วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0065
บทที่ 23 เหตุผลที่ข้าอยากเป็นดวงอาทิตย์ (4)
* * *
แสงที่ส่องลงมาจากดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน กำลังทำให้บริเวณโดยรอบสว่างไสว แสงแต่ละเส้นอาจดูเย็นชาและซีดจาง แต่เมื่อมารวมตัวกันในจุดเดียว กลับมอบความสว่างไสวได้ไม่ต่างจากแสงสุริยเทพ
ลิลี่ไม่เข้าใจความหมายของประโยครูนที่คังซอนฮูวาด รวมถึงความหมายของภาษาแห่งราชันที่อีกฝ่ายเปล่งออกมา
แรงสะเทือนหยุดลงแล้ว ผืนดินสีดำหยุดก็เดือดพล่านเช่นกัน
ราวกับความวุ่นวายเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา บรรยากาศรอบตัวสงบลงอย่างรวดเร็ว
เหล่าดารากรตระหนักถึงการมีอยู่ของดวงดาวที่มิอาจขึ้นสวรรค์
ตระหนักถึงเรื่องราวของดาวดำ ที่เคยตัดสินใจไม่ก้าวเข้าสู่ดินแดนทวยเทพ
การสั่นสะเทือนของดาวดำเริ่มลดลง
แม้แต่หลุมดำซึ่งดูดกลืนแสงได้ทุกชนิด ก็มิอาจดูดซับแสงของเหล่าดารากรได้ทั้งหมด
ลิลี่จ้องคังซอนฮู
คังซอนฮูกำลังแหงนหน้ามองฟ้า
“…เจ้ามีพลังส่งดาวดำขึ้นสวรรค์?”
ลิลี่คิดเช่นนั้น
คังซอนฮูไม่ได้เสี่ยงปล่อยดาวดำขึ้นสวรรค์ส่งเดช
ชายคนนี้รู้วิธี
ทว่า คำตอบที่ได้รับกลับต่างออกไป
“ไม่มี… จะไปมีของแบบนั้นได้ยังไง ฉันไม่ใช่ดารากรสักหน่อย”
“เช่นนั้นแล้ว รูนดังกล่าวแปลว่าอะไร”
“เหล่าดารากรจะหันมามองลูกหลานของพวกท่าน เป็นสารจากราชา”
“…แปลว่าแบบนั้นจริงๆ หรือ แล้วผลลัพธ์คืออะไร?”
คังซอนฮูพยักหน้า
ลิลี่ยังคงไม่เข้าใจ
เมื่อครู่เป็นเพียงเหตุการณ์ที่เหล่าดารากรจ้องมองมาครู่หนึ่ง?
จริงอยู่ที่ผลลัพธ์นำมาซึ่งฉากที่ใกล้เคียงปาฏิหาริย์ แต่นั่นจะช่วยอะไรได้จริงหรือ เธออดไม่ได้ที่จะสับสน
เมื่อแหงนมองดาวดำอีกครั้ง ลิลี่เห็นโฉมวิญญาณกำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยดวงตากระจ่างใส
ดาวดำกำลังประสานสายตากับเหล่าดารากร
เธอเผชิญหน้ากับเหล่าดารากรที่ส่องแสงอันงดงามท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
ลิลี่เห็นอารมณ์จากสายตาของดาวดำ ไม่เห็นคงจะแปลกกว่า ในสภาพที่อารมณ์กำลังท่วมท้นเช่นนี้
เป็นสายตาที่บ่งบอกถึงความปรารถนาอันแรงกล้า
ดาวดำคือตัวตนที่อุทิศชีวิตเพื่อเป็นดารากร แต่ไม่ได้ขึ้นสวรรค์
เช่นนั้นแล้ว หากดาวดำไม่ยอมจำนนต่อการผุกร่อนจนถึงที่สุด
หากเจตจำนงดังกล่าวยังคงแรงกล้ามาจนถึงทุกวันนี้
‘แค่แสดงสิ่งเหล่านั้นให้ดารากรเห็น ปาฏิหาริย์ก็สามารถเกิดขึ้นได้’
นั่นคือแนวคิดของนักแปรธาตุ ประโยครูนถูกสร้างเพื่อการนั้น
แสงสว่างจากเหล่าดารากร ส่องลงมายังดาวดำที่กำลังสั่นระริกตามลำพังในความมืด
แสงเหล่านั้นช่วยให้ดาวดำ หวนนึกถึงเป้าหมายที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกมาเป็นเวลานาน
เท่านี้ก็เพียงพอ
“ทองคำ… ของข้า…”
ลิลี่สะดุ้งตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงอันใสกังวานและทรงพลังของอีกฝ่าย
เสียงของดาวดำ
คังซอนฮูฉีกยิ้มกว้าง โสตประสาทและดวงตาเปิดออก ราวกับจะสลักทุกสิ่งที่เห็นลงในสมอง
「แสงสว่างอันเร่าร้อนที่ทำให้ข้าเต็มใจอุทิศแม้กระทั่งชีวิต… ทองคำของข้า… ราชาของข้า… ทุกสิ่งล้วนรวมอยู่ในนั้น」
ความปรารถนาอันแรงกล้าได้ปลุกให้ซากขี้เถ้ากลับมาลุกโชนอีกครั้ง
เปลวไฟที่เปรียบดังเจตจำนงอันแน่วแน่
คล้ายกับมีเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วโลก ผืนแผ่นดินอาจยังสงบนิ่ง แต่ท้องฟ้ากำลังสั่นสะเทือน
เฉกเช่นในยามระฆังเอล โรคร่า เบลล่าดังกังวาน เสียงคำรามของดาวดำดังแผ่ไปทั่วผืนฟ้า
คังซอนฮูแหงนมองด้านบน
“นี่คือเหตุผลที่ไม่สามารถใช้การเรียงตัวของหมู่ดาว ช่วยนำทางในต่างโลก”
หมู่ดาวมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
คราวนี้ทุกดวงเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อสร้างช่องว่างขึ้น ณ ใจกลาง
ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนของต่างโลกที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันอันฉูดฉาด ที่ว่างหนึ่งถูกเตรียมไว้
สำหรับให้ดารากรดวงใหม่ขึ้นสวรรค์
ปีกสองคู่สยายออกจากแผ่นหลังของโฉมวิญญาณดาวดำ ขนนกอันอ่อนนุ่มร่วงกราวเต็มทุ่งกว้าง
คังซอนฮูที่ยังคงแหงนหน้ามองฟ้า ไม่เห็นฉากเหล่านี้
แต่ลิลี่เห็น
ฉากอันน่าตื่นตาตื่นใจของโฉมวิญญาณดาวดำ ไม่สิ ดารากร
ปีกสองคู่ที่สยายออกมา ยื่นยาวแตะเส้นขอบฟ้า
ดวงวิญญาณของเธอเริ่มกระพือปีกและลอยขึ้น เกิดเป็นพายุแสงอันงดงาม
“…นี่คือร่างจริงของดารากร?”
ลิลี่พยักหน้ารับ
นับแต่นี้เป็นต้นไป ร่างของสตรีติดปีกมิได้เป็นแค่โฉมวิญญาณ แต่เป็นดารากรตัวจริง
ดารากรก้มมองลงมา
เป็นเพราะแสงจ้า ทั้งสองจึงมองไม่เห็นสีหน้าของดารากร
ดารากรก้มมองคังซอนฮู จากนั้นก็เงยหน้ามองเส้นขอบฟ้า
ละอองแสงทยอยมารวมตัวกันที่ฝ่ามือดารากร ก่อตัวกลายเป็นคันศรอันงดงาม
ดารากรยิงศรออกไป
ลูกศรพุ่งพร้อมกับสร้างร่องรอยละอองแสงตามทาง บินตรงไปยังเส้นขอบฟ้าด้วยความเร็วที่เหนือกว่าสายลม
ลูกศรพุ่งชนกับเทือกเขาบนเส้นขอบฟ้าและส่องแสงกลางอากาศ
ทันใดนั้น บางสิ่งที่ซ่อนอยู่เผยตัวออกมา
“เกาะ…”
“เกาะท้องฟ้าที่นักแสวงบุญคนนั้นเคยพูดถึง”
เหนือเทือกเขาหิมะ เกาะขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่บนท้องฟ้าห่างไกล เผยตัวให้เห็นราวกับเลิกผ้าคลุมออก
บนเกาะมีเมือง — หนึ่งในโบราณสถานของอารยธรรมเก่าแก่
ร่างดารากรลอยขึ้นไปบนฟ้า ยิ่งไกลก็ยิ่งมีขนาดเล็กลงจนดูคล้ายดวงดาว
「ขอบใจที่ช่วยให้ข้าได้พบกับราชาอีกครั้ง」
「เช่นนั้นแล้ว ข้าก็จะช่วยส่องแสงให้เจ้าตลอดการเดินทางค้นหาราชา」
คังซอนฮูกับลิลี่แหงนมองท้องฟ้า
ในเวลาเดียวกัน จุดแสงเล็กๆ จำนวนหนึ่งจากหอคอย ทยอยลอยตามดารากรขึ้นไป
เพียงเห็นก็ทราบได้ทันทีว่า นี่คือวิญญาณของผู้คน และคนรัก ที่ยอมสละชีวิตเพื่อดารากร
* * *
ณ จุดสิ้นสุดยุคทอง
อัศวินคนหนึ่งกำลังยืนบนเทือกเขาพลางจ้องมองประชาชน
ด้านข้างอัศวินคือชายผมสีม่วง กำลังคุกเข่าลงหนึ่งข้าง
“ท่านวีรชน”
“ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าเรียกแบบนั้น”
“…”
“อายจะแย่อยู่แล้ว”
อัศวินแหงนหน้ามองท้องฟ้า เห็นพระอาทิตย์สองดวงกำลังแผดเผาดินแดนอันแห้งแล้ง
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ขึ้นสวรรค์? เจ้าก็รู้นี่ว่าจะมีจุดจบเช่นไร”
อัศวินไม่พูด หลังจากเงียบไปสักพัก เธอโยนหมวกเหล็กที่มีรอยแตกฉกรรจ์ลงพื้น เผยให้เห็นเส้นผมสีแดงพัดกระพือเพราะแรงลม
“ไม่ใช่ว่าเจ้าอุทิศทั้งชีวิต… มาเนิ่นนาน… เพื่อให้ได้ขึ้นสวรรค์หรอกหรือ”
“ข้าจำไม่ได้แล้ว… มันผ่านมาเนิ่นนาน และข้าก็คงจะแก่แล้ว”
ชายผมม่วงเงยหน้าขึ้น
ด้วยใบหน้าฟูมฟาย
“ยังทำหน้าแบบนี้อยู่อีกหรือ… เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ช่วยทำหน้าทำนองว่า ‘อัศวินของพวกเรายอดเยี่ยมที่สุด!’ ไม่ได้หรือ”
“ทำไมวันนั้นเจ้าถึงไม่ยอมขึ้นสวรรค์? ไม่ใช่ว่าปกป้องพวกเรามานานเพียงพอแล้วหรือ? ทำไมถึงต้องเสียสละเพื่อประชาชนถึงเพียงนี้”
แก๊ง—!
อัศวินทำดาบหลุดจากมือ
ปลายนิ้วที่กำลังสั่นสะท้าน มีสีดำสนิท
ได้เห็นภาพดังกล่าว ชายผมสีม่วงร้องไห้หนักกว่าเก่า
อัศวินซ่อนมือไว้ด้านหลังพร้อมกับคุกเข่าลงหนึ่งข้าง จนมีระดับสายตาเท่ากับชายผมสีม่วง
“ไม่ใช่ว่ายุคทองจบลงแล้วหรือ… ราชาก็สิ้นพระชนม์แล้ว และจะไม่มีราชาองค์ใหม่ไปอีกแสนนาน”
“…”
“ข้าพูดถูกไหม”
“ถูก”
“เกี่ยวกับการขึ้นสวรรค์ ข้าเคยไตร่ตรองมานาน หากข้าตัดสินใจเช่นนั้นและได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ เมื่อยุคสมัยนี้จบลงและแทนที่ด้วยยุคสมัยแห่งการเฉื่อยชาอันยาวนาน ข้าจะมีความสุขที่ได้จ้องมองภาพเหล่านั้นจริงหรือ?”
ชายผมม่วงตอบไม่ได้
“ข้าจะมีความสุขหรือ ที่ได้เห็นประชาชนที่ข้าหันหลังให้ทยอยล้มตาย?”
ชายผมม่วงตอบไม่ได้
“นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด… และหลังจากคอยปกป้องพวกเจ้ามาเนิ่นนาน มันได้กลายเป็นนิสัย กลายเป็นชะตากรรม และกลายเป็นความหมายในการดำรงอยู่เดียวของข้า”
“ไม่ใช่ว่าเจ้ายอมทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ได้ขึ้นสวรรค์หรอกหรือ”
อัศวินครุ่นคิด ก่อนจะได้ข้อสรุปในใจและส่ายศีรษะ
“มันอาจเริ่มด้วยความตั้งใจแบบนั้น แต่ยิ่งผ่านมาเนิ่นนาน ข้าก็ยิ่งลืมเลือน สิ่งที่เหลืออยู่ในปัจจุบันมีเพียงการปกป้องผู้คน และ…”
อัศวินกุมมือของชายผมม่วง
“ปกป้องชีวิตของคนที่ข้ารักและตายไปพร้อมกับเขา… สิ่งเหล่านี้ต่างหาก คือแสงสว่างอันเร่าร้อนที่ข้าจะอุทิศตัวให้”
ชายผมสีม่วงสัมผัสถึงความเย็นจากปลายนิ้ว ขณะเดียวกันก็พยายามข่มความเศร้า
อัศวินยังคงยิ้มแย้ม ดังนั้นเขาจึงห้ามเศร้า
“ข้าสารภาพความรู้สึกไปแล้ว เจ้าจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ”
“เจ้าคอยปกป้องข้ามานาน… ถึงคราวที่ข้าต้องปกป้องเจ้าบ้างแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องพาเจ้าขึ้นสวรรค์ให้ได้”
อัศวินฉีกยิ้มกว้าง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและมองไปทางดินแดนอันแห้งแล้งที่ขยายไปถึงเส้นขอบฟ้า ไกลลิบๆ มองเห็นเมืองได้เลือนราง
“…ยุคทองกำลังจะสิ้นสุด นักพยากรณ์กล่าวไว้เช่นนั้นสินะ? ถัดไปจะเป็นยุคสมัยแห่งการเฉื่อยชาอันยาวนานที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดตอนไหน”
ชายผมสีม่วงหันไปมองดินแดนอันแห้งแล้ง
ความรุ่งโรจน์ที่มาพร้อมกับสายลม ค่อยๆ เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา
“อย่าได้สูญเสียความหวัง เพราะสักวันยุคทองจะหวนกลับมาอีกครั้ง”
“…”
“หากข้าทนได้จนถึงตอนนั้น ราชาองค์ใหม่จะปรากฏตัวและนำยุคทองกลับมา นั่นคือโอกาสที่ข้าจะได้ขึ้นสวรรค์…”
อัศวินแหงนมองฟ้า
“ข้าจะกลายเป็นดารากรคนแรกของยุคทอง… ฟังดูโรแมนติกดีไม่ใช่หรือ”
* * *
หลังจากนั้น พวกเราต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดตัวเอง
ฉันเห็นลิลี่ร้องไห้ แต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น เพราะเธอพยายามหันหน้าหนีราวกับต้องการจะซ่อน
ฉันนั่งลงและนำเข็มชี้สีทองออกมา จ้องมองอยู่สักพักพลางตัดสินใจบางสิ่ง
เข็มชี้หันไปทางทิศเหนือ
หรือระบุให้ชัดเจน มันชี้ไปทางเกาะท้องฟ้าอันห่างไกล ที่เพิ่งเผยตัวให้เห็นเมื่อสักครู่
“นักแสวงบุญคนนั้นบอกว่า ปลายทางของฉันคือท้องฟ้าสินะ”
ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ดารากรที่ขึ้นสวรรค์ ช่วยลบม่านที่บดบังเกาะท้องฟ้า
ตอนนี้เป้าหมายชัดเจนแล้ว เหลือแค่เริ่มออกเดินทาง
อันที่จริง ฉันเคยกังวลเมื่อได้ยินว่าปลายทางคือท้องฟ้า แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะดำเนินไปหลายก้าวกระโดดในพริบตา
ลิลี่จ้องฉันสักพักก่อนจะพูด
“ข้ามีคำถามมากมาย… เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องราวในสมัยนั้น”
หมายถึงสมุดบันทึกสินะ
สารภาพตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่หนึ่งสิ่งที่แน่ชัดก็คือ ช่วงเวลาที่ฉันเคยดิ้นรนอาจไม่ใช่ปัจจุบัน
ไม่สิ มันต้องไม่ใช่ปัจจุบันอยู่แล้ว
ไม่น่าเชื่อว่า ฉันเคยเอาชีวิตรอดอยู่ในยุคโบราณของต่างโลก
“…ฉันก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน”
แต่สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือ ยิ่งผจญภัยต่อไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งพบคำตอบของคำถามข้างต้น
รู้เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ออกสำรวจโลกกว้าง
ลิลี่แหงนมองฟ้า
“ในที่สุดดารากรก็ได้รับผลตอบแทนจากความเชื่อ”
“ถึงจะใช้เวลานานไปบ้างก็ตาม”
“…นี่คือปลายทางของผู้ที่เดินตามชะตากรรมจนถึงที่สุดใช่ไหม”
คำถามน่าสนใจ
ฉันรู้ดีว่าลิลี่ยึดมั่นในชะตากรรมเพียงใด
และไม่มีความจำเป็นต้องสั่นคลอนความเชื่อดังกล่าว
หรืออีกนัยหนึ่ง ฉันควรปกป้องความไร้เดียงสาของเธอเอาไว้
ฉันพยักหน้ารับ เพราะฉันก็ปรารถนาจุดจบแบบเดียวกัน
คนที่พยายามจนถึงที่สุด ควรจะมีความสุขในตอนสุดท้าย
นั่นคือจุดจบที่ทุกคนชื่นชอบ
“เจ้าเป็นปุถุชนคนแรกที่ถูกอวยพรโดยสองดารากร”
“งั้นหรือ”
“ไม่ใช่แค่นั้น… เจ้ายังเป็นมนุษย์ มนุษย์ไม่เคยได้รับความคุ้มครองจากดารากรมาก่อน”
ลิลี่กล่าวพลางยิ้ม
“เธอจะพักก่อนไหม? พวกเราเพิ่งผ่านเรื่องยากลำบากมา”
“พักอะไร? ใครเหนื่อย?”
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
หลังจากเสกคันศรนักพเนจร ฉันบรรจุลูกศรแตรและยิงขึ้นฟ้า
หวูด—!
ลูกศรลอยขึ้นไปพร้อมกับเสียงหวูด
จากจุดห่างไกล เรลิกซิน่ากระทืบกีบเท้าพร้อมกับเร่งความเร็วตรงมาทางพวกเรา เปลวไฟสีฟ้าบนแผงคอมองเห็นได้จากที่นี่
“คนในหมู่บ้านของเจ้าคงแตกตื่นกันอีกครั้ง”
“ได้ยังไง?”
“ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่เห็นเหตุการณ์ ดวงดาวจำนวนมากเพิ่งเคลื่อนไหว แม้กระทั่งเกาะท้องฟ้าก็ยังเผยตัว… ทั้งหมดเป็นฝีมือของเจ้า”
ฉันอมยิ้ม
เป้าหมายของการสำรวจ คือการทำในสิ่งที่ไม่คาดฝันอยู่แล้ว แม้จะฟังดูแปลก แต่นั่นคือความจริง
ถ่ายภาพที่ขั้วโลกใต้ครั้งแรก, ปีนถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ครั้งแรก, ย่ำเท้าลงบนอารยธรรมมายันครั้งแรก ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน
ฉันตรวจสอบสัมภาระก่อนจะออกเดินทาง
ทันใดนั้น แสงจางๆ ส่องลงมาจากท้องฟ้า
ฉันแหงนหน้ามองและพบว่า เป็นฝีมือดารากรที่เพิ่งได้ขึ้นสวรรค์ เธอกำลังฉายแสงลงมาที่นี่
ฉันสงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร แต่เมื่อตั้งใจสังเกต ฉันเห็นบางสิ่งลอยลงมาท่ามกลางลำแสง
อัญมณีสีส้มรูปไข่
ส่องแสงเจือจาง แต่ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งมอบความอบอุ่น
อ้างอิงจากสมุดบันทึกของฉัน มันเคยเป็นทรัพย์สินของชายผมสีม่วงมาก่อน
วัตถุที่ถือครองโดยชายผู้สร้างหอคอยและกลายเป็นสุริยเทพ
ศิลาสุริยัน
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (2/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel