ตอนที่แล้วบทที่ 11: จิ้งจอกอาบน้ำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13: ทุ่ยไท้เจว๋

บทที่ 12: นายหญิงสาม


แต่การโจมตีอันรุนแรงที่เขาคาดไว้กลับไม่เกิดขึ้น  เนื่องจากมีคนมาขวางทางจิ้งจอกขาวหยกไว้

คนที่มาเป็นแม่ชีในชุดคลุมเต๋า  นางปรากฏตัวต่อหน้าเย่เซิงและปกป้องเขาจากจิ้งจอกขาว

จิ้งจอกขาวกระทืบเท้าแล้วพูดว่า “ไหน่ไน (ป้า/อาหญิง  ยังไม่รู้อันไหนทับศัพท์ไปก่อน) อย่ามาขวางนะเจ้าคะ!  ไอ้โรคจิตนี่มันแอบดูข้าอาบน้ำ!”

เย่เซิงรีบอุธรณ์ทันที “ข้าไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย  วันนี้ข้าขึ้นเขามาเพื่อกราบหลุมศพแม่  จากนั้นก็ฝึกฝนจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัวเลยไปหาที่อาบน้ำเท่านั้นเอง  ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินแม่นางนั่นเลยแม้แต่นิดเดียว”

“แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ รีบ ๆ ตายไปซักที่ซิ!” ยัยจิ้งจอกขาวไม่ยอมปล่อยเขาและชี้นิ้วขึ้นอีกครั้ง

“เอาล่ะพอ ๆ ข้ารู้จักเด็กคนนี้ดังนั้นเจ้าห้ามฆ่าเขา” น้ำเสียงที่อ่อนโยนได้หยุดการจู่โจมของจิ้งจอกขาว

ทั้งเย่เซิงและจิ้งจอกขาวต่างก็มองแม่ชีด้วยความประหลาดใจ

“ไหน่ไนรู้จักเจ้าคนผู้นี้ด้วยหรือเจ้าคะ” จิ้งจอกขาวกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

เย่เซิงเองก็สำรวจตรวจดูนางอย่างอยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน  เพราะตัวเขาที่โดนขังอยู่ในหวางฝูบัดซบตลอดทั้งชีวิตแทบไม่เคยออกมาเห็นแสงเดือนแสงตะวัน  แล้วทำไม่ถึงได้มีคนนอกรู้จักเขาได้ล่ะ?

แม่ชีไม่ตอบและหันหน้าไปหาเย่เซิง

เย่เซิงจ้องไปที่แม่ชีและทันใดนั้นก็อุทานด้วยความประหลาดใจ “นายหญิงสาม?”

แม่ชีนางนี้เป็นภรรยาคนที่สามของเย่หวางเหย่  นางได้ให้กำเนิดลูกชายแต่เขากลับถูกทุบตีจนตายเพราะแอบเรียนวรยุทธ์โดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วโดนเย่หวางเหย่จับได้  หลังจากนั้นนางเลยออกจาหวางฝูตระกูลเย่มาอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ใกล้ ๆ กับเพื่ออาศัยอยู่อย่างเงียบๆ ใกล้วัดหานซาน

เย่เซิงน้อยในวัยเยาว์เคยเห็นหญิงนางนี้มาก่อน  นางงดงามพอ ๆ กับแม่ของเขาเลย  งามยิ่งกว่าทั้งนายหญิงใหญ่และนายหญิงสองรวมกันซะอีก  เวลาผ่านไปแล้วกว่าสิบปีแต่ดูเหมือนว่าเวลาจะไม่อาจทำอะไรความงามของนางได้เลยแม้แต่น้อย  ดังนั้นเย่เซิงจึงจำนางได้ในทันที

แม่ชีคนงามมองเย่เซิงพร้อมกับยิ้มให้  จากนั้นก็ถอนหายใจ “ตั้งแต่ที่ได้เห็นเจ้าครั้งสุดท้ายก็ผ่านมาหลายปีแล้ว  ตอนนี้เจ้าโตขึ้นมากเลย”

“เย่เซิงคารวะนายหญิงสามขอรับ” เย่เซิงรีบยืนขึ้นแล้วประสานมือทักทายอย่างสุภาพ

“ไม่จำเป็นต้องมากพิธีกับข้าหรอก  บัดนี้ข้าเป็นคนนอกตระกูลหาใช่นายหญิงสามแห่งหวางฝู่ตระกูลเย่อีกต่อไปแล้ว” แม่ชีโบกมือแล้วกล่าวด้วยอาการสงบ

จิ้งจอกขาวที่แปลงร่างเป็นคนสวมใส่เสื้อผ้าพลิ้ว ๆ น่ารักถามด้วยความสงสัย “เจ้าผู้นี้เป็นเครือญาติของไหน่ไนหรือเจ้าคะ?”

“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด  เขาเป็นเยาวชนในตระกูลและไม่ได้มาเพื่อแอบมองเจ้าอาบน้ำหรอก  เรื่องนี้ให้มันแล้วกันไปเถอะ” แม่ชีพูด

“อะไรนะ?  มันเห็นเรือนร่างของข้าแล้ว  แล้วจะให้ข้าปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกันเล่า” จิ้งจอกขาวกัดฟันกรอด ๆ พูดด้วยสีหน้าเย็นชา

เย่เซิงกล่าวขอโทษ “เรื่องนี้ข้าเป็นคนผิดเอง  แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรถึงจะหายโกรธเล่า?”

“ง่ายมาก  ยอมควักลูกตาเจ้าออกมาเสียดี ๆ” จิ้งจอกขาวพูดอย่างหน้าตาเฉย

เย่เซิงสะดุ้งโหยง  แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะทำตามที่นางขออย่างแน่นอน

“หลิงเอ๋อ  ให้มันน้อย ๆ หน่อย” แม่ชีพูดเบา ๆ

“ได้  เนื่องจากเข้าเป็นญาติของไหน่ไนดังนั้นข้าจะยอมผ่อนปรนให้  มาให้ข้ากระทืบซะดี ๆ” หลิงเอ๋อ กล่าว

เย่เซิงได้แต่ทุกข์ระทมขมขื่น “นี่ ๆ แม่นาง  ความแข็งแกร่งของเจ้าน่ะสูงส่งยิ่งกว่าคนระดับเดียวกันอีกนา  อย่าว่าแต่กระทืบเลย  แค่ฝ่ามือเดียวข้าก็รับเจ้าไม่ไหวหรอก”

หลิงเอ๋อย่นจมูกงาม ๆ แล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก  เจ้านั้นกระจอกเกินไป  กระจอกจนไม่อาจรับข้าได้แม้แต่ฝ่ามือเดียว  ถ้าข้ากระทืบเจ้าจริง ๆ ล่ะก็ต่อให้ไม่ตายก็พิการ  เมื่อเป็นเช่นนั้นไหน่ไนก็จะมาโทษข้าอีก”

“เช่นนั้นเจ้าก็จงจำไว้ให้ดีว่าเจ้าติดหนี้ข้า  เมื่อใดที่เจ้าเก่งขึ้นแล้วจงไปหาของวิเศษล้ำค่ามาขอขมาข้าด้วย  เข้าใจมั้ย?” หลิงเอ๋อจ้องเย่เซิงเขม็งอย่างข่มขู่

“เย่เซิงเข้าใจแล้ว” เย่เซิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่สามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้  ยัยปีศาจจิ้งจอกนี่มันป่าเถื่อนเกินไป  เขาสู้นางไม่ได้เลยซักนิด

แม่ชีพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าหลิงเอ๋อไม่เอาความต่อ  นางหันไปมองเย่ชิงด้วยสายตาแปลก ๆ “ข้าจำได้ว่าเจ้าเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนวิรยุทธ์ที่หวางฝูตระกูลเย่มิใช่หรือ?”

เย่เซิงสะดุ้งและไม่กล้าตอบ

“แสดงว่าเจ้าแอบเรียนสินะ?  ช่างกล้าหาญนัก  หรือเจ้าจำเรื่องที่เกิดกับพี่สามของเจ้าไม่ได้แล้ว?” แม่ชียิ้มอย่างเย็นชาขณะที่น้ำเสียงเริ่มโกรธเล็กน้อยเมื่อต้องพูดถึงลูกชายที่น่าสงสารของตน

เย่เซิงตอบด้วยเสียงต่ำ “แทนที่จะเป็นคนไร้ค่าและถูกพวกเวรนั่นเหยียบย่ำไปตลอดชีวิต  ข้าสู้ยอมเสี่ยงตายยังจะดีซะกว่า”

แม่ชีมองตรงไปที่เย่เซิง  และดวงตาของนางก็เริ่มแดง “เจ้าเหมือนเขามากจริง ๆ”

“เหมือนพี่สามหรือขอรับ?” เย่เซิงถาม

“ใช่  ในตอนนั้นเขาก็พูดแบบเดียวกับเจ้านี่แหล่ะ” แม่ชีพูดขณะที่เงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลลงมา

“นายหญิงสามขอรับ  ทำไมคนผู้นั้นถึงไม่ให้เราเรียนวรยุทธ์ล่ะ?  แม้แต่ญาติห่าง ๆ ที่ต้องการการสนับสนุนจากตระกูลเย่ก็ยังได้เรียนเลย  แล้วทำไมถึงมีเพียงข้ากับพี่สามที่แตกต่างจากคนอื่น?” เย่เซิงถามคำถามที่เขาสงสัยมานาน

“ทำไม?” แม่ชีเริ่มหัวเราะ “เพราะเจ้าทั้งคู่สืบเชื้อสายมาจากผู้ที่ไม่เหมาะสมยังไงเล่า  พี่สามของเจ้าสืบเชื้อสายของตระกูลที่เย่หวางเหย่นั่นพึงระวัง  และคุณยังเป็นบุตรสตรีศักดิ์สิทธิ์ของนิกายสังสารวัฏ  แล้วไอ้คนอย่างมันจะกล้ายอมอนุญาตให้เจ้าทั้งคู่ฝึกฝนวรยุทธ์ได้อย่างไร?”

“ทุกคนคิดว่าไอ้เย่หวางเหย่มันเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจมหาศาลเหนือประเทศนี้  แต่จริง ๆ ก็เป็นแค่ไอ้ตัวขี้ขลาดหวาดกลัวปัญหา  แม้จะมีโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่นที่จะเกิดปัญหานั้นมันก็ยังยินดีที่จะตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่าปล่อยให้มีโอกาสเช่นนั้นอยู่” แม่ชีกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

เย่เซิงตอบอย่างโกรธเคืองว่า “นิกายสังสารวัฏถูกทำลายมาเกือบ ๆ จะยี่สิบปีแล้วแท้ ๆ แถมแม่ของข้าก็ตกตายไปอย่างน่าอนาถแล้วด้วย  แล้วมันยังจะมามัวระแวงคนอย่างข้าที่โดนทุก ๆ คนเรียกว่าเศษขยะอยู่อีกเรอะ”

“ถูกต้อง  ถ้าเจ้าไม่ใช่ลูกชายของมันล่ะก็มันคงลงมือฆ่าเจ้าทิ้งไปนานแล้ว  และแม้เจ้าจะเป็นลูกชายมันก็ตาม  แต่หากเจ้ากล้าทำให้ไอ้คนประสาทหลอนแบบมันของขึ้นขึ้นมา  มันก็ยังจะลงมือฆ่าเจ้าอย่างโหดเหี้ยมไร้ปราณีอยู่ดี” ท่าทีที่แม่ชีแสดงออกให้เห็นทั้งเย็นชาและเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ปรากฏเด่นชัด

หลิงเอ๋อยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่  เธอรีบพูดขึ้นว่า “ไหน่ไน ๆ เราอย่ายืนคุยกันตรงนี้เลยนะเจ้าคะ  ตอนนี้ลมเทือกเขาพัดแรงและหนาวมาก  เรารีบ ๆ กลับกันก่อนดีกว่า”

แม่ชีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับเย่เซิงว่า “เจ้ามากับข้า  เจ้าเองก็เป็นเด็กที่โชคร้ายเหมือนกับลูกชายข้า  หากว่าข้าไม่ช่วยเจ้าล่ะก็เจ้าอาจต้องมีจุดจบเหมือนกับเขาก็เป็นได้”

เย่เซิงรีบตามนางไป  เขาไม่มีเวลาคิดหรอกว่านางจะมีเจตนาดีหรือไม่ดี  เพราะว่ายังไง ๆ ตอนนี้เย่เซิงก็ไม่มีพลังพอที่จะเลือกอะไรได้

พระจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วทั้งภูเขาและผืนป่า  แสงจันทร์อ่อนโยนดุจม่านน้ำ  แต่ลมที่พัดผ่านกลับรุนแรงส่งเสียงหวีดหวิวราวกับภูติผีเคลื่อนทัพพลางกรีดร้องไปด้วย  โดยเฉพาะตอนที่เดินผ่านหลุมศพที่รกร้าง  เปลวไฟวูบไหวปรากฏขึ้นมาแต่เมื่อมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของจิ้งจอกขาวพวกมันก็ไม่กล้าโผล่หัว

ทุกสิ่งที่เย่เซิงได้เห็นและได้ยินในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ได้ตอกย้ำความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับโลกใบนี้ครั้ง  ไม่ว่าจะปีศาจจิ้งจอก  สัตว์อสูร  ภูติผีหรือวิญญาณอะไรเหล่านั้นล้วนมีอยู่จริง...

หลังจากเดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วยามเย่เซิงก็เห็นว่ามีสำนักชีซ่อนอยู่ลึกเข้าไปในป่าเขา  เป็นที่ที่สันโดษมาก  มีแปลงผักและนาข้าวรอบ ๆ ที่เจริญเติบโตดี  สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนเป็นที่หลบภัยที่ดีจริง ๆ

สำนักชีไม่ใหญ่มาก  มันมีเพียงห้องสี่ห้อง  ที่ห้องโถงมีรูปปั้นรูปหนึ่งดูเหมือนเด็กทารกวางอยู่  การแกะสลักทำออกมาได้เหมือนจริงสุด ๆ แต่เมื่อเย่เซิงมองไปที่ส่วนใบหน้าก็เห็นว่าเป็นลักษณะเหมือนภาพเบลอ ๆ ดูไม่ชัด

สำนักชีมีกลิ่นธูปหอมลอยอบอวล  สถานที่ก็ค่อนข้างสะอาด  หลังจากเดินเข้าไปแล้วเย่เซิงยังคงสงวนท่าที  เพราะว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจว่านายหญิงสามต้องการอะไรจากเขากันแน่

หลังจากแม่ชีเดินเข้ามาเธอก็จุดธูปและวางลงที่หน้ารูปปั้น  จากนั้นจึงคุกเขาลงกราบสามครั้งอย่างตั้งใจ

หลิงเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างหลังนางได้ยื่นธูปให้เย่เซิงแล้วทำสัญญาณมือว่าให้เขาทำตาม

เย่เซิงก็ทำตามอย่างไม่อิดออด  ตัวหลิงเอ๋อเองก็คุกเข่ากราบเหมือนเขาด้วยเช่นกัน

“ลุกขึ้นเถอะ  คืนนี้เจ้านอนที่นี่แหล่ะ  พรุ่งนี้ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” แม่ชีพูดหลังจากยืนขึ้น

เย่เซิงพยักหน้า

“หลิงเอ๋อ  พาเขาไปที่ห้องพักผ่อน” แม่ชีกล่าว

หลิงเอ๋อดูเหมือนจะไม่ขี้เล่นหรือแสดงท่าทางใด ๆ อีก  เธอประพฤติตนสงบนิ่งราวกับกุลสตรีที่ได้รับการสั่งสอนจากตระกูลผู้ดี  เธอได้พาเย่เซิงไปที่ห้องที่ยังว่างอยู่

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด