ตอนที่ 134 การเข้าซื้อกิจการสำเร็จ
ซูข่านและคนอื่นๆก็ได้เดินเข้ามาในร้านอาหาร การตกแต่งที่นี่แตกต่างกับที่ซูข่านเคยมาในชาติก่อน มันยังดู มีความเก่าและสวยงามไปพร้อมกัน
"คุณซูครับ"
สูเจิ้งเหมาเรียกซูข่านที่กำลังเดินนำอยู่
"คุณซูต้องการพบกับผู้จัดการโรงงานด้วยไหมครับ"
"ไม่เป็นไร"
ซูข่านส่ายหัว เขายังไม่อยากที่จะปรากฎตัวต่อหน้าคนทั่วไปตอนนี้ เขาอยากให้สูเจิ้งเหมากับคนอื่นๆ เป็นตัวแทนของเขาในการทำเรื่องต่างๆ
ซูข่านได้พูดกับสูเจิ้งเหมาว่า
"เหลาสูต้องเป็นคนรับผิดชอบในการเจรจาเรื่องนี้ นายต้องให้ความสำคัญกับคนงานในโรงงานมากที่สุด"
"คนงานเหรอครับ?"
สูเจิ้งเหมาทำหน้ามึนงง
ซูข่านพยักหน้าของเขา
"ใช่แล้ว คนงานพวกนั้นเป็นคนที่มีฝีมือในการทำงาน บางคนอาจจะเป็นนายช่างอาวุโส บางคนอาจจะเป็นช่างเชื่อมที่มีประสบการณ์มากกว่าสิบปี ถ้าได้โรงงานมา คนพวกนี้จะจำเป็นอย่างมาก"
"แต่ถ้าข้อเสนอของเขาไม่ให้คนงานพวกนี้มา เราก็ไม่ต้องไปซื้อโรงงานเขา"
ซูข่านคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า
"ส่วนข้อเสนอของทางเรา"
"ใครที่ไม่อยากจะทำงานต่อหลังจากที่ได้เปลี่ยนเจ้าของโรงงานก็ไม่ต้องยื้อพวกเขา แต่ใครที่จะทำงานกับพวกเราต่อ เราจะขึ้นค่าแรงให้ 30%"
ซูข่านคิดว่าจะขึ้นเงินเดือนเพื่อซื้อใจคนงานพวกนี้
"เยอะไปไหมครับ"
สูเจิ้งเหมาถาม
"ไม่เยอะหรอก"
ซูข่านส่ายหัวของเขา
"ถ้าค่าแรงไม่เยอะพอ คนงานก็จะขี้เกียจที่จะมาทำงานต่อ ไหนจะเปลี่ยนเจ้าของโรงงาน ไหนจะเงินเดือนเท่าเดิม กำลังใจของพวกเขาแทบจะไม่มีแล้ว"
"ได้ครับ"
สูเจิ้งเหมาตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
ซูข่านได้กระตุ้นสูเจิ้งเหมาครั้งสุดท้าย
"จำไว้ ห้ามให้พวกเขาเอาเปรียบเราเด็ดขาด แล้วถ้าพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติตามข้อเสนอของเราได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเจรจาต่อให้เสียเวลา"
"ได้ครับคุณซู ไว้ใจผมได้เลย ผมจะจัดการออกมาให้ดีที่สุด"
สูเจิ้งเหมาหัวเราะ
ซูข่านได้โบกมือให้สูเจิ้งเหมา เขากำลังจะไปทำการเจรจาซื้อกิจการด้วยตัวเขาเองเป็นครั้งแรก
ซูข่านได้เดินไปที่ชั้นสองและมองไปที่หน้าต่าง เขาเห็นเด็กหนุ่มยังคงพูดคุยกับชาวต่างชาติอย่างไม่ตื่นตระหนก
เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความกล้าของเด็กคนนี้
ไม่แปลกใจเลยที่คนๆนี้ในอนาคตถึงสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง เขามีความกล้าหาญมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก มีคนที่รู้จักอีก 2-3 ที่เป็นเหมือนกับเด็กคนนี้
ซูข่านและคนอื่นๆได้นั่งที่ริมหน้าต่าง พวกเขาสั่งอาหารมาทานกัน 2-3 จาน และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ก็คือปลาจากทะเลสาปแห่งนี้ กินคู่กับเหล้าท้องถิ่นของซูโจวและหางโจว
อาหารอร่อยกับบรรยากาศที่ดี เป็นความรู้สึกดีที่สุดแล้วตั้งแต่ได้ออกมาจากหนานจิง
ไม่นานประมาณ 1 ชั่วโมงสูเจิ้งเหมาก็เข้ามา
สูเจิ้งเหมามองไปที่หน้าของซูข่านและพูดด้วยรอยยิ้ม
"คุณซูช่างเป็นคนที่สุดยอดอะไรแบบนี้"
ซูข่านยิ้มเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้ม
"ถ้านายมีเวลาว่างนายช่วยติดต่อจางหม่านที่เซียงเจียงให้หน่อย บอกให้เธอลงทะเบียนโรงงานพวกนี้ เราจะจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมว่านเซี่ยง โดยจะให้โรงงานผลิตสินค้าประเภทเดิมออกมา แต่จะรับทำ OEM ให้กับคำสั่งซื้ออื่นๆอีกด้วย"
โรงงานในประเทศจีนขึ้นชื่อระดับโลกอยู่แล้ว พวกเขารับ OEM สินค้าให้กับแบรนด์ดังๆทั่วโลก
พวกโรงงานที่ชื่อดังระดับโลกก็ได้เม็ดเงินมหาศาลให้กับการรับ OEM สินค้าพวกนี้
ซูข่านไม่ได้อยากให้โรงงานของเขาทำกำไรมหาศาลแบบนั้น เขาคาดหวังแค่จะเปลี่ยนจากโรงงานที่ขาดทุนพวกนี้ให้มีกำไรและสามารถยืนได้ด้วยตัวเองแค่นั้น
ยุคสมัยนี้อุตสาหกรรมในจีนยังคงล้าหลังเกินไป พวกเขาพยายามที่จะสร้างวัตกรรมบ้าๆให้กับองค์กรของตัวเอง พวกเขาขาดความคิดสร้างสรรค์อย่างมาก
ไม่แปลกใจที่ทำไมถึงขาดทุนต่อเนื่องกินเวลาหลายปีจนต้องขายกิจการ รูปแบบการลงทุนต่อเนื่องของยุคนี้ก็แทบจะไม่มีผลต่อสินค้า ผลผลิตใหม่ๆก็ไม่มี ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่แบบเดิมๆ
พอลูกค้าเริ่มเบื่อ สินค้าก็เริ่มขายไม่ออก ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆก็ไม่ได้ผลิตออกมา โลกในยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตก็จะลำบากประมาณนี้
บางบริษัทอาจต้องสูญเสียเงินเป็นร้อยๆล้านหยวนทุกปี มูลค่าของบริษัทก็ไม่ได้เติบโตไปอย่างที่ควร
ในยุคนี้อุตสาหกรรมในจีนเหมือนกับยุคมืด
อย่างไรก็ตามมักจะมีแสงเล็กๆอยู่เสมอต่อให้จะมืดซักแค่ไหน
บริษัทหัวเว่ย ก่อนที่พวกเขาจะเป็นแนวหน้าในวงการเทคโนโลยี พวกเขาก็เคยรับทำ OEM ให้กับสินค้าอื่นมาก่อน ต่อมาพวกเขาได้เลียนแบบเทคโนโลยีพวกนั้น พร้อมกับวิจัยและพัฒนาต่อยอด
จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยี พวกเขากระตือรือร้นที่จะพัฒนาตลอดเวลา แถมงานวิจัยตัวใหม่ที่พัฒนาของเขา แทบจะเปลี่ยนโลกใบนี้ไปเลย
ซูข่านได้เห็นแบบอย่างที่หัวเว่ยได้ทำ เขาไม่คิดที่จะวิจัยและพัฒนาเหมือนกับหัวเว่ย มันจะกินเวลาหลายปี เขาต้องการที่จะซื้อเทคโนโลยีบางอย่างมาให้กับโรงงานแห่งนี้
ถึงจะเสียเงินมากหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไร ค่าแรงในยุคนี้ยังคงต่ำมาก แทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อเขา
หากว่าเป็นในอนาคตข้างหน้า การพัฒนาของประเทศได้ก้าวกระโดดไปมากกว่านี้ การกระทำแบบนี้คงไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดซักเท่าไหร่นัก หากต้องจ่ายค่าเทคโนโลยีพร้อมกับค่าแรง
บางทีซูข่านอาจล้มละลายได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
คนงานประมาณ 2 คนต้องจ่ายเงินเดือนให้กับพวกเขาถึงประมาณ 1,000 หยวน แต่โรงงานมีคนแค่สองคนเท่านั้นไหม? ก็ไม่ใช่
แต่ละโรงงานจะต้องมีคนเป็นพันคนอยู่แล้ว รายจ่ายต่อเดือนก็อาจสูงถึงล้านหยวน
แต่ตอนนี้เงินเดือนพวกเขาอยู่ที่เดือนละ 30 หยวน ต่อให้ซูข่านเพิ่มเงินเดือนให้ 30% เงินเดือนพวกเขาก็ได้เพียง 40 หยวนต่อเดือนเท่านั้น
ต่อให้โรงงานแห่งนี้มีคนงาน 1,000 คน ซูข่านก็ต้องจ่ายเงินเดือนละ 40,000 หยวนเท่านั้น
เงินเพียง 1 ล้านก็ยังสามารถจ่ายเงินเดือนให้กับพวกเขาได้ถึง 2 ปี
แล้วซู่ข่านมีเงินแค่ 1 ล้านเท่านั้นรึเปล่า?
เขามีเป็นพันๆล้าน ยุคนี้จะทำอะไรก็สามารถทำได้สะดวกสบาย เพราะค่าแรงยังไม่ได้สูงมาก
"เข้าใจแล้วครับ เดี๋ยวผมจะรีบโทรหาประธานจางวันนี้เลย"
สูเจิ้งเหมาพูดด้วยความเคารพ
ซูข่านได้ยืนขึ้นและพูดว่า
"โอเค งั้นพวกเราไปกันเถอะ"
พวกเขาทั้งหมดได้เดินออกมาจากร้านอาหาร ซูข่านยังเห็นว่าเด็กผู้ชายคนนั้นยังคงพูดคุยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่
ซูข่านได้ยินสำเนียงของเด็กผู้ชายคนนั้นแล้ว เขาก็นึกถึงครูที่เคยสอนภาษาอังกฤษให้กับเขา ยุคนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้
ซูข่านได้เดินผ่านเด็กและชาวต่างชาติกลุ่มนั้น ชาวต่างชาติกำลังวุ่นวายอยู่กับการถ่ายรูปทะเลสาปซีหู เด็กชายจึงได้ยืนอยู่คนเดียว ซูข่านได้พูดเป็นภาษาอังกฤษว่า
"ภาษาอังกฤษของนายดีมาก นายไม่อายเลยที่จะฝึกภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติพวกนี้ อนาคตของนายจะต้องสดใสอย่างแน่นอน"
"เอ่อ"
เด็กหนุ่มที่มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์เขามองซูข่านด้วยความสงสัย แต่ซูข่านพูดจบเขาก็ได้เดินจากไปทันทีโดยไม่ได้คุยกับเด็กหนุ่ม
จู่ๆก็มีคนมาพูดภาษาอังกฤษกับเขา ถึงแม้ว่าเขาจะฟังรู้เรื่องแต่เด็กหนุ่มคนนั้นก็อยากที่จะจดจำใบหน้าของชายที่พูดกับเขาเมื่อสักครู่ แต่มันก็สายไปแล้วชายคนนั้นได้เดินจากไปแล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถจำหน้าชายที่พูดกับเขาได้ แต่เขาคงจำคำพูดของได้ทุกประโยค ในอนาคตไม่นานหลังจากที่เขาประสบความสำเร็จ คำพูดนี้ก็ได้อยู่ในบทสัมภาษณ์ของเขา
"ขอบคุณครับ"
เด็กชายหนุ่มตะโกนให้กับหลังของซูข่าน
"ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มอบให้กับผม ผมจะพยายามฝึกให้เก่งกว่านี้ครับ"
เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กชายหนุ่ม ซูข่านก็ได้ตัวสั่นเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะวางตัวเป็นตั้งอายุเพียงเท่านี้