บทที่ 21: พระมเหสีเย่จอมเผด็จการ
เย่เซิงกำลังจะออกไปพบพี่หญิงใหญ่ แต่เย่หลินเอ๋อกล่าวว่า “นี่ ๆ ข้าเอาเสื้อผ้าใหม่มาให้ เจ้าเปลี่ยนใส่เสื้อผ้านี้ก่อนค่อยไปพบพี่หญิงใหญ่”
เย่เซิงจ้องนางก่อนจะพูด “ทุกคนในหวางฝูแห่งนี้ยกเว้นข้าต่างได้เสื้อผ้าใหม่กันตั้งแต่เมื่อวาน นายหญิงใหญ่แม่เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ถ้าหากข้าใส่ชุดเก่า ๆ ไปล่ะก็แม่เจ้าจะมีปัญหาสินะ”
ท่าทีของเย่หลินเอ๋อหมองลงก่อนที่นางจะตอบว่า “เย่เซิง แม่ข้าทำผิดต่อเจ้าและข้าก็รู้ว่าเจ้าโกรธ วันก่อนเจ้าถูกเตะหมดสติและข้าเป็นคนพาเจ้ากลับมา หากเจ้ายอมเปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะก็บุญคุณระหว่างเราถือว่าหายกัน เจ้าคิดว่าไง?”
เย่เซิงมองเย่หลินเอ๋อพลางเยาะเย้ยในใจ ‘โธ่อีเวร ถ้าตอนนั้นตูไม่แกล้งหมดสติล่ะก็ชาตินี้ตูคงไม่ได้รู้ความจริงหรอกว่าแม่ตัวเองถูกฆ่าตาย!’
“ก็ได้ เรื่องระหว่างเราถือว่าหายกัน” เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรจะทำอะไรวู่วาม ตราบใดที่ยังอยู่ในหวางฝูแห่งนี้เขาก็ยังต้องอดทนกับทุกเรื่องต่อไป เขารับเสื้อผ้ามาแล้วถอดเปลี่ยนทันที
“ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ!” เย่หลินเอ๋อตะลึง
เย่เซิงถอดเสื้อเผยอกเปลือยเปล่า ร่างกายเขาผมเพรียวสูงโปร่ง กล้ามเนื้อไม่ได้ปูดโปนอะไรแต่ด้วยความที่เริ่มฝึกฝนแล้วจึงทำให้พอจะมีกล้ามเนื้อก่อตัวขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้ว และใบหน้าของเย่หลินเอ๋อก็แดงแปร๊ดทันที
แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือเย่เซิงยังคงถอดกางเกงต่ออีก เย่หลินเอ๋อกรี๊ดลั่นและวิ่งออกจากเรือนทันที ต่อให้นางจะเป็นผู้หญิงหยาบ ๆ ซักแค่ไหนแต่เนื้อแท้แล้วก็ยังเป็นแค่สาวน้อย
เย่เซิงแค่นเสียงดูถูกและเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าตาเฉย
เสื้อผ้าทำจากผ้าไหมคุณภาพสูงสีม่วงทำให้รูปร่างของเขาโดดเด่น เมื่อเย่เซิงสวมเสื้อผ้าเหล่านี้แล้ว เขาก็ดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าหล่อเหล่าบวกเสื้อผ้าอันทันสมัยทำให้บรรยากาศต้อยต่ำจำยอมสลายหายไปจนเกลี้ยง
เย่หลินเอ๋อเห็นเขาเดินออกมาเลยกำลังจะอ้าปากด่าก็เป็นต้องเงียบกริบ เย่เซิงในตอนนี้ดูสง่างามราวกับม้าหนุ่มที่มีชีวิตชีวาวิ่งชมดอกไม้ทั้งฉางอันในวันเดียว
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเจ้าถึงกับเปลี่ยนไปขนาดนี้” เย่หลินเอ๋อจ้องมองเย่เซิงอย่างตกตะลึง
“ไปดูหาพี่หญิงใหญ่กัน” เย่เซิงพูดเบา ๆ
...
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ข้ามโลกที่เย่เซิงจะได้พบกับพี่หญิงใหญ่
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่พี่หญิงใหญ่จะได้พบเย่เซิงตั้งแต่เข้าวัง
เมื่อเย่เซิงเดินผ่านสายตาของทุก ๆ คนเข้ามา บรรยากาศเขาคือชายหนุ่มรูปงามแข็งแรงดูเป็นธรรมชาติ ทำลายภาพลักษณ์เดิม ๆ ในหัวของทุกคนจนแหลกละเอียด พวกไอ้อีทั้งหลายต่างจ้องมองไปที่เขาด้วยความตกใจ
“นั่นใช่เย่เซิงจริงหรือ?”
“คุณชายสิบสองดูดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“เราเคยเห็นคุณชายสิบสองสวมเสื้อผ้าที่ซักแล้วซักอีกจนสีตกหมดแล้ว แถมคุณชายยังอยู่อย่างเชื่อฟังมาโดยตลอด แต่วันนี้กลับดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”
“บรรยากาศของคุณชายสิบสองนั้นดีกว่าบรรยากาศของคุณชายท่านอื่น ๆ มาก”
พวกขี้ข้าเริ่มซุบซิบกันด้วยความตกใจ แม่แต่นายหญิงใหญ่และนายหญิงสองเองก็ยังต้องตกตะลึงกับเย่เซิงที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
เมื่อเห็นเย่เซิงเดินเข้ามาพระมเหสีเย่ถึงกับน้ำตาไหลทันที นางได้เห็นแล้วว่าน้องชายสุดที่รักสง่างามมากเพียงใด นางยิ้มแก้มแทบปริแล้วเข้าไปกอดเย่เซิ่งทันทีก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ได้เจอกันมาสามปี น้องสิบสองของข้าโตขึ้นแล้ว”
“พี่หญิงใหญ่” เย่เซิงทักทายด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเป
“ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากมาตลอดสามปีนี้” พระมเหสีเย่กล่าวอย่างเศร้าใจขณะที่นางเอื้อมมือไปลูบแก้มของเย่เซิง
“ตราบใดที่พี่หญิงใหญ่ยังห่วงใยข้ามันก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้นหรอกขอรับ” เย่เซิงตอบเบา ๆ
“มานั่งกับข้า คนที่ข้าต้องการพบมากที่สุดในการมาเยี่ยมครั้งนี้ก็คือเจ้า ข้าอยากกลับมาตั้งแต่เมื่อปีกลาย แต่เพราะข้าตั้งครรภ์เลยยังออกจากวังไม่ได้ เจ้าต้องทุกข์ทรมานถึงหนึ่งปี ข้าขอโทษจริง ๆ” พระมเหสีเย่จับมือของเย่เซิงและพาเขาไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อนั่งคุยกับนางขณะที่พวกตัวอื่น ๆ นั้นได้แต่เฝ้ามองด้วยสายตาที่ดูก็รู้เลยว่าอิจฉาริษยามากขนาดไหน
นายหญิงใหญ่ที่เห็นฉากนี้ในใจก็ยิ่งกว่าโดนไฟเผา ไม่ใช่แค่ไฟริษยาเท่านั้นแต่ยังมีไฟแห่งความเกลียดชังด้วย
ส่วนอีหูเหมยนั้นฉลาดเลยตัดสินใจที่จะไม่ทำให้ต้องถูกเผาด้วยไฟริษยาอีกต่อไปเลยตัดสินใจไม่ดูฉากนี้ต่อจึงพูดว่า “ในเมื่อพระมเหสีต้องการใช้เวลาอยู่กับเจ้าสิบสองเป็นการส่วนพระองค์ พวกเราก็ควรออกไปก่อน”
พระมเหสีเย่พยักหน้า “ดี พวกเจ้าออกไปเสีย”
นายหญิงใหญ่หันหลังจากไปโดยไม่พูดอะไรพร้อมกับดึงตัวเย่หลินเอ๋อออกไปด้วย
อีหูเหมยเองก็ลากไอ้ลูกชายหน้าโง่ที่ยังคงทำท่าทางไม่พอใจออกไปด้วยเช่นกัน
หลิงฮวาที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ตลอดเวลาก็เดินออกไปเหมือนกัน แต่ก่อนจะออกไปนางก็เหลือบมามองเย่เซิงด้วยแววตาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของพระมเหสี ดังนั้นคนที่เหลือทั้งหมดจึงจากไป
ห้องโถงใหญ่จึงเหลือเพียงพระมเหสี เย่เซิง ขันที สาวใช้และผู้คุ้มกันของพระมเหสี
เย่เซิงมองพระมเหสีเย่และเห็นว่านางต่างจากภาพจำของเขา ผู้หญิงตรงหน้านี้ปลดปล่อยบรรยากาศอันทรงอำนาจบางอย่างออกมา คาดว่าน่าจะเป็นเพราะอยู่ในวังมานานเลยทำให้มีบรรยากาศแบบนี้
พระมเหสีเย่ยังคงจับมือเขาและมองดูเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยน ด้วยดวงตารื้นน้ำตา มันทำให้เย่เซิงถึงกับรู้สึกว่าหัวใจอันเย็นชาแข็งกระด้างจากการที่ต้องอยู่ในหวางฝูบัดซบนี่อ่อนลง
เขาสืบทอดความทรงจำทั้งหมดจากร่างกายนี้ และเขาได้รู้ว่าสิ่งที่เจ้าของร่างเดิมและตัวเขาตั้งแต่นี้ต่อไปจะได้รับก็คือความไร้หัวใจอันที่ไม่สิ้นสุดจากทุก ๆ คนรอบ ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นหวางฝู่ตระกูลเย่ พ่อหรือย่า แทบจะทุก ๆ ความทรงจำล้วนไร้ซึ่งความอบอุ่นใด ๆ ความอบอุ่นอันน้อยนิดที่ยังมีอยู่ก็แค่จากแม่ที่ล่วงลับไปตั้งแต่เขายังห้าขวบและพี่หญิงใหญ่ตรงหน้าคนนี้เท่านั้น
“พี่หญิงใหญ่ขอรับ สามปีในวังเป็นอย่างไรบ้าง” เย่เซิงถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ้านี่ไม่รู้นิสัยพี่เจ้าเอาซะเลย หลังจากที่ข้าสมรสกับองค์จักรพรรดิข้าก็กลายเป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจึงอยู่ในวังอย่างสุขสบายยิ่ง จะมีก็แต่คิดถึงเจ้าอยู่ทุกวี่วันนี่แหล่ะ ข้ายังจำได้อยู่เลยว่าตอนเข้าวังข้าร้องไห้หนักเพียงใด นชวงปีในช่วงปีแรกข้าได้เขียนจดหมายถึงเจ้าด้วย แต่เจ้าก็ไม่ตอบข้าจึงคิดว่าเจ้าคงอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากมากเป็นแน่ คาดเจ้าคงจะไม่ได้รับจดหมายจึงได้หยุดเขียน” พระมเหสีกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ข้าไม่ได้จดหมายเลยจริง ๆ ขอรับ” เย่เซิงพยักหน้า
“นายหญิงใหญ่ไม่ชอบเจ้า คิดว่าจดหมายเหล่านั้นคงอยู่ที่นังนั่นล่ะสิ” พระมเหสีเสียดสี
“น้องฝึกวรยุทธ์อย่างนั้นเหรอ?” พระมเหสีเย่บีบ ๆ กล้ามเนื้อของเขาแล้วถามด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป
เย่เซิงพยักหน้า เขาไม่ได้ใช้วิชาสวมคราบเพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังพี่หญิงใหญ่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นางจะตรวจพบ
“ข้าแอบฝึกเอาน่ะขอรับ และข้าก็ระมัดระวังอย่างมากมากไม่ต่างจากเหมือนเดินบนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ เลย” เย่เซิงพูดเบา ๆ
พระมเหสีถอนหายใจและกล่าวว่า “ท่านพ่อห้ามไม่ให้เจ้าเรียวรยุทธ์ หากถูกจับได้เจ้าต้องถูกลงโทษอย่างหนักเป็นแน่”
“พี่หญิงใหญ่ขอรับ สำหรับข้าแล้วหวางฝูตระกูลเย่ก็ไม่ต่างจากคุก ข้าอยากหนีไปจากที่นี่ขอรับ” เย่เซิงกล่าวอย่างจริงใจ
“ข้าจะช่วยเจ้าเอง” พระมเหสีเย่พยักหน้าอย่างจริงจังและยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณมากขอรับ!” เย่เซิงที่ได้ยินคำตอบก็ยืนขึ้นแล้วคำนับนางอย่ามีความสุขที่สุด
“เจ้าน้องโง่เอ๊ย! ตอนที่ข้ายังอยู่ในหวางฝูแห่งนี้ข้ามีน้อง ๆ ตั้งมากมาย แต่คนเดียวที่ข้าใส่ใจก็มีแค่เจ้าเท่านั้น พวกคนอื่น ๆ ต่างก็มีคนหนุนหลังของตัวเองกันทั้งนั้น ส่วนตัวเจ้านั้นไม่มีอีกทั้งตอนนี้เจ้าก็ไม่เหลือใครแล้วด้วย ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้าแล้วจะให้ข้าไปช่วยใครเล่า?” เสียงของพระมเหสีทำให้เย่เซิงเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ตั้งแต่เขาเกิดใหม่เขาก็ได้แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในบ้านตัวเองแท้ ๆ เขาไม่กล้าบอกให้ใครรู้ว่าตัวเองกำลังเรียนวรยุทธ์ ต้องคอยปิดบังพวกไร้หัวใจในบ้านตัวเอง และในที่สุดความอดทนที่ผ่านมาก็ส่งผล ส่งผลให้เขาได้เห็นแสงแห่งความหวังซักที
“พรุ่งนี้ฝ่าบาทจะทรงเสด็จมาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับพวกเรา ซึ่งท่านพ่อก็จะอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ตอนนั้นข้าจะหาทางพาเจ้าออกจากที่นี่เอง” พระมเหสีเย่กล่าว
“ขอรับ” ดวงตาของเย่เซิงเป็นประกาย เขาไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าเรื่องราวมันจะดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้
“ตอนอยู่ในวังข้าพึ่งได้ยินว่าเจ้าถูกสั่งโบยด้วยไม้พายทัพเมื่อไม่นานมานี้ใช่หรือไม่?” พระมเหสีถามด้วยสีหน้าไม่ดี
เย่เซิงจึงเล่าเรื่องราวให้นางฟังตั้งแต่ต้น
“ไอ้เย่ชิงนั่นมันช่างเป็นตัวบัดซบจริง ๆ! มันเป็นคนผิดทั้งหมดแท้ ๆ แต่กลับลากเจ้าลงโคลนไปด้วยสมควรถูกทุบตียิ่ง” พระมเหสีเย่พูดอย่างเย็นชา
“พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องโกรธไปหรอกขอรับ แผลของข้านั้นหายดีแล้ว ไอ้เย่ชิงมันก็โดนไปหนักกว่าข้าอีก มันโดนไปหนึ่งร้อยไม้ส่วนข้าแค่ห้าสิบไม้” เย่เซิงพยายามทำให้พี่หญิงใหญ่สงบใจลง
“เฮอะ! ไม่รู้ว่าในหัวท่านพ่อคิดอะไรอยู่ ถ้าไม่มีเจ้าอยู่ที่นี่ล่ะก็อย่าได้หวังเลยว่าพี่สาวเจ้าผู้นี้จะหลับมาเหยียบที่นี่อีก หลังจากแก้ปัญหาให้เจ้าเสร็จแล้วข้าจะกลับไปที่วังทันที ต่อไปเมื่อเจ้าออกไปท่องโลกแล้วเจ้าสามารถอ้างชื่อของข้าเพื่อปกป้องตนเองได้เลย ตราบใดที่ข้ายังอยู่อนาคตของเจ้าต้องสดใสไม่มีเป็นอื่น!” พระมเหสีเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดอย่างจอมเผด็จการ
ปล. นี่ถ้าเกิดเล่นมุกหักมุมโดนพระมเหสีทรยศล่ะก็พระเอกเราจบเห่เลยนา...