บทที่ 20: พระนามของพระมเหสี (ตอนที่ 2)
เสียงฆ้องและกลองดังขึ้น ฝูงชนจำนวนมากต่างได้ยิน ขบวนเสด็จของพระมเหสีใหญ่โตมาก ๆ ขันทีสองสามร้อยคนเดินถือร่ม ทหารคุ้มกันสีหน้าเคร่งเครียด ตรงกลางขบวนเป็นเกี้ยวขนาดใหญ่แบกโดยชายฉกรรจ์แปดคน เกี้ยวนั้นประดับตกแต่งด้วยของหรูหรามากมาย หลังคาประดับด้วยหยกช้างเผือกและนกเฟิ่งหวง (ฟินิกซ์) แกะสลักเหมือนจริงดูมีชีวิตชีวา ผ้าม่านที่บังประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าเม็ดใหญ่ราวกับตาของมังกร อีกทั้งยังมีไข่มุกน้ำเต้าขนาดใหญ่ เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ เกี้ยวจะได้กลิ่นหอม ๆ โชยเตะจมูก แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์
เกี้ยวนั้นมีม่านกั้นอยู่จึงดูไม่รู้ว่ามีใครอยู่ข้างใน จะเห็นก็แต่เงาลาง ๆ ของผู้หญิงที่นั่งเท้าคางด้วยท่าทางสง่างามจนไม่อาจบรรยาย
เจ้าของเงาร่างผู้หญิงนั่นก็คือพระมเหสีเย่ ผู้หญิงที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันทรงสนพระทัยมากที่สุด
พวกนายหญิงเฒ่าดูตื่นเต้นยินดีในทันทีที่เห็นขบวนเสด็จมาถึง พวกนางคุกเข่าลงเพื่อรับเสด็จ
นายหญิงเฒ่า นายหญิงใหญ่และนายหญิงสองเป็นผู้อาวุโสของครอบครัวจึงไม่ต้องคุกเข่า แค่โค้งคำนับก็พอ แต่พวกรุ่นเดียวกันลงไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงหรือว่าเย่หลินเอ๋อต้องคุกเข่า ส่วนพวกคนรับใช้นั้นต้องหมอบกราบลงไปเลย
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ เรามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัว ไม่ต้องมากพิธีช” เสียงจากภายในเกี้ยวดังขึ้นมา แม้จะไม่ดังมากแต่กลับชัดเจนและเรียบเนียนราวกับผ้าไหม
“พระมเหสีเสด็จแล้ว~” ขันทีสูงอายุประกาศ
คนแบกเกี้ยวได้วางเกี้ยวลงอย่างระมัดระวังก่อนที่ขันทีใหญ่จะเอื้อมมือไปเลิกม่านออก ปรากฏเป็นใบหน้างดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ในชุดยาวสีแดง นางค่อย ๆ เยื้องย่างออกมาช้า ๆ และในขณะนั้นเองก็มีแรกดกดันที่มองไม่เห็นกดหัวทุก ๆ คนในหวางฝูจนต้องพากันก้มหน้าทันที
นี่คือลูกสาวคนโตของหวางฝูตระกูลเย่ ‘เย่ชิงเอ๋อ’ ผู้ซึ่งเป็นพระมเหสีของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน
พระมเหสีเย่ช่างงดงามเกินคำบรรยาย ดังนั้นทันทีที่นางก้าวลงมาบรรยากาศความงามของนางก็ทะลักออกมาท่วมไปทั่วทั้งพื้นที่ เพียงนางยืนเฉย ๆ ก็ไม่มีผู้ใดจะเทียบได้แล้ว แม้แต่หูเหมยที่ทุก ๆ คนต่างก็ชมนักชมหนาว่าสวยอย่างกับปีศาจจิ้งจอก แต่เมื่อต้องมาเจอกับพี่หญิงใหญ่แล้วนางก็ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้านธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่อาจเทียบเคียงอะไรกับพระมเหสีเย่ได้เลย
เย่หลินเอ๋อแอบเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาเมื่อเห็นว่าพี่หญิงใหญ่ของนางเจิดจ้าเพียงใด หากนางได้รู้ตั้งแต่แรกว่าผู้หญิงสามารถเพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์ในระดับนี้ได้ล่ะก็นางคงจะไม่ใช้ชีวิตนี้อย่างไร้ค่ามาจนถึงตอนนี้หรอก
“น้องหญิงสามแอบมองพี่ทำไมเหรอ?” พระมเหสีเย่ถามเบา ๆ พลางยกยิ้มมุมปากนิด ๆ
ทันทีที่นางเริ่มพูดความกดดันที่มองไม่เห็นก็เหมือนกับถูกถอนออกไปทันที และหลายคนถึงขั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก นายหญิงใหญ่กับหูเหมยหันไปสบตากันและก็พบว่าดวงตาของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
เย่หลินเอ๋อปั้นยิ้มโง่ ๆ และตอบว่า “พี่หญิงใหญ่สวยเกินไปเจ้าค่ะ สวยกว่าเมื่อสามปีก่อนหลายเท่าเลย”
พระมเหสีเย่ยิ้มอย่างผ่อนคลายและกล่าวว่า “เจ้าเองก็สวยมากเช่นกัน น้องหญิงสามโตขนาดนี้แล้วมีคนมาสู่ขอบ้างแล้วหรือยัง?”
เย่หลินเอ๋อหน้าแดงทันทีและตอบว่า “พี่หญิงใหญ่ล่ะก็ ข้ายังอยากอยู่กับท่านแม่ท่านย่าอีกซักสองสามปีเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่หัวเราะตามและพูดว่า “เด็กนี่เคยชินกับการเอาแต่ใจตัวเอง มีชายหนุ่มมากมายมาขอแต่งงานแต่ก็ไม่มีคนไหนที่นางชอบเลย นายหญิงเฒ่าก็ปล่อยให้นางทำอะไรได้ตามใจชอบ วัน ๆ นางเลยเอาแต่ไปขลุกอยู่กับพวกหนุ่ม ๆ ลูกหลานขุนนางชั้นสูง ช่างเป็นที่น่าอับอายของครอบครัวเราจริง ๆ เลยเชียว”
นายหญิงเฒ่าที่ได้ยินก็ไม่พอใจเลยพูดกลับไปบ้างว่า “ตอนนี้ตระกูลเย่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของแผ่นดิน เราไม่จำเป็นต้องมาแต่งงานทางการเมืองอะไรทั้งสิ้น หลานหญิงสามของข้าอยากทำอะไรก็ปล่อยให้นางทำตามใจชอบไปเสียสิไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
“ท่านย่าดีกับหลานที่สุดเลยเจ้าค่ะ” เย่หลินเอ๋อกล่าวอย่างไพเราะ
พระมเหสีเย่โค้งคำนับนายหญิงเฒ่าและกล่าวว่า “ไม่ได้พบท่านมาสามปีแล้ว ท่านยังแข็งแรงดีอยู่ไหม?”
“ข้าสบายดี” นายหญิงเฒ่ารีบตอบ
“ดีแล้ว ๆ ทุก ๆ คนในตระกูลมากันครบแล้วใช่ไหม?” พระมเหสีเย่ถามพลางมองไปรอบ ๆ
“ทุก ๆ คนอยู่ที่นี่หมดแล้ว” นายหญิงเฒ่าพยักหน้าตอบ
สีหน้าของพระมเหสีผ่อนคลาย นางไม่ได้พูดอะไรแต่ยังคงมองไปรอบ ๆ คนหาคนเพียงคนเดียวจากฝูงชนจำนวนมาก
“พระมเหสีทรงหาใครอยู่หรือเพคะ” หูเหมยถามเบา ๆ และกลอกตาไปมองรอบ ๆ ด้วย
“น้องสิบสองของข้าล่ะอยู่ไหน?” พระมเหสีเย่ถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะหันไปจ้องมองที่นายหญิงใหญ่ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจกดดัน เจ้าตัวที่ถูกมองถึงกับตัวแข็งทื่อในทันที
“เจ้าสิบสองอยู่ในเรือนของตนเพคะ” นายหญิงใหญ่ตอบ
“แล้วใหนบอกว่าทุก ๆ คนในตระกูลเย่มากันครบแล้วล่ะ?” พระมเหสีเย่หันไปกดดันนายหญิงเฒ่าด้วยสายตาที่ก้าวร้าวบ้าง
แน่นอนว่านายหญิงเฒ่าไม่ชอบสายตาแบบนั้นเลยตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนักว่า “เย่เซิงเป็นเพียงลูกของนางสนม แล้วมันจะมีสิทธิ์มาเสนอหน้ายืนคู่กับทายาทสายตรงอย่างเย่ชิงและเย่หลินเอ๋อได้อย่างไร? ตัวมันที่สถานะต่ำต้อยเช่นนั้นไม่คู่ควรมายืนต่อหน้าพระมเหสีหรอกเพคะ!”
“ดูเหมือนว่านายหญิงเฒ่าจะชราภาพเกินไปจนลืมไปแล้ว... ว่าเย่เซิงเป็นน้องชายข้า! และก่อนที่ข้าจะออกจากหวางฝูไปข้าก็ได้สั่งสอนคนรับใช้ที่นี่แล้วว่าอย่าได้ริอาจดูถูกน้องสิบสองของข้าเพราะสถานะของแม่เขาอีก! ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครจำคำสั่งสอนของข้าได้เลยสินะ” พระมเหสีเย่กล่าวพลางจ้องมองนายหญิงเฒ่าด้วยสายตาที่เย็นชาและเหินห่าง
นายหญิงเฒ่าที่โดนสายตาแบบนั้นจ้องมองก็เริ่มตื่นตระหนกอยู่ในใจ ก่อนหน้านี่ที่พระมเหสียังอยู่ในหวางฝูนายหญิงเฒ่าไม่กังวลนัก แต่ตอนนี้นางเป็นพระมเหสีแล้ว! สถานะคนละเรื่องกับเมื่อก่อนลิบลับ มีหรือที่นายหญิงเฒ่าจะกล้าต่อล้อต่อเถียง
“พระมเหสีพึ่งกลับมาเยี่ยมบ้าน ดังนั้นพระองค์มิควรมายืนอยู่ตรงหน้าประตูเช่นนี้นะเพคะ ส่วนเรื่องของเจ้าสิบสองเดี๋ยวหม่อมฉันให้คนรับใช้ไปพามาก็ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาหรอกเพคะ” นายหญิงใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างพยายามปัดเป่าความอึดอัด
“นั่นก็จริง นายหญิงเฒ่าดูจะชราภาพมากแล้วคงไม่สามารถยืนข้างนอกนาน ๆ ได้ ควรจะกลับไปพักผ่อนเสียที ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะถูกครหาได้ว่ากลับบ้านมาสร้างปัญหาปล่อยให้นายหญิงเฒ่ายืนรออยู่นานจนล้มป่วย เรื่องเช่นนั้นแม้เป็นเราเองก็มิอาจรับผิดชอบไหว” พระมเหสีเย่พูดอย่างห่างเหินและไม่ใส่ใจก่อนจะเดินเข้าไปในหวางฝูทันที
ส่วนอีนายหญิงเฒ่าน่ะเหรอ? มันก็โกรธมากจนตัวสั่นไปทั้งตัวไงล่ะ มันจับไม้เท้าหัวมังกรแน่นแล้วพูดว่า “ข้าจะกลับไปที่วัด วันนี้ข้ามารับเสด็จแล้วรู้สึกไม่สบายดังนั้นคงไม่อาจมาเข้าเฝ้าได้อีก”
พระมเหสีเย่ชะงักไปครู่หนึ่งแต่นางไม่ได้หันหลังกลับมาและยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่รอให้ยัยแก่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อ
ทุก ๆ คนต่างชำเลืองมองและไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดังเกินไป ขนาดพวกหลานรักทั้งหลายที่ใช้ชีวิตไม่สนกฎเกณฑ์ราวกับบ้านเมืองไม่มีขื่อแปก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวันอย่างอีเย่หลินเอ๋อกับไอ้เย่ชิง ก็ยังไม่เคยเห็นท่านย่าของพวกมันโกรธจัดขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
“พี่หญิงใหญ่รังแกกันเกินไปไหม?” ไอ้เย่ชิงพึมพำด้วยความหวาดกลัวที่เพิ่มมากกว่าเดิมเยอะ
“พี่หญิงใหญ่ใจร้ายกับท่านย่าเกินไป หากท่านพ่อรู้ล่ะก็ต้องตำหนินางแน่ ๆ” อีเย่หลินเอ๋อพูดต่อ
“นั่นเป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่พวกลูกไม่ควรเข้าไปยุ่ง หลินเอ๋อ เจ้าไปเรียกเย่เซิงมา แล้วอย่าลืมหาเสื้อผ้าใหม่ ๆ ให้มันใส่ด้วย” นายหญิงใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เจ้าค่ะ” เย่หลินเอ๋อพยักหน้าและรีบวิ่งออกไปหาเย่เซิงอย่างเชื่อฟัง
...
เย่เซิงตอนนี้กำลังมองดูดอกไม้สดในเรือนตัวเองอยู่ ร่างกายของเขายืนตรงราวกับหอกพร้อมปลดปล่อยบรรยากาศอันดุดันออกมา
เขากำลังเผชิญหน้ากับดอกไม้ แต่ดวงตากลับไม่ได้เพ่งไปที่สิ่งใด เห็นได้ชัดว่าในหัวนั้นกำลังคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองอยู่
เย่เซิงได้ยินเสียงฆ้องและกลองดังมาถึงเรือนจึงรู้ได้ทันทีเลยว่าพี่หญิงใหญ่มาถึงบ้านแล้ว เขานั้นไม่ได้รับเชิญให้ไปร่วมรับเสด็จด้วยเลยสงสัยอยู่เหมือนกันว่านางจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ยังไง
“จากความรักความเมตตาที่พี่หญิงใหญ่มีต่อเราแล้ว นางต้องรีบเรียกเราเข้าพบทันทีแน่ และถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ไม่ต้องทนอีกต่อไป ใช้โอกาสนี้ขอให้พี่หญิงใหญ่ช่วยพาเราออกจากไอ้หวางฝูบัดซบนี่ซักที เมื่อออกไปได้แล้วเราก็จะทะยานสู่ฟากฟ้าได้อย่างแน่นอน” เย่เซิงเริ่มคิดอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นโอกาสดีที่สุดแล้ว ปัญหาเดียวคือเขายังไม่รู้ว่าหลังจากผ่านไปสามปีพี่หญิงใหญ่จะยังคงรักใครเอ็นดูเขาอยู่เหมือนเดิมรึเปล่าเนี่ยสิ
“นี่~ น้องสิบสอง~! รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาด ๆ แล้วมากับข้า พี่หญิงใหญ่เรียกเจ้าเข้าพบ” เสียงตะโกนของเย่หลินเอ๋อดังขึ้นในจังหวะที่เขากำลังจะถอนหายใจ
เย่เซิงเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาที่เป็นประกายสุกใส ความกังวลเดียวในใจหายวับไปแล้ว
พี่หญิงใหญ่ยังไม่ลืมเขา และเวลาก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แปรเปลี่ยนไปเลย