บทที่ 14: รวมพลังหนึ่งร้อยเจ็ดคน
ทันทีที่วิชาสวมคราบถูกส่งมายังโลก ผู้คนเกือบห้าร้อยล้านคนเริ่มฝึกฝนวิชานี้ มีเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่ยังฝึกไม่ได้ แต่ก็มีถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่ฝึกได้แล้ว
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งธูปเย่เซิงก็รู้สึกได้ว่ามีคนที่ถึงขั้นหรูเหมินเกินสิบคนแล้ว ซึ่งคนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนที่ชำนาญเพลงหมัดกุ่นฉี เพลงกระบี่ลั่วเย่ จี๋เฟิงปู้และผนึกสังสารวัฏอยู่ก่อนแล้ว
คนเหล่านี้ต่างเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้อย่างแน่นอน และที่ยิ่งน่าดีใจที่สุดคือหลังจากที่สิบกว่าคนนั้นเข้าถึงวิชาสวมคราบในขั้นหรูเหมินแล้ว ผนึกสังสารวัฏก็มีคนที่สิบที่เข้าถึงขั้นเสวฮุ่ยพอดีเลย
เย่เซิงจึงประสบความสำเร็จในการฝึกฝนสองวิชาพร้อม ๆ กัน
เงาลวงตาเริ่มก่อตัวขึ้นภายในตันเถียนดาวโลกของเขา นั่นคือผนึกสังสารวัฏนั่นเอง
เนื่องจากเขายังเข้าถึงได้แค่ขั้นเสวฮุ่ยดังนั้นผนึกยังดูจางมาก ๆ แต่กระนั้นเย่เซิงก็ยังรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งอันมหาศาลที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในตันเถียนของตน
ระดับการฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเลื่อนเป็นสองชั้นฟ้าขั้นกลาง
สำหรับวิชาสวมคราบนั้น เย่เซิง จำเป็นต้องทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย และเขาก็ตระหนักว่าเขาสามารถเก็บออร่าของเขาออกไปได้ เขากลับไปเป็นเหมือนเดิม หน้าตาธรรมดาและขี้งกสุดๆ
เขาอยู่ในระดับ ขั้นพื้นฐาน เท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับ เย่เซิง ในเวลานี้
เขาแค่ไม่อยากถูกค้นพบ
หลังจากที่ เย่เซิง ได้ถ่ายทอดวิชาเป็นครั้งที่สามแล้ว ผู้ฝึกตนชุดแรกจำนวน 107 คนบนโลกก็สามารถทะลวงผ่านไปยังระดับที่หนึ่งที่ได้มา และมีเพียงไม่กี่คนที่ได้ไปถึงขั้นที่สองจริงๆ
ความก้าวหน้าของคน 107 คนเหล่านี้ทำให้ เย่เซิง ตาเป็นประกายด้วยความปิติยินดี
“เพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขา” เย่เซิง คำรามเบา ๆ ขณะที่เขายืนขึ้น
นี่คือสิ่งที่ทรงพลังที่สุดเกี่ยวกับจุดตันเถียน โลกของเขา เขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้คนจากโลกได้ การเพิ่มความแข็งแกร่งของ 107 คนให้กับตัวเขาเองทำให้ออร่าของเขาระเบิดทันที แม้แต่วิชาสวมคราบก็ไม่สามารถปิดบังซ่อนเร้นได้ พลังปราณภายในร่างกายของเขาพุ่งทะยานอย่างดุดันไหลบ่าเข้าไปเต็มเส้นลมปราณอย่างน่าสะพรึง
ตู้มมมมมม!
เขาเหวี่ยงหมัดออกไปและเกิดการระเบิดทบทวีกันสามครั้งซ้อน หมัดที่ปล่อยออกไปหนักถึงหมื่นจิน ซึ่งห่างจากก่อนหน้านี้ที่มีเพียงเจ็ดร้อยจินกันคนละเรื่อง
แต่หลังจากที่เขาเหวี่ยงหมัดนี้ออกไป เย่เซิงก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเจ็บปวดสุด ๆ เส้นลมปราณเกือบจะระเบิด
“หยุดเพิ่มพลัง” เย่เซิงพูดผ่านร่องฟันที่ขบแน่น ร่างกายของเขาไม่อาจรองรับพลังที่เพิ่มเข้ามาในคราวเดียวได้
เขาได้ใช้พลังของตันเถียนดาวโลกในการยืมพลังของโฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้าทั้งหนึ่งร้อยเจ็ดคนมาเสริม ทำให้เขาสามารถระเบิดพลังอันน่าเหลือเชื่อถึงหนึ่งหมื่นจินออกมาได้ แต่นั่นก็สร้างภาระหนักให้แก่ร่างกายของเขาด้วย เย่เซิงที่เป็นเพียงโฮ่วเทียนสองชั้นฟ้าและร่างกายของเขาเองก็ไม่ได้รับการฝึกฝนเคี่ยวกรำมาก่อนเลยไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก ดังนั้นเพียงออกหมัดแค่ทีเดียวก็ทำให้เขาหมดแรงจนแทบจะเป็นลม
“ต้องฝึกร่างกายอีก ใช้พลังของคนร้อยเจ็ดคนเลยนี่ไม่ไหว แต่ถ้าแค่สามสิบสี่สิบคนน่าจะพอได้” เย่เซิงบ่นกับตัวเอง
แค่หมัดเดียวก็เล่นเอาเขาปวดไปทั้งตัวแล้ว เขานั่งลงบนก้อนหินพร้อมกับหอบอย่างหนัก เขาประเมินว่าหากปล่อยไปอีกหมัดล่ะก็กล้ามเนื้อคงฉีกแน่ ๆ บางทีเส้นลมปราณที่เกือบจะระเบิดต้องได้ระเบิดออกมาจริง ๆ จนต้องบาดเจ็บสาหัส
‘เรายังต้องการวิชาที่ช่วยขัดเกลาร่างกายให้แข็งแกร่ง’ เย่เซิงคิด
ถ้าเขาสามารถฝึกร่างกายให้แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็จะสามารถรองรับพลังของคนได้มากขึ้น
...
ในขณะที่เย่เซิงยังคงครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ กับสถานการณ์ของตนอยู่นั้น ได้มีชายกลุ่มหนึ่งกำลังเดินไปทางที่เขาอยู่
“นี่พี่ใหญ่ เป้าหมายเราอยู่นี่จริง ๆ เหรอ?”
“พี่ใหญ่ ๆ ภารกิจนี่มันแปลก ๆ อยู่นา แค่ฆ่าคนเพียงคนเดียวจ่ายมาตั้งร้อยเหรียญทองแหน่ะ แปลก ๆ มั้ย?”
“คงไปทำให้พวกคนใหญ่คนโตขุ่นเคืองเอาล่ะสิ พวกนั้นเลยว่าจ้างเราไปฆ่าโดยไม่ยอมเอ่ยนาม”
คนสี่คนกำลังรีบไปตามเส้นทางป่าเขา พวกมันพบกับกระท่อมไม้และกองไฟ แต่พวกมันไม่เห็นเย่เซิง หลังจากที่พวกมันค้นหาอยู่ทั้งวันในที่สุดก็เจอเข้ากับเส้นทางที่จะนำไปเจอเขาได้
หัวหน้าของพวกเขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูดุร้าย มีแผลเป็นโดนฟันจนหน้าบากอย่างกับมีตะขาบเกาะอยู่ดูแล้วน่าเกลียด ยิ่งตอนมันยิ้มนี่ถ้าเด็กคนไหนมาเห็นเป็นต้องแหกปากลั่นหมู่บ้านแน่นอน
ชื่อเล่นของไอ้นนี้คือไอ้หน้าบาก เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงนักเลงหัวไม้ของเซียนหยาง มันเป็นถึงโฮ่วเทียนหกชั้นฟ้าที่มีวิชาดาบที่ไม่ขี้เหร่เท่าไหร่
ไอ้หน้าบากพูดอย่างเย็นชาว่า “มีคนจ่ายเงินให้เรา เราก็ทำงานไป เจ้าจะคิดมากไปใยฮึ! แค่ฆ่ามันแล้วเอาหัวไปรับหนึ่งร้อยเหรียญทองก็พอแล้ว!”
ลูกน้องทั้งสามของมันพยักหงึก ๆ เหมือนไก่จิกข้าวสารด้วยความหวาดกลัวหน้าแผลของมัน จากนั้นพวกมันก็ฝันหวานถึงเงินเป็นแรงกระตุ้นแล้วพยายามออกไล่ล่าหาเย่เซิงอย่างเต็มที่
“พี่ใหญ่ ข้าหน้าเราเหมือนจะมีอะไรอยู่” จู่ ๆ ไอ้คนหนึ่งก็สังเกตเห็นบางอย่าง
ไอ้หน้าบากเดินไปดูทันทีและเห็นว่าเย่เซิงกำลังนอนอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่เพื่อพักฟื้นอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็นดังนั้นดวงตาของมันก็เป็นประกายในทันที “ไอ้นั่นแหล่ะเป้าหมายเรา ฆ่ามันซะไม่ต้องไปพูดอะไรกับมันทั้งสิ้น”
เสร็จแล้วมันก็สการ์เฟซถือดาบขนาดใหญ่และพุ่งเข้าใส่เย่เซิงโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง
เย่เซิงสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังมาถึงและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วจ้องมองไปข้างหน้าอย่างเย็นชา
“ใครมันคิดจะฆ่าตูวะ?” เย่เซิงไตร่ตรองและนึกถึงไอ้เย่ชิงทันที
มีแต่มันนี่แหล่ะที่จะทำแบบนี้เพราะว่าไอ้นี่เป็นพวกที่ทั้งชีวิตไม่มีเชรี่ยไรในหัวนอกจากความแค้น และมีแค้นก็ต้องชำระ
ฉับ!
ดาบเล่มหนึ่งฟันเข้าใส่เขาซึ่งเย่เซิงก็ใช้จี๋เฟิงปู้หลบหลีกทำให้ดาบฟันไปถูกก้อนหินยักษ์จนเกิดรอยร้าวเบอร์ใหญ่
ฮึ!
เมื่อดาบแรกพลาดเป้าไอ้หน้าบากเลยตวัดดาบไปอีกฉับ รอบนี้มันเล็งคอของเย่เซิงเลย
ไอ้หน้าบากนี่มันเป็นมือโปรจึงรู้มาก มันรู้ว่าถ้าหากเอาแต่พูดมากก็มีแต่จะแพ้ และรู้ว่าต้องจัดการให้รวดเร็วฉับไวและเด็ดขาด หากดาบแรกไม่ตายก็ต้องซ้ำดาบสองไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยปากพูด ฆ่าแล้วไปรับเงินจบ ไม่สนเหตุผลไม่สนว่าเป็นใคร
นี่แหล่ะสไตล์ของมัน ในเรื่องความซื้อตรงนั้นไอ้หน้าบากเรียกได้ว่าเหม็นโฉ่ติดหนึ่งในสาม แต่เรื่องการทำงานนั้นกลับน่าเชื่อถือเป็นที่สุด
“เจ้าเป็นใคร?” เย่เซิงถามขณะที่หลบไปท่ามกลางต้นไม้
ไอ้หน้าบากก็ยังคงเงียบและกวักมือเรียกลูกน้องทั้งสามให้เข้ามาโจมตีเย่เซิงอย่างรวดเร็ว
ไอ้พวกลูกน้องไม่ได้เก่งเหมือนลูกพี่ แต่ทั้งหมดก็ยังมีระดับการฝึกฝนสูงส่งกว่าเย่เซิง ประมาณโฮ่วเทียนสี่ชั้นฟ้า
ในทันทีนั้นเย่เซิงก็รู้สึกว่าตัวเองเจอวิกฤตเข้าให้แล้ว
เมื่อต้องเจอเข้ากับการจู่โจมซ้ำ ๆ ของไอ้หน้าบากสีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดสุด ๆ จะหลบจะเลี่ยงก็ไม่ได้ มีแต่ต้องตั้งรับเท่านั้น
“ไปตายซะไป๊!” เย่เซิงไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ก็จริงอยู่ แต่เขาก็รู้ว่าต้องเก็บไอ้ตัวกระจอกสุดก่อนเพื่อน
เขาได้เรียกกำลังของคนสี่สิบคนเข้ามาเสริมแล้วปล่อยหมัดซัดเข้าใส่ไอ้ตัวลูกน้องไปตัวหนึ่ง
ตู้มมมมมมม!
หมัดนี้ไม่ได้มีความแรงขนาดหนึ่งหมื่นจิน แต่อย่างน้อย ๆ ก็สามสี่พันจินได้ และทันที่ที่มันปะทะเข้ากับชายโครงของไอ้ตัวลูกน้องปึ๊บหน้าอกของมันก็ยุบผิดรูปไปทันที มันทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับกระอักเลือดออกมาเต็มปากพลางชี้นิ้วไปที่เย่เซิงด้วยใบหน้าที่มีแต่ความหวาดกลัว อากาศสามารถไหลเข้าสู่ปอดมันได้เพียงน้อยนิด มีแต่ที่ออกมานั่นแหล่ะที่เยอะ
ไอ้หน้าบากถึงกับตกใจ มันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเย่เซิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่ก็ทำให้จิตสังหารของมันระเบิดหนักกว่าเดิมอีก
ฉับ! ฉับ! ฉับ!
มันฟาดฟันอย่างแรง แต่ละดาบที่จู่โจมออกไปนั้นทำให้เย่เซิงถึงกับไม่กล้ารับ เขาได้แต่พยายามหลบหลีกแต่ก็ไม่อาจหลบทั้งหมดไหว
จากนั้นเย่เซิงก็ปล่อยไปอีกหมัด ระเบิดสามครั้งกระแทกด้านข้างของตัวดาบ เสียงปะทะดังสนั่นจนแก้วหูแทบแตก เย่เซิงกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว ข้อมือสั่นเทาและหมัดของเขาก็แดงเถือกไปหมด
เขาไม่อาจเป็นคู่มือให้ไอ้หน้าบากที่มีประสบการณ์ฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วนได้เลย
“พี่ใหญ่มันฆ่าน้องสาม ฆ่ามันเลย!” ไอ้ลูกน้องอีกตัวแหกปากอย่างโกรธแค้น
ดวงตาของไอ้หน้าบากเย็นชา ในที่สุดมันก็ยอมพูดประโยคแรกออกมา “เพลงดาบพิโรธสังหาร!”
จู่ ๆ เย่เซิงก็รู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญกับคมดาบนับไม่ถ้วนจนตัวเองไม่สามารถแม้แต่จะขยับตัวได้ ในเมื่อหลบยังไงก็ไม่พ้นวิธีดิ้นรนก็เหลือแค่ทางเดียวคือเข้าปะทะสวนกลับไปตรง ๆ
“ไปตายซะไป๊!” เย่เซิงแหกปากลั่นด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป
เขาสาวหมัดออกไปอีกรอบ แต่คราวนี้ไม่ใช้แค่พลังของสี่สิบคนแล้ว แต่เขาจัดให้มันไปเต็ม ๆ หนึ่งร้อยเจ็ดคนเลย
พลังความแรงระดับหมื่นจินสวนเข้าใส่กระบวนเพลงดาบ
เพล้งงงงงงง!
เกิดเสียงปะทะอันน่ากลัวดังขึ้น ดวงตาของไอ้หน้าบากเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อบวกกับความหวาดกลัว มันกระอักเลือดเต็มปากมือที่ถือดาบก็สั่นสะท้านก่อนดาบจะร่วงลงพื้น มันโซเซถอยหลังไปถึงสิบก้าว ดวงตาจ้องเขม็งไปที่เย่เซิง
สรรพเสียงรอบตัวพลันเงียบลงทันใด