บทที่ 17: สาเหตุการตายของแม่
“ใครวะ? ใครลอบเล่นงานข้าวะ?” ไอ้คนที่ตกม้าลุกขึ้นมาด้วยความโกรธพลางสาดสายตาอาฆาตไปรอบ ๆ หมายจะหาผู้กระทำผิด
แต่ใกล้ ๆ กับมันก็มีคนเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และไอ้คนผู้นั้นบัดนี้มันยังนอนอยู่บนพื้นอยู่เลยแถมเสื้อผ้ามันยังมีรอยรองเท้าประทับอยู่อย่างชัดเจน
“หยางเฟิง เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? เจ้าลงไปคลุกขี้วัวได้อย่างไรกันรึ ฮึ?” เสียงหยอกล้อจากไอ้ตัวผู้บนหลังม้าตัวอื่น ๆ ดังขึ้นตรงหน้า
พี่หญิงสามเองก็ขี่ม้ากลับมาแล้วพูดว่า “หยางเฟิง จู่ ๆ เจ้าตกจากหลังม้าได้ยังไง?”
หยางเฟิงมองไปรอบ ๆ อย่างขุ่นเคืองและในที่สุดก็จ้องมองไปที่เย่เซิงอย่างอาฆาตแค้นแล้วกล่าวว่า “ไอ้สามัญชนชั้นต่ำนั่นมันคงทำให้ม้าของข้าตกใจ!”
มันยกง้างเท้าเตรียมตวัดเตะใส่เย่เซิงอีกครั้งเพื่อระบายแค้น
เพี้ยะ!
แส้ได้ฟาดลงตรงหน้ามันทำให้มันถึงกับต้องก้าวถอยหลัง
“เย่หลินเอ๋อร์ เจ้าทำอะไร?” ไอ้หยางเฟิงถามอย่างไม่พอใจ
พี่หญิงสามเย่หลินเอ๋อลงจากหลังม้าและเดินเข้ามาใกล้ ๆ เย่เซิงเพื่อดูให้ชัด ๆ “นี่ดูเหมือนน้องสิบสองของข้า มันมาทำอะไรที่นี่กัน?”
ลูกหลานขุนนางคนอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจ “น้องสิบสอง? หนึ่งในลูกชายเย่หวางเหย่?”
“ในเมื่อเป็นคนจากหวางฝู่ตระกูลเย่แล้วทำไมถึงแต่งตัวซ่อมซ่อเช่นนี้?”
“แถมพลังก็อ่อนแอ ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ เจ้าจะบอกว่าในหวางฝู่ตระกูลเย่ยังมีเด็กที่ไม่ได้เรียนวรยุทธ์อยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ?” หยางเฟิงถามอย่างสงสัย
เย่หลินเอ๋อจ้องมองมันแล้วตอบว่า “แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกชอบอ้างเอาใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็นน้องชายของตนหรือไม่? พ่อข้าไม่ค่อยชอบมันทำให้ไม่มีใครให้ความสำคัญกับมันเลย แต่มันก็ยังคงเป็นน้องชายข้าอยู่ดี แล้วรอยเท้านี่มันมายังไง?” เย่หลินเอ๋อชี้ไปที่รอยเท้าอันเด่นชัดที่หน้าอกของเย่เซิงแล้วถามออกมา
ไอ้หยางเฟิงก็เย้ยหยันอย่างเย็นชาและไม่ยอมรับความผิด “ฮึ! แล้วข้าจะไปรู้กับมันเรอะ?”
เย่หลินเอ๋อเห็นหน้าไอ้หยางเฟิงที่เลอะขี้วัวไปหมดแล้วรู้สึกรังเกียจสุด ๆ เลยโบกมือไล่ “ช่างมัน ๆ เจ้าน่ะกลับไปอาบน้ำดีกว่า ส่วนน้องชายข้าเดี๋ยวข้าพามันกลับบ้านเอง”
ด้วยเหตุนี้เย่หลินเอ๋อจึงดึงเย่เซิงขึ้นจากพื้นแล้วเหวี่ยงเขาขึ้นบนหลังม้าของนางแล้วควบม้าจากไปพร้อม ๆ กับลูกขุนนางตัวอื่น
เหลือก็แต่ไอ้หยางเฟิงเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง มันทำลายต้นไม้ไปหลายต้นด้วยความโกรธก่อนจะเดินกลับบ้านอย่างเงียบ ๆ
เย่เซิงที่นอนบนหลังม้าหลับตาและหายใจอย่างแผ่ว ๆ เขานั้นได้ใช้วิชาสวมคราบอยู่เลยไม่มีใครที่จับพิรุธได้เลย
เนื่องจากมีคนอยู่บนหลังม้ามากกว่าหนึ่งคนเลยทำให้เย่หลินเอ๋อไม่ได้ควบเร็ว นางปล่อยให้มันเดินตรงไปตามใจแล้วพูดคุยกับพวกลูกขุนนางทั้งหลาย
“เย่หวางเหย่กลับบ้านแล้ว เพราะงั้นหลินเอ๋อเอ๋ย ข้าว่าเจ้าต้องโดนดุอีกครั้งแน่ ๆ” หนึ่งในนั้นล้อเลียนโดยแทงใจดำเย่หลินเอ๋อเข้าเต็ม ๆ
“ฮึ! ใครสนเล่า? อย่างมากข้าก็แค่โดนดุ ข้ามีท่านแม่กับท่านย่าคอนหนุนหลังอยู่มีอะไรต้องกลัว” เย่หลินเอ๋อตอบอย่างเย้ยหยัน
“โดนตำหนิก็เป็นเรื่องธรรมดา ในหมู่พวกเรามีใครบ้างที่ไม่เคยโดน? ทุกคนในเซียนหยางบอกว่าพวกเราเป็นพวกไร้ประโยชน์กลุ่มหนึ่งที่ทำให้บรรพบุรุษต้องอับอาย แต่ใครจะสนเล่า? แค่เรามีความสุขก็พอแล้ว” ชายหนุ่มอีกคนพูดอย่างเย็นชา
“ถูกต้อง ในโลกนี้มีแต่ความทุกข์ยากอยู่มากมาย แล้วยังไงเล่า? พวกเราเกิดมารวย ท่านพญายมส่งเรามาเกิดในครอบครัวที่แสนวิเศษขนาดนี้ ถ้าเราไม่เพลิดเพลินให้เต็มที่ก็คงทำให้ท่านต้องผิดหวังแล้วไม่ไช่หรือไร?” ชายร่างท้วมเล็กน้อยกล่าว
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ! หลินเจี๋ยพูดถูก ข้าเกิดมาดีกว่าผู้คนอื่น ๆ ถึงเก้าสิบในร้อยคน แล้วข้าจะลงไปทำงานหนักให้มันได้อะไรเล่า? ไปใช้ชีวิตให้สนุกไร้กังวลยังจะดีซะกว่า”
“ถูกต้อง ๆ เกิดเป็นชนชั้นสูงแต่ยังต้องการทำงานอย่างหนัก หัวคงไปโดนลาเตะมาล่ะสิถึงได้เป็นแบบนั้น ไม่รู้จักใช้ชีวิตเอาซะเลยจริง ๆ การฝึกวรยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญก็จริงอยู่ แต่ด้วยทรัพยากรที่มากมายเกินพอถึงขนาดนั้นเราสามารถเป็นระดับเซียนเทียน (ก่อนฟ้า) ได้อยู่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นอายุขัยเราก็เพิ่มเป็นร้อยปี พอรับมรดกจากครอบครัวแล้วก็ไปใช้ชีวิตสบาย ๆ ตามใจชอบ”
การสนทนาของลูกหลานขุนนางพวกนี้นั้นช่างโอ้อวดและไร้การควบคุมตัวเอง
“พวกเจ้าทุกคนแค่อยากกินดื่มและรอวันตาย แต่ข้าต้องการฝึกฝนวรยุทธ์และกลายเป็นเซียนในอนาคต” เย่หลินเอ๋อกล่าวอย่างไม่มีความสุข
“ฝึกวรยุทธ์จนกลายเป็นเซียน? เย่หลินเอ๋อเอ๊ย เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าเจ้าหวังมากเกินไป? เย่หวางเหย่พ่อเจ้าอาจเป็นเซียนอันดับหนึ่งในบรรดาสิบสองเซียนผู้ครองโลก แต่เจ้าสิเหมือนไม่ได้รับสายเลือดพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ใด ๆ จากพ่อเจ้ามาเลย” ไอ้อ้วนสาดน้ำเย็นใส่นางทันที
“หุบปาก! ข้าพึ่งไปขอเป็นศิษย์ของอาจารย์ท่านหนึ่งมาและท่านบอกว่าพรสวรรค์ข้าไม่เลว เพียงแต่พ่อข้าไม่ได้สอนข้าอย่างเต็มที่ก็เท่านั้นเอง!” เย่หลินเอ๋อคำรามตอบกลับเนื่องจากความอับอายกลายเป็นความโกรธ
“อ๋อเหรอ? แล้วอาจารย์คนใหม่ของเจ้าเป็นใครกันอีกล่ะหนอ~?” ลูกหลานขุนนางทุกคนหัวเราะเสียงดัง
เย่เซิงยังคงฟังการสนทนาของพวกมันอยูเงียบ ๆ และเป็นต้องกลั้นขำสุด ๆ อยู่เหมือนกัน เนื่องจากช่วงเวลาหลายปีมานี้เย่หลินเอ๋อได้กลายเป็นศิษย์ของอาจารย์มากเกินไปแล้ว นางมีอาจารย์มากมายแม้ยังไม่ถึงสามสิบแต่ก็ไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนแน่นอน
ทุกครั้งที่นางพบอาจารย์คนใหม่นางจะตื่นเต้นมาก แต่นางก็ไม่สามารถอยู่กับอาจารย์คนนั้นได้นาน ในที่สุดนายหญิงใหญ่ก็เลิกสนใจเรื่องนี้อีกและอนุญาตให้เย่หลินเอ๋อออกไปตามหาอาจารย์บ้าบออะไรของนางตามแต่ใจปรารถนา
เย่เซิงจะไม่ได้สนใจเรื่องในบ้านเลยก็ตาม แต่ไอ้พวกคนใช้ที่ปากก็เอาแต่ซุบซิบนินทาเจ้านายไม่เว้นแต่ละวันก็ยังทำให้เขาเขาได้รู้เรื่องนี้อยู่ดี
“เชิญพวกเจ้าหัวเราะเยาะข้ากันไปเถอะ ยังไงข้าก็ไม่อาจบอกถึงตัวตนของอาจารย์ได้ บอกได้แค่ว่าแซ่ไป๋ เป็นชายที่หล่อเหลาและสง่างามอีกทั้งยังมีความสามารถมากพอที่จะสอนข้าให้เป็นเซียนได้” เย่หลินเอ๋อพูด
เย่เซิงถึงกับตัวแข็งทื่อ ‘แซ่ไป๋ หล่อเหล่าและสง่างามแถมยังเก่งกาจขนาดสามารถสอนอีเย่หลินเอ๋อนี่ให้กลายเป็นเซียนได้?’
‘ทำไมฟังดูเหมือนสเปคของจิ้งจอกเซียนไป๋อวี้เถียนเลยวะ? แต่ไป๋อวี้เถียนมีเรื่องบาดหมางกับเย่หวางเหย่อยู่ไม่ใช่เหรอ? แล้วไปรับเย่หลินเอ๋อเป็นศิษย์เนี่ยนะ?’
“แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะยอมให้พวกเราทุกคนได้พบกับท่านเซียนไป๋ผู้ยิ่งใหญ่นี่เล่าฮึ?” หนึ่งในนั้นถาม
เย่หลินเอ๋อส่ายหัวตอบ “เจ้าลืมเรื่องนั้นไปได้เลย คราวนี้ข้าจะปิดบังตัวตนของอาจารย์และจะไม่ปล่อยให้ใครค้นพบอย่างแน่นอน มิฉะนั้นเดี๋ยวจะพาลไปรบกวนความสงบสุขของท่านเข้า”
“เอาล่ะ ๆ มาถึงประตูเมืองกันแล้ว ยังไงข้าก็ไม่บอกพวกเจ้าหรอก กลับบ้านกันเถอะ” เย่หลินเอ๋อโบกมือแล้วพูดอย่างเด็ดขาดก่อนจะเข้าไปในเมืองเซียนหยาง
...
เมื่อเข้าไปในหวางฝูตระกูลเย่ นายหญิงใหญ่รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เย่หลินเอ๋อกลับมา แต่เมื่อนางสังเกตเห็นเย่เซิงที่นอนหมดสติก็ขมวดคิ้วและถามว่า “เจ้าไปเจอมันได้ยังไง?”
เย่หลินเอ๋อตอบอย่างใจเย็นว่า “ข้าพบเจอมันระหว่างทางกลับ ไอ้หยางเฟิงนั่นดันไปเตะมันเข้าที่กลางอก เนื่องจากมันเองก็เป็นคนตระกูลเย่ข้าจึงพามันกลับมาบ้านด้วย”
นายหญิงใหญ่พึมพำอย่างเย็นชาว่า “มันก็แค่ไอ้โง่ไร้ประโยชน์ ถูกเตะตายก็ปล่อยให้ตายไปสิ เจ้าจะพามันกลับมาด้วยทำไม?”
เย่หลินเอ๋อตอบว่า “มันแค่หมดสติไป ดังนั้นเรายังสามารถช่วยมันได้ แถมตอนนี้พ่อก็ยังอยู่ที่บ้านด้วย แม้ไอ้หยางเฟิงมันจะงี่เง่าขนาดไหนก็ตาม แต่เกิดมันต้องจบเห่เพราะเตะลูกชายคนหนึ่งของเย่หวางเหย่จนตายล่ะก็มันต้องโดนลงโทษเป็นแน่ ถึงข้าจะเกลียดมันแต่ตระกูลหยางของมันกลับให้การสนับสนุนพี่ใหญ่อยู่”
นายหญิงใหญ่ที่ได้ยินคำตอบก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรู้ความสามารถคิดได้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้ เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ พี่ใหญ่ของเจ้าอยู่ข้างนอกและด้วยการสนับสนุนจากตระกูลหยางเราจะสามารถปราบปรามพี่น้องคนอื่น ๆ ได้ ที่เจ้าทำนั้นถูกต้องแล้ว ส่วนไอ้ขยะนี่ให้คนใช้ส่งมันกลับเรือนสุนัขนองมันไปเสีย ขอแค่มันยังไม่ตายก็พอแล้ว”
“ท่านแม่จัดการไปเถอะ ข้าจะไปหาท่านพ่อก่อน” เย่หลินเอ๋อตอบอย่างเฉยเมย
“งั้นก็ไปเถอะ อย่าลืมพูดจาดี ๆ เอาอกเอาใจให้พ่อเจ้าชอบด้วย อย่าได้เอาแต่ใจอีก” นายหญิงใหญ่กำชับ
“เจ้าค่ะ…” เย่หลินเอ๋อหันหลังและจากไป
ในที่สุดนายหญิงใหญ่ก็หันความสนใจไปที่เย่เซิง ท่าทางที่นางแสดงออกดูห่างเหิน ในดวงตาขุ่นมัวราวกับกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่
ทันใดนั้นนางก็ยื่นมือออกไปจับหน้าเย่เซิงแล้วพลิกซ้ายพลิกขวาพลางพูดเบา ๆ ว่า “หน้าเหมือนนังมารแม่มันจริง ๆ นังนั่งเก่งแต่ล่อลวงคนอื่น ถ้าวันนั้นนังนั่นไม่เข้ามาในหวางฝูข้าคงไม่สูญเสียความโปรดปรานไปหรอก แต่น่าเสียดายที่ชาติกำเนิดเจ้ามันน่าสมเพชสุดท้ายเลยต้องจบชีวิตเพราะคาถาขุยป้าย จะเหลือก็แต่ไอ้ขยะชิ้นนี้ที่ต้องมีชีวิตบัดซบยิ่งกว่าสุนัข ช่างทำให้ข้าอยากจะหัวเราะดัง ๆ ให้สาแก่ใจจริง ๆ”
หัวใจของเย่เซิงสั่นเทา ‘อาไรน้า~? นี่แม่ตูโดนฆ่าตายงั้นเร้อออออ?’
“แต่อย่ากังวลไป ข้าจะไม่ฆ่าลูกชายเจ้าหรอก เพราะเมื่อเห็นหน้ามันทีไรข้าก็พาลต้องนึกถึงหน้าเจ้า ลูกชายที่เลอค่าที่สุดของเจ้าต้องมีชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรี นั่นทำให้ข้ามีความสุขมากกว่าการฆ่ามันจริง ๆ และแน่นอนว่าข้าย่อมรู้เรื่องที่หูเหมยทำกับมัน แต่ข้าก็ไม่หยุดนางหรอก ข้าจะปล่อยให้นางลงมือทรมานลูกชายสุดที่รักของเจ้าต่อไปเรื่อย ๆ การมองดูมันโดนคนอื่นทรมานนี่ก็ช่างสาสมใจข้าเหลือเกิน~ แต่ที่น่าเสียดายก็คือเจ้าไม่น่าถูกฆ่าเลย ทำให้ข้าอดฝึกวิชาของนิกายสังสารวัฏเหล่าพวกนั้น เจ้าไม่ได้ส่งต่อให้ลูกชายบ้างเลยเหรอฮื้ม~?” อีนายหญิงใหญ่เดินไปรอบ ๆ เย่เซิงและมองดูเขาอย่างระมัดระวัง มันตรวจสอบเขาแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ ปราณของเย่เซิงยังคงอ่อนแอเกินไปไม่ต่างจากปุถุชนคนธรรมดา
“พวกเจ้ามาพาเย่เซิงกลับไปที่เรือนของมันเดี๋ยวนี้ แล้วเรียกหมอมาดูอาการให้มันด้วย ข้าเป็นนายหญิงใหญ่ของบ้านนี้จึงไม่สามารถละเลยสุขภาพของลูก ๆ ของเย่หวางเหย่ได้” อีนังนายหญิงใหญ่ตะโกนเสียงดัง