บทที่ 19: พระนามของพระมเหสี (ตอนที่ 1)
พี่หญิงใหญ่กำลังมา ดังนั้นเย่เซิงจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขากลืนข้าวปลาอาหารทั้งโต๊ะลงกระเพาะจนเกลี้ยง จากนั้นท้องของเขาก็เริ่มทำงานอย่างรุนแรงราวกับมีม้าเป็นสิบตัวมาช่วยกระชาก เพราะมันดูดซับพลังงานทั้งหมดจากอาหารที่กินและกระจายพลังงานไปทั่วร่างกายของเขาเพื่อทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น
‘ล่าสุดที่ไปอ่านตำราประวัติศาสตร์ที่ห้องสมุดนั้น จำได้ว่าจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์หลงเริ่มต้นเส้นทางฝึกฝนวรยุทธ์ของพระองค์ด้วยการเสวยวัวกับแกะวันละหลายร้อยตัวทุก ๆ วันเพื่อสะสมพลังงานปริมาณมหาศาล และนั่นก็เป็นรากฐานให้พระองค์ทรงสามารถเข้าถึงระดับการฝึกยุทธ์อันสูงส่งได้ตั้งแต่ตอนที่มีพระชนมพรรษา (พระ-ชน-มะ-พัน-สา) ได้สามสิบพรรษา’ เย่เซิงคิดกับตัวเองหลังจากที่กินอาหารเสร็จแล้ว
เป็นเรื่องปกติที่ต้องกินเนื้อเมื่อฝึกวรยุทธ์ช่วงเบื้องต้น การกินเจไม่อาจฝึกได้ ในช่วงนี้แม้แต่พระยังต้องกินเนื้อ (พระของทางมหายานเขากินเจ) หลังจากที่เป็นระดับเซียนเทียน (ก่อนฟ้า) แล้วจึงค่อย ๆ พึ่งพาอาหารน้อยลงเรื่อย ๆ แต่ว่าเรื่องนี้เย่เซิงก็ไม่รู้หรอก เพราะว่ายังไง ๆ เขาก็ถูกสั่งห้ามเรียนรู้วรยุทธ์นี่นา
เขารู้แค่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือการกินเนื้อให้มาก ๆ และเมื่อรู้แล้วเขาจึงสั่งหลิวม่าจื่อไปว่า “มื้อเย็นก็เอาแบบนี้อีก แล้วบอกห้องครัวด้วยว่าเอาเนื้อเยอะกว่านี้”
หลิวม่าจื่อตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า นางไม่ได้คิดอะไรมากมายแค่คิดว่าคงเพราะตั้งแต่เกิดมาเย่เซิงไม่เคยกินอาหารที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนจึงอยากกินอีกเยอะ ๆ ก็เท่านั้น “เดี๋ยวบ่าวจะแจ้งทางโรงครัวให้เจ้าค่ะ”
หลังจากที่นางไปแล้วเย่เซิงก็ไปเดินเล่นซักประมาณครึ่งธูปเพื่อคลายความรู้สึกอึดอัดแน่นท้อง เสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปที่ศาลาสะสมตำราแล้วเสแสร้งทำเป็นอ่านหนังสือเรียนอย่างขะมักเขม้น
เย่เซิงใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายอ่านหนังสือในห้องสมุดโดยไม่มีใครมารบกวน ไม่มีหลิงฮวา ไม่วุ่นวาย ห้องสมุดในวันนี้เงียบกว่าทุก ๆ วัน
ในตอนเย็นเย่เซิงได้ออกจากห้องสมุดและสังเกตเห็นว่าหวางฝูตระกูลเย่กำลังยุ่งกันมาก พวกคนใช้กำลังจัดของทุกอย่างในบ้าน และเครื่องเรือนเก่า ๆ หลายชิ้นถูกเปลี่ยนเป็นของใหม่ มีกระดิ่งเล็ก ๆ ห้อยตามขอบหน้าต่าง เมื่อมีลมพัดจะส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง ๆ ไพเราะเสนาะหู ทุก ๆ จุดมีการประดับตกแต่งด้วยสีแดง ทั้งหวางฝูเต็มไปด้วยบรรยากาศอันรื่นเริง
เย่เซิงรู้เลยว่าการมาของพี่หญิงใหญ่ครั้งนี้สำหรับหวางฝูตระกูลเย่แล้วถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ระหว่างทางกลับเรือนเย่เซิงได้ไปป๊ะเข้ากับหลิงฮวา นางแต่งตัวเต็มยศแก้มสีอมชมพูให้ความรู้สึกเหมือนสาวน้อยสายน่ารักอ่อนหวานไร้เดียงสา เมื่อเห็นเย่เซิงนางก็รู้สึกประหลาดใจด้วยเหมือนกัน แต่นางก็ยังคีปลุคและวิ่งเข้ามาทักทายก่อน “พี่สิบสองสบายดีมั้ยเจ้าคะ?”
“สบายดี ว่าแต่น้องหลิงฮวาล่ะตอนนี้ทำอะไรอยู่?” เย่เซิงสังเกตเห็นว่าหลิงฮวาถือเสื้อผ้าเก่า ๆ มากมายไว้ในมือเลยถามขึ้น
“พี่สิบสองยังไม่ทราบอีกหรือเจ้าคะ?” หลิงฮวาถามอย่างงุนงง
เย่เซิงส่ายหัว
“พระมเหสีเย่กำลังจะกลับมาเยี่ยมเราในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นนายหญิงใหญ่จึงออกคำสั่งว่าทายาทสายตรงของครอบครัวทุกคนต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ และควรทิ้งเสื้อผ้าเก่าเสีย หลิงฮวาเองก็โชคดีได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเก่า ๆ พวกนี้ด้วย” หลิงฮวาตอบเบา ๆ
“อ้อ~ เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเถอะ” เย่เซิงรีบก้าวจากไป
หลิงฮวาจ้องมองเย่เซิงอย่างแปลกใจ และการจ้องมองของนางทำให้เย่เซิงรู้สึกขนลุกซู่ แต่สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้วเดินจากไปบ้าง
“หืม? หรือนางจะแปลกใจที่เราไม่โกรธ?” หลังจากที่หลิงฮวาจากไปแล้วเย่เซิงถึงพึ่งจะคิดออกเลยอดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้
เขาไม่เคยหวังว่าตัวเองจะได้เสื้อผ้าใหม่เหมือนคนอื่น ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นพอได้ยินสิ่งที่นางพูดมันเลยทำให้เขาไม่ได้คิดอะไรเลยจริง ๆ เสมือนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี้ยวข้องกับตัวเองแม้แต่นิดเดียว และที่สำคัญเลยคือไม่ว่าจะนายหญิงเฒ่า นายหญิงใหญ่หรือว่านายหญิงสองต่างก็รังเกียจเขาเข้ากระดูกดำกันทั้งนั้น มีหรือที่จะยอมปล่อยให้เขาได้มีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ดี ๆ ใส่เหมือนคนอื่น ๆ ได้?
เขามองลงมาดูเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่มาตลอดสามปี มันได้รับการซักล้างทำความสะอาดเป็นอย่างดีจนไม่มีคราบเปื้อนสกปรกใด ๆ เลยทำให้เขาไม่ได้สนใจว่ามันจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ จากนั้นก็กลับเข้าเรือนตัวเอง
หลังจากอาบน้ำและล้างตัวหลิวม่าจื่อก็เอาอาหารกองโตหรูหราอีกมื้อมาเสิร์ฟ เมื่อเทียบกับมื้อเที่ยงแล้วผักและผลไม้น้อยลงแต่เนื้อสัตว์มากขึ้น เย่เซิงฟาดจนเรียบแล้วขังตัวเองในห้องก่อนจะแอบฝึกฝน
หวางฝูตระกูลเย่ทั้งตระกูลใช้เวลาทั้งคืนกับการเตรียมงานรับเสด็จพระมเหสีเย่ที่จะมาเยือนในวันรุ่งขึ้น พวกคนใช้มือเป็นระวิง แม้แต่นายหญิงใหญ่ นายหญิงสอง นายหญิงเฒ่าก็ยังต้องยุ่งกับการเตรียมการเนื่องจากสถานะของพระมเหสีเย่สูงส่งจนพวกนางไม่อาจละเลยได้
บางทีคนที่ผ่อนคลายมากที่สุดในหวางฝูตอนนี้คงเป็นเย่เซิงนี่แหล่ะ เขาแอบฝึกฝนตนเองไปเงียบ ๆ โดยพยายามทำความเข้าใจกับผนึกสังสารวัฏในขณะที่จับตาดูตันเถียนดาวโลกไปด้วย
ชาวโลกเริ่มฝึกฝนมากขึ้นเรื่อย ๆ และจำนวนคนที่ฝึกฝนสามวิชาแรกตอนนี้มีเป็นหมื่นแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ถึงโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าก็ตาม แต่ก็ถือว่าได้เดินเข้าสู่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรกันแล้ว ส่วนหนึ่งร้อยเจ็ดคนแรกที่ไปถึงโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าตอนนี้มีประมาณสามสิบสี่สิบคนที่เลื่อนเป็นสองชั้นฟ้าได้แล้ว
ด้วยความเร็วในระดับนี้ อนาคตของดาวดวงนี้ในด้านการบำเพ็ญเพียรช่างสดใสจริง ๆ และหลังจากที่เย่เซิงเห็นแบบนี้แล้วเขาก็คิดกับตัวเองว่า ‘ต้องหาวิชาฝึกฝนร่างกายมาเสริมแกร่งแล้วจริง ๆ’
เพราะเมื่อจำนวนผู้ฝึกตนบนโลกเพิ่มขึ้น จำนวนจอมยุทธ์ระดับสูงก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ปริมาณความแข็งแกร่งที่เขาสามารถเพิ่มให้กับตัวเองได้นั้นก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวเข้าไปใหญ่ และเมื่อถึงขั้นนั้นอุปสรรค์อย่างเดียวในการใช้พลังก็คือขีดจำกัดของร่างกายนี่แหล่ะที่มันไม่สามารถรองรับการใช้พลังอันยิ่งใหญ่ได้
ถ้าหากเย่เซิงสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้เพียงพอและควบคู่ไปกับอัตราความก้าวหน้านี้ได้ล่ะก็ เขาจะสามารถสู้กับศัตรูที่อยู่ระดับสูงกว่าตัวเองได้ และถึงขนาดที่เอาชนะพวกมันได้ด้วย
ในคืนนี้เย่เซิงไม่นอนและใช้เวลาทั้งคืนฝึกฝนโดยไม่มีใครจับสังเกตได้
วันรุ่งขึ้นเย่เซิงได้เปิดประตูและสิ่งแรกที่เขาเห็นคือหวางฝูทั้งหมดอย่างกับถูกปรับโฉมใหม่ มีโคมสีแดงขนาดใหญ่แขวนอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีริบบิ้นผ้าไหมและป้ายแขวนอยู่ตามคานตามเสา แม้จะยังเช้าตรู่แต่ทุก ๆ คนที่มีสถานะสำคัญในหวางฝู่ตระกูลเย่ต่างไปยืนรออยู่ที่ซุ้มประตูหวางฝูเพื่อรอรับเสด็จพระมเหสี
คนรับใช้ทุกคนต่างรู้หน้าที่ของตนเลยพากันรออยู่เงียบ ๆ อยู่ข้างหลังเจ้านายตนโดยไม่กล้าแม้แต่จะตดออกมา
ไม่มีใครแจ้งเย่เซิงให้รู้เลย ทำอย่างกับว่าเขาไม่ได้อาศัยร่วมชายคาเดียวกัน
เย่เซิงเองก็ไม่ได้โกรธ ทำเพียงแค่ยืนมองเงียบ ๆ เนื่องจากสามปีผ่านไปแล้วมันทำให้เขาไม่รู้ว่าพี่หญิงใหญ่ที่เอ็นดูเขามากในตอนนั้น ในตอนนี้จะยังเอ็นดูเขาอยู่หรือเปล่า นางยังจะปฏิบัติกับเขาเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือไม่?
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เย่เซิงกังวล หากพี่หญิงใหญ่ยังคงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเดิมทุกประการล่ะก็ความกดดันที่เขาแบกรับอยู่มันจะลดลงอย่างมาก
แต่ถ้าพี่หญิงใหญ่ที่ไปเสวยสุขในวังอยู่สามปีได้ลืมน้องชายของตนไปแล้วล่ะก็ แผนที่เย่เซิงวางไว้จะกลายเป็นหมันและเขาต้องคิดแผนใหม่ทั้งหมด
แต่โอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นมีน้อยมาก เพราะเท่าที่เย่เซิงจำได้คือพี่หญิงใหญ่ที่แสนอ่อนโยนไม่ได้เป็นคนแบบนั้น
ขันทีได้มาถึงแต่เช้าเพื่อแจ้งให้ทางหวางฝูทราบล่วงหน้า เขาประกาศเสียงแหลมว่า “พระมเหสีเย่เสด็จออกจากวังแล้ว และพระนางจะมาถึงหวางฝูในอีกประมาณครึ่งชั่วยาม ขอนายหญิงเฒ่าและนายหญิงทั้งหลายเตรียมการรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติด้วย”
นายหญิงเฒ่านั้นมีผมเงินทั้งหัวลักษณะดูสุขุมสมเป็นผู้อาวุโส ในมือถือไม้เท้าหัวมังกรใบหน้าแสดงออกว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ใครหน้าไหนก็อย่าได้กล้ามาแหยมให้ต้องขุ่นเคือง นางได้ถามขันทีว่า “ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงเสด็จพร้อมกับพระมเหสีเย่หรือไม่?”
ขันทีที่เยาว์วัยกว่าก็ประสานมือตอบอย่างสุภาพว่า “วันนี้ฝ่าบาททรงมีพระราชกรณียกิจสำคัญบางประการซึ่งมิอาจปลีกตัวได้ ดังนั้นพระองค์จึงไม่อาจเสด็จมาพร้อมกับพระมเหสีเย่ แต่ว่าฝ่าบาททรงตรัสกับพระมเหสีเย่ว่าจะทรงเสด็จมาในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงขอนายหญิงเฒ่าช่วยเตรียมรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติด้วย”
“เข้าใจแล้ว” นายหญิงเฒ่าพยักหน้าตอบ นางอายุมากแล้วแต่กระดูกก็ยังแข็งแรงมาก แต่บุคลิกท่าทางของนางกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่ากระดูกของนางซะอีก นางหันไปหานายหญิงใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ แล้วพูดว่า “ไปเถอะ เตรียมฆ้องเตรียมกลองและรอคำสั่ง แล้วก็ไปจัดการถนนทั้งสายให้เรียบร้อยอย่างให้มีใครมารบกวนการเสด็จของพระมเหสีได้”
นายหญิงใหญ่ตอบเบา ๆ ว่า “พ่อบ้านฝูไปจัดการแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วลูกข้าล่ะอยู่ไหน?” นายหญิงเฒ่ามองไปรอบ ๆ สองสามครั้งแต่ไม่เห็นลูกชายเลยถามอย่างสงสัย
“นายท่านออกจากหวางฝูเมื่อวานนี้ ดูเหมือนว่าจะมีจอมยุทธ์ที่อันตรายมาก ๆ มาที่เซียนหยางดังนั้นจึงต้องออกไปดูด้วยตัวเองเจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่ตอบ
“ฮึ! จอมยุทธ์พวกนั้นไม่เคารพราชสำนักไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งขององค์จักรพรรดิ วัน ๆ เอาแต่ทำอะไรตามอำเพอใจไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสมควรถูกกวาดล้างไปให้สิ้น พวกที่เอาแต่เตร็ดเตร่อยู่ตามป่าเขาไม่มีหน้าไหนดี ๆ ซักตัว ควรให้สถานะพลเมืองชั้นต่ำกับพวกมันทั้งหมดจริง ๆ” นายหญิงเฒ่าเยาะเย้ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เมื่อนางโกรธ ทั้งนายหญิงใหญ่ทั้งหูเหมยที่ยืนอยู่ข้างหลังนางเลยไม่กล้าพูดอะไร บรรยากาศทั่วทั้งสถานที่หยุดนิ่งไปในทันใด
“ท่านย่า ท่านจะไปยุ่งกับจอมยุทธ์พวกนั้นไปเท่าไมเจ้าคะ? วันนี้พี่หญิงใหญ่กลับมาเยี่ยมเยียน หวางฝูตระกูลเย่เราก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ๆ และเนื่องจากพี่หญิงใหญ่ได้เป็นพระมเหสีขององค์จักรพรรดิ นางจึงช่วยเพิ่มเกียรติและศักดิ์ศรีของหวางฝู่ตระกูลเย่เราด้วยนะเจ้าคะ” เย่หลินเอ๋อกอดแขนนายหญิงเฒ่าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่ารักที่สุดเท่าที่จะทำได้
“จริงด้วย เราไปฉลองกันดีกว่า ดีกว่ามาพูดถึงเรื่องของไอ้พวกโง่นั่น” นายหญิงเฒ่ายิ้มอย่างอบอุ่นและเปลี่ยนจากโกรธเป็นอ่อนโยนทันที