใจที่ร่างของม้าตัวนี้เข้ากับนายได้”
“กรร!”
ช่วงแรกเป็นผืนทรายอันแห้งแล้ง วิ่งไปสักพักจึงเริ่มเห็นหญ้าบางตา รวมถึงกลุ่มต้นไม้ที่หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
โดยไม่ลดความเร็ว ฉันพยายามมองหาแนวโขดหิน ต้นไม้ใหญ่ หรือถ้ำที่ไม่สะดุดตาเกินไป
แต่ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง ที่ราบกว้างกว่าที่คิด และฉันยังไม่พบจุดตั้งแคมป์
เรลิกซิน่าไม่เหน็ดเหนื่อย และยังคงรักษาความเร็วอันน่าทึ่งไว้ตลอดเวลา ฉันเลยคิดจะให้มันวิ่งต่อไปอีกสักนิด จากนั้นค่อยพักยาว
ทว่า
“…ลิลี่”
“อื้อ…”
“ลิลี่ ขอโทษที่ต้องปลุก แต่ฉันอยากให้เธอช่วยดู”
“ดู?”
ลิลี่ที่เผลอหลับไปอีกครั้ง เงยหน้าขึ้น
“ไหน?”
“ตรงนั้น”
สิบเอ็ดนาฬิกาจากหัวม้า แสงจุดหนึ่งกำลังสว่างไสว
“แสงไฟใช่ไหม”
“ใช่…”
“แสงอะไร”
“อาจจะเป็นนักผจญภัยก็ได้ เพราะเจ้าสั่นระฆังเอล โรคร่า เบลล่าไปแล้ว”
“เกี่ยวอะไรกัน”
“ผู้คนจำนวนมากได้รับแรงบันดาลใจ โดยเฉพาะผู้ชาย จากบรรดาทั้งหมด พวกที่เสียสติและชอบเสี่ยงตายคงเริ่มออกเดินทางทันที”
โลกในยุค 1,800 ก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ
ฉันดีใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกราวกับได้รับการยืนยันว่า โลกใบนี้เหมาะแก่การผจญภัยอย่างยิ่ง
“ถ้าเข้าไปใกล้จะโดนด่าไหม”
“…”
โดยไม่ต้องหันหลัง ฉันจินตนาการได้ว่าลิลี่กำลังทำหน้าแบบไหน จึงเผลอยิ้มออกมา
“…ไม่รู้เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะเป็นมิตรไหม และยิ่งไปกว่านั้น”
ลิลี่ลูบไล้แผงขนเรลิกซิน่า
“ด้วยม้าแบบนี้ พวกเขาจะไม่คิดว่าเจ้าเป็นเดธไนท์เอาหรือ? อย่าลืมว่าม้าที่เจ้ากำลังขี่ ถูกขโมยมาจากไวลด์ฮันต์”
นั่นก็จริง
แต่ฉันยังคงไม่ลดความสงสัย และทางนั้นก็คงสัมผัสถึงตัวตนของเราแล้วเช่นกัน
“…อยากเข้าไปทักทายจัง อยากรู้ว่านักผจญภัยที่นี่เขาใช้ชีวิตกันยังไง”
“ถ้ายืนกรานขนาดนั้น… ในหมู่นักผจญภัยจะมีกฎสากลที่ใช้ร่วมกันอยู่”
“กฎ?”
“ลงจากม้าก่อนที่จะเห็นหน้าอีกฝ่าย ค่อยๆ เข้าไปจากด้านหน้า ห้ามอำพรางตัวเด็ดขาด”
ลิลี่เล่าต่อ
“ถ้าทำตามกฎนี้ หมายความว่าเจ้ากำลังเข้าหาแบบเป็นมิตร”
“เป็นกฎที่แปลกดี”
“ได้ยินว่านักผจญภัยทางไกลมักแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน รวมไปถึงข้อมูล จึงมีน้อยรายที่จะสู้กัน”
หงึก
เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลให้ไม่เข้าไป
หลังจากเห็นท่าทีของอีกฝ่าย ค่อยตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ
ถ้าโชคดีก็คงได้ฟังเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นของต่างโลก พวกเราจะผ่านค่ำคืนไปด้วยกันพลางแลกเปลี่ยนข้อมูล
ไม่ว่าม้าของฉันจะน่ากลัวสักเพียงใด แต่ถ้าทำตามที่ลิลี่บอก นั่นคือสัญญาณของการเข้าหาแบบเป็นมิตร
ฉันลงจากม้าก่อนที่จะเห็นหน้าอีกฝ่าย จากนั้นก็รีบตรวจสอบว่าทางนั้นมีอาวุธจำพวกธนูหรือไม่
“…ดูเหมือนจะมีแค่คนเดียว”
ไม่ได้มาเป็นกลุ่ม
ยิ่งเข้าใกล้ บรรยากาศก็ยิ่งชัดเจน
แสงสว่างไม่ใช่กองไฟ แต่เป็นแสงสีขาวที่ลอยอยู่กลางอากาศ ทราบได้ทันทีว่านั่นคือพลังจากภาษารูน
ไฟแห่งการผจญภัยในใจยิ่งลุกโชน ฉันเชื่อว่าหากแสดงความเป็นมิตรให้เห็น จะต้องได้ฟังเรื่องราวที่น่าสนุกแน่นอน
จนกระทั่งเข้าสู่ระยะที่เห็นหน้ากันและกันชัดเจน แต่อีกฝ่ายยังคงหันหลังให้
เป็นสตรีที่แต่งกายในชุดนักบวช คล้ายกับคณะแสวงบุญของศาสนจักรเทวราชา แต่ดูหรูหรากว่าเล็กน้อย ค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ใช่นักบวชทั่วไป
“โฉมวิญญาณแปลกมาก”
ลิลี่พูดขึ้น
เธอจะมองเห็นเพียงรูปร่างของโฉมวิญญาณ แต่ไม่สามารถรับรู้ถึงแก่นแท้
เมื่อไม่นานมานี้ ลิลี่เพิ่งได้รู้ว่าโฉมวิญญาณของซอจีอาคือนักพเนจร
ใต้ผ้าคลุมหน้า ผมสีแดงยาวอันเป็นเอกลักษณ์ของลูกหลานดวงดาวห้อยลงต่ำ
เธอกำลังแหงนมองฟ้า
ลิลี่หรี่เสียงกระซิบ
“…มื้ออาหาร”
กล่าวกันว่า ลูกหลานดวงดาวจะอิ่มท้องได้ด้วยการรับพลังงานจากแสงดาว
เป็นเผ่าพันธุ์ที่สะดวกสบายจริงๆ
ฉันไม่รู้วัฒนธรรมของต่างโลก ไม่รู้ว่าการทักทายอย่างสุภาพของคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากัน ต้องทำเช่นไร
ในแง่นี้ ลิลี่เก่งกว่าฉันมาก
ฉันจึงหันไปถามด้วยสายตา
ลิลี่กระแอมแห้งก่อนจะทักทายอีกฝ่าย
“ขอให้องค์เทวราชาคุ้มครองเจ้าตลอดการเดินทาง… เป็นสาวกของศาสนจักรเทวราชาใช่ไหม”
เมื่อเทียบกับในยามปรกติ คำทักทายและน้ำเสียงของลิลี่ฟังดูโบราณอย่างคาดไม่ถึง
จากนั้น สตรีคนดังกล่าวลดศีรษะลงและหันหลังกลับมามอง
“…”
แน่นอนว่าฉันไม่พูดอะไร ลิลี่ก็เช่นกัน แค่ก้าวถอยหลังเล็กน้อย
ดวงตาเรียวยาวและโค้งมน ม่านตาบรรจุจักรวาลเอาไว้ตามแบบฉบับลูกหลานดวงดาว
ถ้ามองแค่ตรงนี้ อีกฝ่ายแทบไม่แตกต่างจากนักแสวงบุญคนที่เดินเข้ามาทักฉัน
ทว่า
ในปากกำลังคาบมีด
“…หนีกันไหม”
“…”
แต่ผิดคาด ในดวงตาของเธอปราศจากความมุ่งร้าย เพียงเจอความสงสัยไว้เล็กน้อย
นั่นยิ่งทำให้ฉันไม่เข้าใจ
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (3/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel