บทที่ 15: สิบสองเซียนผู้ครองโลก
แขนทั้งสองข้างของไอ้หน้าบากสั่นเทาเส้นเลือดปูดโปน มันบาดเจ็บสาหัสแล้ว
มันได้แต่เบิกตากว้างจ้องมองเย่เซิงพลางพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “โฮ่วเทียนสองชั้นฟ้าแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?”
พลังที่มันสัมผัสได้นั้นถึงหมื่นจิน ซึ่งตัวของไอ้หน้าบากถึงแม้จะเป็นโฮ่วเทียนหกชั้นฟ้าแต่มันก็ไม่ได้มีพลังมากมายขนาดนั้น
หนึ่งหมัดจากเย่เซิงนี้ทำให้ทั้งตัวมันและลูกน้องตกใจกลัวสุดขีด ทั้งสามต่างมองหน้ากันไปมา
“พี่ใหญ่ ไหนข้อมูลมันว่าไอ้นี่เป็นแค่ขยะไร้ค่าไงเล่า?”
“ข้อมูลที่ได้มาผิดพลาดขนาดนี้ต่อให้ทองคำร้อยเหรียญก็ไม่คุ้มแล้ว!”
สีหน้าของไอ้หน้าบากมืดลง มันกัดฟันแน่น “ฆ่าไอ้นี่ก่อน ค่อยกลับไปขึ้นราคา”
ตอนนี้เย่เซิงตัวสั่นไปทั้งตัวด้วยความเจ็บปวดที่ยากจะทน หมัดเดียวเมื่อกี๊ทำเอาเขาแทบเป็นลม แล้วเขาก็ล้มลงไปนอนกับพื้น
พลังหมัดมันแรงเกินไปจนร่างกายเขาไม่อาจรับไหว เย่เซิงนั้นแค่ขยับนิดเดียวก็ปวดร้าวไปทั้งตัว
เขาไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไปแล้ว
ซึ่งไอ้หน้าบากมันก็สังเกตเห็นเหมือนกัน ดังนั้นมันก็เอาสไตล์เดิมคือไม่เปิดปากพูดมากแล้วหยิบดาบออกมาฟันเขาอีกรอบ
มือโปรอย่างมันมีหรือจะยอมเสียเวลาเปลืองน้ำลายไร้สาระ การปล่อยให้ศัตรูมีเวลาก็ไม่ต่างจากยื่นคอไปให้มันตัด
ฉับ!
คมดาบฟาดฟันลงมา เมื่อเห็นดังนั้นรูม่านตาของเย่เซิงหดวูบอย่างรุนแรงแต่ก็ไม่อาจหลบได้
เพล้งงงงงงง!
แต่คมดาบที่จะฟันใส่ตัวเขานั้นกลับไม่มาถึงตัวอย่างที่คิด มีอะไรบางอย่างเข้ามาขวางไว้ก่อน
เย่เซิงหันมองและเห็นว่าสิ่งที่กันคมดาบคือม้วนหยกม้วนหนึ่ง ดาบกระทบกับม้วนหยกนั้นแล้วหยุดนิ่งไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนหน้าต่อได้อีก
สีหน้าของไอ้หน้าบากเปลี่ยนไปสุด ๆ มันรีบถอยกรูดอย่างเร็วแล้วถามว่า “ไม่ทราบจอมยุทธ์ท่านใดอยู่ที่นี่?”
เย่เซิงมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างงุนงงแต่ก็ไม่เห็นมีใคร
ไอ้หน้าบากพูดอย่างระมัดระวัง “ในเมื่อมีผู้แข็งแกร่งอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้ข้าน้อยก็ไม่ขอรบกวน”
ลูกน้องไอ้หน้าบากก็สับสนด้วย ไม่มีใครอยู่แถวนี้แท้ ๆ แต่ทำไมพี่ใหญ่ของพวกมันถึงได้หวาดกลัวนักหนากันหนอ?
ไอ้หน้าบากไม่พูดอะไรรีบหันหลังกลับและกำลังจะวิ่งหนีไป
“ใครบอกให้เจ้าไป” เสียงขี้เกียจดังขึ้นทำให้ทำให้ไอ้หน้าบากแข็งทื่อไปทั้งตัว จากนั้นที่คอของมันก็ปรากฏบาดแผลขึ้นมา
ฉูดดดดดดดดดด!
เลือดสด ๆ พุ่งออกมาจากบาดแผลที่คอนั่นทันที ไอ้หน้าบากทรุดตัวลงกับพื้นและชักกระตุกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสียชีวิต
ลูกน้องทั้งสองของมันตกใจมากจนตัวสั่นไปหมด พวกมันทั้งคู่ต่างคุกเข่าลงกรีดร้องอ้อนวอนขอความเมตตาเสียงดัง
แต่ม้วนหยกก็สั่นเบา ๆ ส่งแรงออกไปเล็กน้อยทำให้ดาบที่ติดอยู่หลุดกระเด็นแล้วก็
ฉับ!
หัวคนสองหัวกลิ้งลงกับพื้น ศพไร้หัวทั้นสองกระตุกไม่หยุดและเลือดสด ๆ ก็อาบชโลมพื้น
เย่เซิงจ้องมองด้วยความตกใจ ‘ผู้ใดในโลกที่มาช่วยตูไว้วะเนี่ยเฮ่ย!?’
“นี่ ๆ เจ้าน่ะเมื่อไหร่จะตื่น? หรือว่านอนบนพื้นมันสบายเลยไม่อยากลุกล่ะฮื้ม~?” เสียงของหลิงเอ๋อดังขึ้น เสียงของนางสดใสกังวานเหมือนกระดิ่งต้องลม ไพเราะเสนาะหูเหมือนนกน้อยที่ขับขาน
เย่เซิงพยายามทนต่อความเจ็บปวดและลุกขึ้นยืนอย่างสุดความสามารถ เขาหันกลับไปมองหลิงเอ๋อที่สวยตลอดกาลที่ตอนนี้มีผู้ชายที่หล่อเหลาและเท่ห์โคตร ๆ ยืนอยู่ข้าง ๆ
ชายคนนั้นโบกมือและม้วนหยกก็บินเข้าไปตกบนฝ่ามือเขาเอง หลังจากสะบัดมือทีหนึ่งม้วนหยกในมือก็หายไป
เย่เซิงโค้งคำนับและกล่าวว่า “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ที่ช่วยเหลือขอรับ”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องมากพิธีหรอก นี่พ่อข้าเอง ถ้าท่านพ่อไม่บังเอิญผ่านมาเจ้าอาจต้องตายจริง ๆ แล้ว” หลิงเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้มที่สดใสน่ารัก
“ขอบคุณท่านลุงขอรับ” เย่เซิงกล่าวพร้อมโค้งคำนับอย่างจริงใจ
“ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บสาหัสควรไปพักรักษาตัวนะ” พ่อของหลิงเอ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ขณะที่หันหลังเดินกลับไปทางสำนักชี
เย่เซิงไอสองสามครั้งขณะที่แบกรับความเจ็บปวดเดินตามทั้งคู่กลับไป
เมื่อแม่ชีเห็นเย่เซิงนางก็ขมวดคิ้วถาม “เจ้าบาดเจ็บสาหัสนี่?”
เขายังไม่ทันจะตอบหลิงเอ๋อก็ชิงเล่าเรื่องก่อน “มีคนมาพยายามจะฆ่าเขาน่ะสิ จอมยุทธ์โฮ่วเทียนหกชั้นฟ้าจะฆ่าเขาน่ะ”
“เจ้าอยู่ที่หวางฝู่ตระกูลเย่ทั้งวันแล้วยังจะมีศัตรูอยู่อีกหรือ?” แม่ชีถาม
เย่เซิงตอบอย่างเงียบ ๆ “คงเป็นคนที่ไอ้เย่ชิงกับแม่มันจ้างมานั่นแหล่ะขอรับ”
แม่ชีหัวเราะอย่างเย็นชา “นั่นก็ไม่น่าแปลกใจ นังหูเหมยนั่นเก่งเรื่องเสแสร้งนัก ในวันที่มันย้ายเข้าไปอยู่ในหวางฝูครั้งแรกก็ทำเป็นถ่อมตัวต่อหน้าทุก ๆ คน แต่เมื่อครอบครัวของมันเริ่มมีอำนาจมากขึ้นมันก็เริ่มเปิดเผยความทะเยอทะยาน แล้วเจ้าไปทำให้ตัวบัดซบพวกนั้นขุ่นเคืองได้อย่างไรอีก”
เย่เซิงจึงอธิบายเรื่องราวระหว่างเขากับไอ้เย่ชิงให้ฟังสั้น ๆ
หลิงเอ๋อที่ได้ยินถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ “เพราะแบบนี้ไอ้เย่หวางเหย่นั่นจึงสั่งโบยเจ้าด้วยไม้พายทัพถึงห้าสิบไม้เนี่ยนะ?”
“เย่หวางเหย่มันก็เป็นคนแบบนั้นแบบนั้นแหล่ะ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ” พ่อของหลิงเอ๋อกล่าว
“ท่านลุงรู้จักเย่หวางเหย่ด้วยหรือขอรับ?” เย่เซิงถามด้วยความสงสัย
“ใช่ ข้าเคยเจอมันอยู่สองสามครั้ง” พ่อของหลิงเอ๋อพยักหน้าตอบ
“เย่เซิง ๆ เจ้ารู้จักสิบสองเซียนผู้ครองโลกมั้ย?” หลิงเอ๋อถามขึ้นทันใด
เย่เซิงส่ายหัวตอบ “ไม่เลย ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนวรยุทธ์ใด ๆ เลยตั้งแต่เกิด ดังนั้นเรื่องของจอมยุทธ์ระดับสูงทั้งหลายข้าจึงไม่รู้เลยแม้แต่น้อย”
“สิบสองเซียนผู้ครองโลกนั้นคือคนสิบสองคนที่คนทั่วไปให้การยอมรับว่างเป็นเทพเซียน พ่อของเจ้าหวางเหย่คืออันดับหนึ่ง ‘หวางเหย่แห่งต้าฉิน’” หลิงเอ๋อกล่าว
เย่เซิงฟังเงียบ ๆ
“ส่วนพ่อข้าคืออันดับเก้า ‘เซียนจิ้งจอกไป๋อวี้เถียน’” หลิงเอ๋อกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
เย่เซิงมองไปอวี้เถียนด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าชายตรงหน้านี้จะเป็นคนใหญ่คนโตถึงเบอร์นี้
“มันก็แค่ชื่อเสียงจอมปลอมที่คนไม่รู้ความอุปโลกน์ขึ้นมาเท่านั้น โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่นักและมีจอมยุทธ์ระดับสูงอีกนับไม่ถ้วน แม้ว่าเย่หวางเหย่จะเป็นอันดับหนึ่งแต่มันเองก็ยังไม่กล้าโอ้อวดว่าตนเองนั้นไร้เทียมทาน นับประสาอะไรกับข้า” ไป๋อวี้เถียนกล่าวขณะที่เขาโบกมือไปมา
“พี่ใหญ่ เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากเกิดใหม่สองสามครั้ง การสามารถบรรลุการฝึกฝนในระดับนี้ก็เป็นผลจากการทำงานของเจ้าเช่นกัน” แม่ชีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
เย่เซิง กระพริบตาสองสามครั้ง ไป๋อวี้เถียนเป็นจิ้งจอกอมตะ ในขณะที่ลูกสาวของเขาเป็นจิ้งจอกขาว ถ้าป้าของเขาเรียกเขาว่าพี่ชาย แสดงว่าเธอเป็นสุนัขจิ้งจอกด้วยเหรอ?
แต่นั่นฟังดูไม่ถูกต้อง เย่หวางเหย่เป็นคนหัวโบราณ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ตัวเองมีภรรยาที่ไม่ใช่มนุษย์
“เจ้าสามารถดื่มไวน์ขวดนี้ได้ มันไม่เหมาะกับเราที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป และเราควรจะเดินหน้าต่อไป” ไป๋อวี้เถียนกล่าวกับหลิงเอ๋อหลังจากมอบไวน์ให้เย่เซิง
“แต่ทำไม? เจ้าป้ายังต้องการเวลาอีกสองสามเดือน” หลิงเอ๋อกล่าวด้วยความงุนงง
“เย่หวางเหย่ได้ตรวจพบการปรากฏตัวของข้าแล้ว ถ้าเราอยู่ที่นี่นานเกินไป ในที่สุดเขาก็จะหาทางมาที่นี่ และนั่นอาจสร้างปัญหาให้เราได้ นอกจากนี้ จิตวิญญาณของ Zhen'er ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นสภาวะที่ค่อนข้างคงที่ ข้าจะสร้างรูปแบบเพื่อปกป้องเรา ดังนั้นการเดินทางของเราจึงไม่ควรประสบปัญหาใดๆ” ไป๋อวี้เถียนกล่าว
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้ถ่อมตนเลย ท่านผ่านการฝึกฝนอย่างยากลำบาก ผ่านความเป็นความตายมาหลายต่อหลายครั้งแล้วกว่าจะมาถึงระดับการฝึกฝนที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ได้ จนภูมิใจเถอะ” แม่ชีกล่าวเบา ๆ
เย่เซิงกระพริบตาปริบ ๆ และในหัวก็เริ่มคิด ‘ไปอวี้เถียนเป็นเซียนจิ้งจอก ตัวลูกสาวเป็นจิ้งจอกหยกขาว ส่วนท่านป้าก็เรียกเขาว่าพี่ใหญ่ อื้ม~ แปลว่าท่านก็เป็นจิ้งจอกด้วยสินะ ใช่มะ?’
‘ไม่ ๆ ๆ เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีทางที่ไอ้คนหัวดื้ออย่างเย่หวางเหย่จะแต่งคนต่างเผ่าเข้าเป็นภรรยาสามได้’
“สุราเหยือกนี้เจ้าเอาไปดื่มเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัยอีกต่อไปแล้ว เจ้าต้องรีบออกไปโดยเร็วที่สุด” ไป๋อวี้เถียนยื่นไหสุราให้เย่เซิงก่อนแล้วหันไปพูดกับหลิงเอ๋อ
“ทำไมเล่า? ท่านอา (ในที่สุดก็รู้ว่าเป็นอา) ยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนเลยนะเจ้าคะ” หลิงเอ๋อถามอย่างสงสัย
“เพราะว่าเย่หวางเหย่คงสัมผัสถึงกลิ่นไอของพ่อได้แล้วน่ะสิ หากเราอยู่นานเกินไปมันต้องหาที่นี่พบเป็นแน่ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดี นอกจากนี้วิญญาณของเจินเอ๋อยังควบแน่นดีแล้ว บวกกับวิชาของพ่อเข้าช่วยจะทำให้เราสามารถออกเดินทางได้อย่างไม่มีปัญหา” ไป๋อวี้เถียนบอก
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ อย่าให้เย่หวางเหย่รู้เรื่องของเจินเอ๋อเด็ดขาด ถ้ามันรู้ล่ะก็มันต้องทุบรูปปั้นนี้และทำลายความหวังเดียวของเจินเอ๋อทิ้งเป็นแน่” แม่ชีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด
“ในเมื่อท่านป้าจะไปแล้วเช่นนั้นเย่เซิงต้องขอตัวก่อน ความเมตตาของพวกท่านเย่เซิงจะจำใส่ใจไม่มีวันลืมเลยขอรับ” เย่เซิงกล่าวลา คนเหล่านี้ได้ช่วยเหลือเขามามากแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้ทุก ๆ คนต้องกังวลอีกต่อไป
“ดี เดินทางกลับก็ระวัง ๆ ด้วย สุราที่พี่ใหญ่ให้เจ้านั้นเป็นสุราที่เผ่าจิ้งจอกหมักขึ้นมาโดยใช้สุราวิญญาณนับร้อยชนิด เมื่อดื่มเข้าไปจะช่วยบำรุงร่างกายและบรรเทาอาการบาดเจ็บลงได้มาก เมื่อกลับไปถึงหวางฝูแล้วจงระวังตัวเองอย่าให้ใครจับได้เป็นอันขาด” แม่ชีกำชับ
“ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ เย่เซิงทราบเรื่องนี้ดี” เย่เซิงบอกลาและลงเขาไปพร้อมกับเหยือกสุราในมือ
หลิงเอ๋อตะโกนออกมาทันทีขณะที่เย่เซิงเดินออกไป “จำไว้ว่าเจ้าเป็นหนี้สมบัติล้ำค่าข้าด้วย! ห้ามลืมเด็ดขาด!”
เย่เซิงยิ้มออกมาในเขายังคงเดินหน้าต่อไปโดยโบกมือเป็นสัญญาณว่าเขาได้ยินแล้ว
“เอาล่ะหยุดมองได้แล้ว เขาไปแล้ว” ไป๋อวี้เถียนแซวลูกสาวเล่น
หลิงเอ๋อแค่นเสียงกลับแต่ไม่ได้พูดโต้ตอบ