บทที่ 16: พี่หญิงสาม
เย่เซิงกลับไปที่กระท่อมไม้หลังเล็ก หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งวันนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไหสุราในมือนี้ล่ะก็เขาคงคิดว่าเรื่องที่เจอมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น
เขาได้ไปเห็นปีศาจจิ้งจอกสาวอาบน้ำ นายหญิงสามปรากฏตัวอีกครั้งหลังจากหายตัวไปนานกว่าสิบปี เขาได้รู้ถึงแผนการที่จุดธูปบูชาเทพที่จะทำให้คนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เจอกับนักฆ่าที่อีหูเหมยกับลูกมันส่งมาไล่ฆ่า เจอเข้ากับหมายเลขเก้าของโลกที่ชื่อว่าจิ้งจอกเซียนไป๋อวี้เถียน
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ที่เขาผ่านมาช่วยให้เย่เซิงเห็นภาพของต้าฉินของโลกนี้ได้ชัดเจนขึ้นว่ามันเป็นอย่างไร
หากระดับวรยุทธ์ไปถึงจุดสูงสุดก็จะถูกยกย่องว่าเป็นเซียน ตำนานโชคลางภูตผีปีศาจอะไรก็มีหมด มีขนาดจุดธูปบูชาเทพเจ้าเพื่อฟื้นฟูเศษเสี้ยวของวิญญาณแล้วทำให้ฟื้นคืนชีพ
แปลว่าในโลกใบนี้ทุก ๆ อย่างล้วนเป็นไปได้
“ตัวเราเองก็เข้าสู่โลกบำเพ็ญเพียรแล้วเหมือนกัน และมีแต่ต้องออกจากหวางฝู่ตระกูลเย่เท่านั้นเราถึงจะสามารถทะยานขึ้นสู่ที่สูงได้” เย่เซิงยังคงมีสติครบถ้วนแม่นยำ
เขาฝึกฝนตราประทับสังสารวัฏที่หายากและได้เข้าสู่ขั้นเสวฮุ่ยแล้ว เมื่อระดับการฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นเขาก็จะค่อย ๆ เพิ่มความแข็งแกร่งไปด้วยเช่นกัน เหตุผลที่ยังทำให้ใจเขาอยู่ที่หวางฝู่ตระกูลเย่นั้นเหลือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือเขาต้องการเอาคัมภีร์ที่เหลือของแม่เขาที่นายหญิงใหญ่ยึดไปกลับคืนมา
นายหญิงใหญ่เอาคัมภีร์ฝึกยุทธ์ของแม่เขาไปห้าเล่ม มีหนึ่งเล่มส่งให้หลิงฮวาไปแล้ว และนางยังเหลืออยู่อีกสี่เล่ม ทั้งสี่เล่มนี้ต้องเป็นวิชาหายากที่สืบทอดต่อ ๆ กันมาในนิกายสังสารวัฏอย่างแน่นอน เย่เซิงจึงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าไม่ว่าจะต้องใช้วิธีแบบไหนก็จะเอามันกลับคืนมาให้ได้
“แม่เราเป็นถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์ของนิกายสังสารวัฏ เพราะงั้นก็เป็นธรรมดาที่เราจะสืบทอดวิชาของนิกายสังสารวัฏ” นี่คือความคิดของเย่เซิง
เขายังคงรู้สึกเจ็บปวดมากภายในร่างกายดังนั้นจึงเปิดเหยือกสุรา กลิ่นหอมของผลไม้ตลบอบอวลไปทั่วทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายลงมาก
เย่เซิงดื่มลงไปหลายอึก สุรานั้นหวานปานน้ำผึ้งกระตุ้นให้ในปากเขายิ่งมีน้ำลายออกมาเพียบ
หลังจากดื่มสุราแล้วเขารู้สึกว่าท้องมันอุ่นขึ้น จากนั้นความอบอุ่นก็เริ่มไหลจากบริเวณท้องไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
เย่เซิงรู้สึกราวกับกำลังแย่ตัวอยู่ที่บ่อน้ำพุร้อน ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจางหายไปทำให้รู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง
ดวงตาของเย่เซิงเบิกกว้าง เขามองดูสุราในมือด้วยความปิติยินดี อย่างที่คิดไว้เลย สมบัติที่เซียนหมายเลขเก้าของโลกให้มานี่สุดยอดโคตร ๆ เลยจริง ๆ
ด้วยความอบอุ่นที่ห่อหุ้มตัวนั้นทำให้ไม่นานอาการบาดเจ็บรวมไปถึงความเจ็บปวดหายไปเป็นปลิดทิ้ง แถมสุรายังมีฤทธิ์ช่วยในการโคจรพลังปราณให้เร็วขึ้นอีกด้วย
สุรานี้จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเท่านั้นแต่ยังช่วยเพิ่มศักภาพในการฝึกฝนด้วย
เย่เซิงลุกขึ้นยืนและเริ่มฝึกวิชา เพลงหมัดกุ่นฉี! เพลงกระบี่ลั่วเย่! จี๋เฟิงปู้! สามวิชาพื้นฐานนี้ถูเย่เซิงใช้ออกและสำแดงอานุภาพอันน่าเหลือเชื่อออกมา
เย่เซิงยังสามารถใช้วิชาสวมคราบได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน เขาเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายของตนไปเรื่อย ๆ บ้างก็เป็นชาวนา บ้างก็เป็นปราชญ์บ้างก็คนขายเนื้อ
ในตอนท้ายเย่เซิงได้เปิดใช้งานผนึกสังสารวัฏและซัดฝ่ามือออกไป
ตู้ม!
กระท่อมไม้ทั้งหลังพังทลายลงด้วยเสียงอันดัง พื้นดินด้านล่างทรุดตัวลงกลายเป็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว ผลงานที่ได้ค่อนข้างน่าตกใจ
เย่เซิงมองด้วยความอึ้ง “นี่แค่ขั้นเสวฮุ่ยนาเฮ่ย แถมผนึกสังสารวัฏอันแรกนี่ก็ยังไม่ควบแน่นสมบูรณ์อีก แต่ก็ทรงพลังมากขนาดนี้แล้ว...?”
ผนึกสังสารวัฏอันแรกในตันเถียนของเขายังคงเป็นเงาลวงตาดูเหมือนไม่ใช่ของจริงมากนัก แต่หลังจากที่เปิดใช้งานมันกลับกลายเป็นว่าทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัว ถ้ามันควบแน่นสมบูรณ์และเขาสามารถหลอมรวมทั้งเก้าอันล่ะก็ ฝ่ามือเดียวไม่ถล่มทั้งเมืองเลยเหรอ?
ครื่นนนนนน!
หลังจากที่เย่เซิงฝึกฝนเสร็จแล้วตันเถียนของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา และเขาก็ได้เลื่อนระดับเป็นโฮ่วเทียนสามชั้นฟ้าแล้ว
สุราไม่กี่อึกยังให้ผลขนาดนี้ เย่เซิงเลยหวงแหนมันขึ้นมามาก ๆ แต่เมื่อมองลงไปในให้แล้วก็เห็นว่าเหลืออยู่อีกไม่มาก คงได้อีกสองสามรอบมั้ง
“ได้เวลากลับละ กลับไปเป็นลูกที่ดีเหมือนเดิม” เย่เซิงเห็นว่าใกล้จะค่ำแล้วและกระท่อมไม้ก็เหลือแต่ซากแล้วด้วย
เขาเก็บสุราแล้วไปคุกเข่ากราบศพแม่ตัวเองก่อนจะพูดว่า “ท่านแม่ขอรับ ลูกต้องกลับไปที่หวางฝูแล้ว แต่ท่านไม่ต้องห่วงไป ลูกจะไปเอาเคล็ดวิชาของนิกายสังสารวัฏกลับคืนมาอย่างแน่นอน ในตอนนี้ลูกได้เรียนรู้ผนึกสังสารวัฏแล้ว ขอดวงวิญญาณของพวกท่านจงพักผ่อนอย่างสงบในสรวงสวรรค์ด้วยเถิด”
ในตอนเย็นเย่เซิงได้ลงจากภูเขา เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ ในร่างกายอีกต่อไปและยังมีพลังงานเต็มเปี่ยม
หลังจากที่ไปถึงตีนเขาเย่เซิงก็ใช้วิชาสวมคราบเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเย่เซิงคนเดิมเหมือนที่เคยเป็น ไม่โดดเด่น ขี้กลัวคนอยู่นิดหน่อย ชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่คนเดียว
นั่นแหล่ะคือเย่เซิงที่ทุก ๆ คนคิดว่าเขาเป็น ปกติแล้วเขาก็ไม่เคยพูดคุยหรือว่ามีปากเสียงกับใคร ถ้าไม่ได้ออกไปไหนก็จะขังตัวเองอยู่แต่ในเรือนเล็ก ๆ ตลอดทั้งวันทั้งคืน
จากเซียนหยางไปซีซานมีถนนดี ๆ ปูไว้ให้เดินทาง มันกว้างขนาดที่ม้าห้าตัววิ่งเคียงเรียงหน้ากระดานกันได้โดยไม่เบียดเสียดกัน
ต้าฉินมีฐานะร่ำรวยมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นหลังจากที่จักรพรรดิฉินองค์ที่สองขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงทรงเสด็จออกว่าราชการไปทั่วอาณาจักรเพื่อปูถนน วางแผนเส้นทางน้ำ เส้นทางการค้า เก็บภาษี พ่อค้าต้าฉินมีชื่อเสียงโด่งดังติดสิบอันดับแรกที่รู้กันไปทั่วทุกที่
เย่เซิงเดินไปตามถนนสายนี้ด้วยความเร่งรีบไปให้ถึงเซียนหยางก่อนพระอาทิตย์ตก
ในขณะนั้นเองได้มีกลุ่มคนบนหลังม้าเดินมาจากด้านหลังเสียงดังเริงร่า หัวหน้าที่นำมานั้นเป็นหญิงนางหนึ่ง นางสะบัดแส้ไปมาพลางตะโกนว่า “ออกไปให้พ้นอย่ามาขวางทาง!”
คนเดินถนนหลายคนที่เดินขวักไขว่กันไปมาเหมือนกับเย่เซิงได้รีบออกจากถนนเพื่อหลีกเลี่ยงคนเหล่าน้น
เย่เซิงเองก็ด้วย เขาถอยฉากออกไปหลายก้าวก่อนที่จะหันไปดูว่าใครกันวะที่มันกร่างขนาดนี้
แล้วเขาก็ได้เห็นคนคุ้นเคย
ผู้หญิงที่เป็นจ่าฝูงของไอ้ฝูงนี้คือพี่หญิงสามของเขาซึ่งเป็นลูกคนที่แปดของเย่หวางเหย่นั่นเอง
เย่หวางเหย่มีลูกเกินโหล แน่นอนว่าลูกคนโตคือพี่หญิงใหญ่ ซึ่งมี ‘ข่าวลือ’ ว่าเย่หวางเหย่มีนางตั้งแต่ก่อนแต่งงานและยังเชื่อฟังนางมากด้วย หากพี่หญิงใหญ่ไม่ยอมล่ะก็เย่หวางเหย่ก็ไม่มีทางได้แต่งงาน ดังนั้นก่อนที่จะแต่งกับนายหญิงใหญ่จึงต้องไปขออนุญาตพี่หญิงใหญ่ก่อน ถ้าพี่หญิงใหญ่ไม่ชอบนายหญิงใหญ่ก็อดแต่ง ดังนั้นนายหญิงใหญ่จึงต้องพยายามเป็นอย่างมากเพื่อเอาอกเอาใจพี่หญิงใหญ่จนนางยอมตกลงให้ทั้งคู่แต่งงานกันได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมแม้นายหญิงใหญ่จะกุมอำนาจอันยิ่งใหญ่ในหวางฝูแต่ก็ยังไม่กล้าหือกับพี่หญิงใหญ่
ส่วนพี่หญิงรองเป็นลูกคนที่ห้าของเย่หวางเหย่ แม่ของนางไม่ได้ย้ายเข้าสู่หวางฝูและมีน้อยคนนักที่รู้ว่านางเป็นใคร ส่วนตัวพี่หญิงรองเคยอาศัยอยู่ในหวางฝูอยู่หนึ่งปี จากนั้นก็จากไปพร้อมกับนักพรตเต๋าท่านหนึ่งแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ก็ยังคงส่งจดหมายกลับมาที่บ้านปีละครั้ง
ส่วนพี่สาวคนสุดท้ายก็คือพี่หญิงสามนี่แหล่ะ นางเป็นลูกสาวของนายหญิงใหญ่และเป็นลูกคนที่แปดของเย่หวางเหย่ แต่ที่ทุกคนเรียกนางว่าพี่หญิงสามเพราะนางเก่งเรื่องเอาอกเอาใจนายหญิงเฒ่า บวกกับมีนายหญิงใหญ่แม่ของนางคอยให้ท้ายจึงทำให้นางสามารถทำอะไรตามอำเพอใจได้ทุกเรื่องในหวางฝู นางชอมดาบและหอก แต่กลับมีรากฐานการฝึกฝนที่แย่มากเลยมักถูกเย่หวางเหย่ตำหนิเรื่องนี้อยู่เนือง ๆ
เย่เซิงที่ข้ามโลกมาได้หลายวันแล้วยังไม่เคยเห็นพี่หญิงนางนี้ในหวางฝูเลย ดังนั้นเขาจึงแปลกใจไม่นึกเลยว่าการพบหน้ากันครั้งแรกจะมาเจอกันในสภาพนี้
พี่หญิงขี่ม้าพลางฟาดแส้ของนางไปทั่ว ข้างหลังมีชายหนุ่มเจ็ดแปดคนในชุดที่ลายปักสง่างามขีม้าตามมาอย่างร่าเริง
พี่หญิงสามไม่ได้สังเกตเห็นเย่เซิงและพึ่งขี่ม้าผ่านเขาไปทำให้มีลมแรงพัดผ่านตัวเขา นางไม่สนใจพวกสามัญชนอยู่แล้วแค่จะชายตาแลก็ไม่มี
คนอื่น ๆ ที่ตามหลังนางมาก็ขี่ม้าผ่านเย่เซิงไปกันเรื่อย ๆ เหมือน ๆ กันแต่ติดปัญหาที่ไอ้ตัวสุดท้าย มันแอบยืนเท้าเตะใส่เย่เซิง
สายตาของเย่เซิงกระตุก เขาสังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมัน เห็นได้ชัดเลยว่าไอ้เวรนี่มันจงใจ มันคิดจะโชว์พาวโดยการเตะคนธรรมดาให้ล้มกลิ้ง
“วอนซะแล้วไอ้เวร” เย่เซิงเปิดใช้งานพลังของผนึกสังสารวัฏทันที เขาแสร้งทำเป็นถูกเตะอย่างแรงจนล้มแล้วสะบัดฝ่ามือตบใส่ม้าของมันในจังหวะที่กำลังล้มลงพื้น
เปรี้ยง!
พลังร่างกายบวกกับพลังของผนึกสังสารวัฏทำให้ฝ่ามือที่เขาตบใส่ม้าแรงประมาณสองพันจินได้ แถมเย่เซิงยังเข้าข้างหลังอีกแล้วม้ามันจะไปกันได้ยังไง?
กุบกับ ๆ! ตุบ!
ม้าที่โดนตบเข้าไปอย่างแรงจนเจ็บปวดมาก หลังจากที่มันเดินต่อไปได้เพียงสองสามก้าวมันก็ล้มลงจนไอ้คนขี่ร่วงจากหลังม้าลงไปตกใส่กองขี้วัว