บทที่ 13: ทุ่ยไท้เจว๋
คืนนั้นเย่เซิงไม่ได้นอนหลับสบายนัก ความคิดของเขาพลิกไปเปลี่ยนมา แต่ในที่สุดเขาก็เข้าสู่โหมดการนั่งสมาธิฝึกฝน
เช้าวันรุ่งขึ้นเสียงนกร้องจิ๊บ ๆ ทำให้เย่เซิงตื่นขึ้น เขาลืมตาขึ้นและเห็นว่าตัวเองยังคงอยู่ในห้องนอนเดิมจึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ยังหัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ เพราะไอ้ความกระวนกระวายใจของตัวเองนั้นดูโง่ฉิบหาย
ตั้งแต่ข้ามโลกมาเย่เซิงได้แต่ตึงเครียด เขาไม่เคยได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่นิดเดียว แม้จิตใจจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายังไงก็ตาม แต่เขายังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอยู่เหมือนเดิม
เขาผลักประตูเปิดออกและได้เห็นทิวทัศน์ของภูเขาที่งดงามและสระน้ำที่แสงแดดส่องตกกระทบ มันงดงามราวกับภาพวาด เมื่อมองเข้าไปในป่าเขาเห็นว่ามีหญิงสาวชุดขาวที่พบเจอเมื่อวานกำลังรำเพลงกระบี่ กระบวนท่าของนางช่างสง่างาม การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วริ้วไปตามสายลมอ่อน ๆ แต่สัมผัสได้ถึงความทรงพลังอย่างมหาศาล และฟันก้อนหินขนาดใหญ่ขาดครึ่งอย่างง่ายดายเหมือนเอาคมมีดวางลงบนเต้าหู้
เย่เซิงตกตะลึง “เชรี่ย~ ไม่นึกเลยว่าอีปีศาจจิ้งจอกนั่นมันจะเก่งขนาดนี้”
เพลงกระบี่ที่สำแดงออกมานี้ยอดเยี่ยมกว่าทุก ๆ คนที่เย่เซิงเคยเห็น ขนาดไอ้เย่ชิงที่ไม่ว่าใคร ๆ ต่างก็ยกยอปอปั้นว่าเป็นโคตรอัจฉริยะก็ยังไม่มีอะไรเทียบแม่นางจิ้งจอกตรงหน้านี้ได้เลยซักมิลลิเมตรเดียว
แน่นอนว่าระดับการฝึกฝนของนางต้องสูงกว่าไอ้เย่ชิงอยู่แล้ว ไอ้เย่ชิงนั่นเป็นโฮ่วเทียนหกชั้นฟ้าแต่นางจิ้งจอกน่าจะเป็นโฮ่วเทียนขั้นสุดยอดไปแล้วมั้ง?
เมื่อคิดถึงได้ดังนี้เย่เซิงก็อดกลัวขึ้นมาไม่ได้ เมื่อคืนนี้ถ้านายหญิงสามมาไม่ทันล่ะก็เขาต้องตกตายชัวร์ ๆ เลย
“นี่! เจ้าน่ะยืนดูอยู่ตั้งนานอย่าบอกนะว่าตกหลุมรักข้า!” เย่เซิงที่กำลังคิดนึกอะไรไปเรื่อยเปื่อยจู่ ๆ ก็ถูกเสียงของหลิงเอ๋อดึงกลับมา นางเก็บกระบี่ลงแล้วเดินเข้ามาหาเขา ใบหน้าของนางช่างงดงามจนน่าตกใจ ขนาดหน้าสดยังงามขนาดนี้แล้วถ้าแต่หน้าดี ๆ ล่ะจะขนาดไหน และใบหน้านั่นก็เข้ามาใกล้ ๆ กับเย่เซิง
เย่เซิงถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าวทันที “แม่นางหลิงเอ๋อ เจ้าน่ะไม่ต่างจากนางฟ้านางสวรรค์ ส่วนข้านั้นเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา ข้าจะไปอาจเอื้อมได้อย่างไรกัน”
“ตามตำนานพื้นบ้าน เหล่านางฟ้านางสวรรค์ก็มักจะแต่งงานกับปุถุชนคนธรรมดาอย่างเจ้าไม่ใช่หรือหืม~?” หลิงเอ๋อถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“หึ! นั่นก็แค่ความเพ้อฝันของคนแต่งเท่านั้นแหล่ะ” เย่เซิงตอบหน้าตาเฉย
“หืม? จริงด้วย เพราะพวกตำนานเรื่องนางฟ้าลงมาแต่งงานกับหมาวัดทั้งหมดนั่นก็เขียนโดยพวกหมาวัดเองทั้งนั้นนี่เนอะ ไม่เห็นจะมีตำนานที่เขียนเรื่องนางฟ้าแต่งานกับจอมยุทธ์หรือพ่อค้าให้เห็นเลยซักเรื่องเดียว เห็นมีแต่มาลงเอยกับพวกคนธรรมดา ๆ ที่ไม่มีความเก่งกาจอะไรตรงไหน” หลิงเอ๋อพยักหน้าอย่างพอใจ
เย่เซิงถามว่า “แล้วแม่ชีล่ะไปไหนแล้ว”
“กำลังสวดมนต์อยู่ในห้องโถงใหญ่” หลิงเอ๋อตอบ
“แต่ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นพระพุทธรูปปางนั้นมาก่อนเลยล่ะ” เย่เซิงถามด้วยความสงสัย
หลิงเอ๋อเดินผ่านเย่เซิงทำให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของนางโชยเข้ารูจมูกเขา “รูปปั้นในห้องโถงใหญ่นั่นไม่ใช่พระพุทธรูป แต่เป็นพี่สามของเจ้าต่างหาก”
เย่เซิงมองไปที่หลิงเอ๋อด้วยความตกใจ “พี่สามของฆ่าตายไปแล้วนะ แล้วที่นางทำแบบนั้นมัน...?”
หลิงเอ๋อพยักหน้า “ในลัทธิเต๋ามีวิชาธูปเทพยดาอยู่ ตราบใดที่ยังคงมีเศษเสี้ยววิญญาณหลงเหลืออยู่ล่ะก็ เมื่อสะสมบุญได้ถึงพร้อมจะสามารถหล่อหลอมชีวิตใหม่ขึ้นมาได้”
“งานใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้ธูปจำนวนมหาศาล แล้วในป่าในเขาเช่นนี้จะไปมีธูปมากมายขนาดนั้นได้ยังไง?” เย่เซิงถาม
หลิงเอ๋อนั่งลงบนเก้าอี้ในลานกว้างก่อนจะถอนหายใจ “ใครบอกว่าจะทำแบบนั้นเล่า เศษเสี้ยววิญญาณของพี่สามเจ้าอ่อนแอเกินไปจนไม่สามารถไปไกลจากเซียนหยางได้ แต่เซียนหยางก็ยังเป็นอาณาเขตของพ่อเจ้า หากจุดธูปจำนวนมหาศาลขนาดนั้นที่นี่พ่อเจ้าต้องจับได้อย่างแน่นอน ไหน่ไนจึงต้องสวดมนต์อ้อนวอนอย่างแรงกล้าไม่เว้นแต่ละวันเพื่ออุทิศบุญบำรุงเศษเสี้ยววิญญาณของพี่สามเจ้าให้แข็งแรงพอที่จะออกจากเซียนหยางได้ เพื่อที่จะได้ออกไปสะสมบุญของตนและทำพิธีจุดธูปยังสถานที่อื่น”
ในที่สุดเย่เซิงก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพยักหน้า “ผ่านไปนานเป็นสิบปีแล้วนางยังทำไม่สำเร็จอีกเหรอ?”
“เราเกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่มาที่นี่ตัวข้ากับหลิงเอ๋อก็จะจากไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ตลอดเวลานับสิบปีในที่สุดวิญญาณของพี่สามเจ้าก็ทรงตัวได้แล้ว” แม่ชีกล่าวขณะที่เดินเข้ามาหาทั้งคู่
เย่เซิงและหลิงเอ๋อลุกขึ้นยืนทักทายนางทันที
ใบหน้าที่งดงามแบบผู้ใหญ่ของแม่ชียังคงสงบนิ่ง “หลิงเอ๋อไปเตรียมอาหารเช้าหน่อย”
หลิงเอ๋อพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและวิ่งออกไป
ลานบ้านโล่ง ๆ จึงเหลือเพียงเย่เซิงและแม่ชีเท่านั้น
“ในเมื่อเจ้าแอบเรียนวรยุทธ์อยู่ในหวางฝู่ตระกูลเย่ที่ซึ่งทุก ๆ คนต่างคิดร้ายต่อกัน เจ้าจะไม่อาจปิดบังมันได้นานนักหรอก” แม่ชีกล่าว
สีหน้าของเย่เซิงหมองหม่น เขากำลังเครียดเรื่องนี้อยู่เลย โครงสร้างของหวางฝู่ตระกูลเย่นั้นซับซ้อนมากและมีจอมยุทธ์ที่มีฝีมือสูงส่งเฝ้าอยู่นับไม่ถ้วน ก่อนจะได้มาที่นี่เขายังเป็นแค่โฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้า ดังนั้นพลังปราณจึงยังน้อยนิดจนไม่อาจสังเกตเห็นได้ ตราบใดที่เขาไม่โคจรพลังปราณก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขากำลังเรียนรู้วรยุทธ์อยู่ แต่เมื่อระดับการฝึกฝนของเขาเพิ่มพูนสูงขึ้นคนอื่น ๆ แค่ชำเลืองผ่าน ๆ ก็ดูออกแล้วว่าเขาเป็นจอมยุทธ์คนหนึ่ง
“ขอท่านป้าช่วยชี้แนะด้วย” เย่เซิงพูดพลางยืนขึ้นและโค้งคำนับอย่างอย่างจริงใจ
“เจ้าเรียกข้าท่านป้าก็ดีเหมือนกัน แม้ข้าจะไม่ได้สนิทสนมกับแม่เจ้านักแต่เราก็เป็นผู้ที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน เราทั้งคู่ต่างเป็นเพียงผู้เดียวที่ยังเหลืออยู่หลังจากที่ครอบครัวถูกทำลาย เราทั้งคู่ต่างก็ต่อสู้กันอยู่เพียงลำพัง ข้าสูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รักอย่างน่าอนาถ ส่วนนางต้องเสียชีวิตไปตั้งแต่เจ้ายังเล็ก ๆ ข้ายอมให้เจ้าเรียกว่าท่านป้าก็ได้” แม่ชีถอนหายใจเบา ๆ
“นั่งลงเถอะ ข้าจะสอนวิชาปกปิดแก่เจ้า เมื่อเจ้าใช้แล้วตราบใดที่ไม่ใช่วิชาใด ๆ ออกมารับรองได้เลยว่าจะไม่มีใครในหวางฝู่ตระกูลเย่จับได้ว่าเจ้ารู้วรยุทธ์” แม่ชีกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
“ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ” เย่เซิงกล่าวอย่างขอบคุณ
เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นในใจ เนื่องจากแม่ชียื่นนิ้วชี้ออกมาแล้วแตะที่หว่างคิ้วของเย่เซิงคำให้คลื่นความรู้อันมหาศาลถาโถมเข้าสู่สมองของเขาโดยตรง เย่เซิงถึงกับเซจนเกือบจะล้ม แต่ที่ไม่ล้มเพราะเขาจับขอบโต๊ะพยุงตัวไว้ได้ทัน
“ทุ่ยไท้เจว๋!” (วิชาสวมคราบ)
เป็นวิชาที่สร้างคราบขึ้นมาปกคลุมกายหนึ่งชั้น ซุกซ่อนร่างจริงไว้ใต้คราบนั่น วิชานี้ไม่ใช่วรยุทธ์จู่โจม แต่เป็นวิชาที่หลอกสัมผัสให้ผู้อื่นสับสน เมื่อใช้วิชานี้ล่ะก็สามารถที่จะตบตาทุก ๆ คนในหวางฝู่ตระกูลเย่ได้ ตราบใดที่เย่เซิงไม่ใช้วิชาจู่โจมใด ๆ ออกมาต่อให้เป็นเย่หวางเหย่เองก็ยังจับพิรุธไม่ได้
แต่แน่นอนถ้าเย่หวางเหย่ใช้ปราณเข้าตรวจสอบร่างกายของเย่เซิงล่ะก็วิชานี้ก็ไม่อาจช่วยเหลือเขาได้อีก แต่เย่เซิงก็แทบจะไม่เคยเห็นหน้าเย่หวางเหย่ด้วยซ้ำ แล้วมีหรือเขาจะต้องกังวลว่าเรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้น?
“เจ้าอยู่ฝึกฝนที่นี่ต่ออีกสองสามวันเถอะ มีเพียงไม่กี่คนในโลกที่รู้จักวิชาสวมคราบนี้ หากเจ้าฝึกฝนมันได้อย่างเชี่ยวชาญล่ะก็มันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในอนาคตเป็นอย่างยิ่ง” แม่ชีบอก
“ขอบคุณท่านป้าที่เมตตาขอรับ” เย่เซิงโค้งคำนับด้วยความขอบคุณจากใจจริง
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ที่ข้าช่วยเหลือก็เพราะว่าอยากช่วย เย่หวางเหย่อไม่อนุญาตให้เจ้าฝึกฝนวรยุทธ์ แต่ข้าจะทำให้ตนเองแน่ใจว่าเจ้าจะสามารถฝึกฝนได้สำเร็จและใช้ความจริงนั่นตบหน้าบัดซบของมันเสีย เมื่อเจ้าได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านเจ้าจะเป็นเหมือนกับมังกรที่หลุดพ้นจากพันธนาการ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำให้ใครในหวางฝู่ตระกูลเย่ผิดหวัง” แม่ชีกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“เย่เซิงทราบแล้ว” เย่เซิงดูมุ่งมั่น และตอนนี้เขาก็มั่นใจเรื่องอนาคตของตนเองมากขึ้นไปอีก
ตราบใดที่เขาสามารถออกจากบ้านได้เขาจะทะยานขึ้นที่สูงได้อย่างแน่นอน
“วิชาสวมคราบไม่ใช่วิชาที่ยาก ในช่วงสองสามวันนี้ให้เจ้าดูว่าเข้าใจมันหรือไม่ หากไม่ข้าคงต้องใช้พลังกับเจ้าด้วยตนเอง แต่การทำแบบนั้นมันจะบั่นทอนศักยภาพของเจ้าลง” แม่ชีกล่าว
เย่เซิงยิ้มอย่างมั่นใจและตอบว่า “ข้ามั่นใจว่าทำได้ขอรับ”
เขาอาจจะไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์สูงส่ง แต่ก็ช่างมันปะไร ในตันเถียนของเขามีดาวโลกอยู่ทั้งดวงซึ่งมีประชากรสูงถึงหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคนช่วยเขาฝึกฝน เขาจึงแน่ใจว่าจะต้องมีอัจฉริยะขั้นสุดยอดอยู่ในหมู่ขาวโลกหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคนเหล่านี้อย่างแน่นอน
ทันใดนั้นหลิงเอ๋อก็มาพร้อมกับอาหารเช้า เป็นข้าวต้มเคียงผักธรรมดา ๆ ไม่ได้หรูหรา แต่เป็นอาหารที่น่าอบอุ่นหัวใจอย่างยิ่ง เย่เซิงและหญิงงามทั้งสองคนกินข้าวเช้าระหว่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
หลังอาหารเช้า เย่เซิงได้เดินเข้าไปในป่าและนั่งหลับตาลงบนหินก้อนใหญ่และเริ่มฝึกฝน
เขาเพ่งสมาธิไปที่ตันเถียนดาวโลก จากนั้นเสียงเขาก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ่ายทอดวิชา”
ด้วยคำพูดไม่กี่คำนี้ได้มีหินนับพันก้อนได้ตกลงมาบนพื้นโลกโดยมีวิชาสวมคราบสลักอยู่บนหินแต่ละก้อน
ในรอบนี้มีหลายคนรีบจดแล้ววิ่งกลับไปลองฝึกดู
หลังจากผ่านไปสองรอบ สุดท้ายแล้วชาวโลกก็ไม่ใช่มือใหม่ในการฝึกฝนอีกต่อไป วิชาสวมคราบไม่ถือว่ายาก เมื่อเทียบกับผนึกสังสารวัฏแล้วถือว่าง่ายกว่ากันเยอะ