บทที่ 12: นายหญิงสาม
แต่การโจมตีอันรุนแรงที่เขาคาดไว้กลับไม่เกิดขึ้น เนื่องจากมีคนมาขวางทางจิ้งจอกขาวหยกไว้
คนที่มาเป็นแม่ชีในชุดคลุมเต๋า นางปรากฏตัวต่อหน้าเย่เซิงและปกป้องเขาจากจิ้งจอกขาว
จิ้งจอกขาวกระทืบเท้าแล้วพูดว่า “ไหน่ไน (ป้า/อาหญิง ยังไม่รู้อันไหนทับศัพท์ไปก่อน) อย่ามาขวางนะเจ้าคะ! ไอ้โรคจิตนี่มันแอบดูข้าอาบน้ำ!”
เย่เซิงรีบอุธรณ์ทันที “ข้าไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย วันนี้ข้าขึ้นเขามาเพื่อกราบหลุมศพแม่ จากนั้นก็ฝึกฝนจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัวเลยไปหาที่อาบน้ำเท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินแม่นางนั่นเลยแม้แต่นิดเดียว”
“แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ รีบ ๆ ตายไปซักที่ซิ!” ยัยจิ้งจอกขาวไม่ยอมปล่อยเขาและชี้นิ้วขึ้นอีกครั้ง
“เอาล่ะพอ ๆ ข้ารู้จักเด็กคนนี้ดังนั้นเจ้าห้ามฆ่าเขา” น้ำเสียงที่อ่อนโยนได้หยุดการจู่โจมของจิ้งจอกขาว
ทั้งเย่เซิงและจิ้งจอกขาวต่างก็มองแม่ชีด้วยความประหลาดใจ
“ไหน่ไนรู้จักเจ้าคนผู้นี้ด้วยหรือเจ้าคะ” จิ้งจอกขาวกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
เย่เซิงเองก็สำรวจตรวจดูนางอย่างอยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน เพราะตัวเขาที่โดนขังอยู่ในหวางฝูบัดซบตลอดทั้งชีวิตแทบไม่เคยออกมาเห็นแสงเดือนแสงตะวัน แล้วทำไม่ถึงได้มีคนนอกรู้จักเขาได้ล่ะ?
แม่ชีไม่ตอบและหันหน้าไปหาเย่เซิง
เย่เซิงจ้องไปที่แม่ชีและทันใดนั้นก็อุทานด้วยความประหลาดใจ “นายหญิงสาม?”
แม่ชีนางนี้เป็นภรรยาคนที่สามของเย่หวางเหย่ นางได้ให้กำเนิดลูกชายแต่เขากลับถูกทุบตีจนตายเพราะแอบเรียนวรยุทธ์โดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วโดนเย่หวางเหย่จับได้ หลังจากนั้นนางเลยออกจาหวางฝูตระกูลเย่มาอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ใกล้ ๆ กับเพื่ออาศัยอยู่อย่างเงียบๆ ใกล้วัดหานซาน
เย่เซิงน้อยในวัยเยาว์เคยเห็นหญิงนางนี้มาก่อน นางงดงามพอ ๆ กับแม่ของเขาเลย งามยิ่งกว่าทั้งนายหญิงใหญ่และนายหญิงสองรวมกันซะอีก เวลาผ่านไปแล้วกว่าสิบปีแต่ดูเหมือนว่าเวลาจะไม่อาจทำอะไรความงามของนางได้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเย่เซิงจึงจำนางได้ในทันที
แม่ชีคนงามมองเย่เซิงพร้อมกับยิ้มให้ จากนั้นก็ถอนหายใจ “ตั้งแต่ที่ได้เห็นเจ้าครั้งสุดท้ายก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนนี้เจ้าโตขึ้นมากเลย”
“เย่เซิงคารวะนายหญิงสามขอรับ” เย่เซิงรีบยืนขึ้นแล้วประสานมือทักทายอย่างสุภาพ
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธีกับข้าหรอก บัดนี้ข้าเป็นคนนอกตระกูลหาใช่นายหญิงสามแห่งหวางฝู่ตระกูลเย่อีกต่อไปแล้ว” แม่ชีโบกมือแล้วกล่าวด้วยอาการสงบ
จิ้งจอกขาวที่แปลงร่างเป็นคนสวมใส่เสื้อผ้าพลิ้ว ๆ น่ารักถามด้วยความสงสัย “เจ้าผู้นี้เป็นเครือญาติของไหน่ไนหรือเจ้าคะ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด เขาเป็นเยาวชนในตระกูลและไม่ได้มาเพื่อแอบมองเจ้าอาบน้ำหรอก เรื่องนี้ให้มันแล้วกันไปเถอะ” แม่ชีพูด
“อะไรนะ? มันเห็นเรือนร่างของข้าแล้ว แล้วจะให้ข้าปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกันเล่า” จิ้งจอกขาวกัดฟันกรอด ๆ พูดด้วยสีหน้าเย็นชา
เย่เซิงกล่าวขอโทษ “เรื่องนี้ข้าเป็นคนผิดเอง แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรถึงจะหายโกรธเล่า?”
“ง่ายมาก ยอมควักลูกตาเจ้าออกมาเสียดี ๆ” จิ้งจอกขาวพูดอย่างหน้าตาเฉย
เย่เซิงสะดุ้งโหยง แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะทำตามที่นางขออย่างแน่นอน
“หลิงเอ๋อ ให้มันน้อย ๆ หน่อย” แม่ชีพูดเบา ๆ
“ได้ เนื่องจากเข้าเป็นญาติของไหน่ไนดังนั้นข้าจะยอมผ่อนปรนให้ มาให้ข้ากระทืบซะดี ๆ” หลิงเอ๋อ กล่าว
เย่เซิงได้แต่ทุกข์ระทมขมขื่น “นี่ ๆ แม่นาง ความแข็งแกร่งของเจ้าน่ะสูงส่งยิ่งกว่าคนระดับเดียวกันอีกนา อย่าว่าแต่กระทืบเลย แค่ฝ่ามือเดียวข้าก็รับเจ้าไม่ไหวหรอก”
หลิงเอ๋อย่นจมูกงาม ๆ แล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก เจ้านั้นกระจอกเกินไป กระจอกจนไม่อาจรับข้าได้แม้แต่ฝ่ามือเดียว ถ้าข้ากระทืบเจ้าจริง ๆ ล่ะก็ต่อให้ไม่ตายก็พิการ เมื่อเป็นเช่นนั้นไหน่ไนก็จะมาโทษข้าอีก”
“เช่นนั้นเจ้าก็จงจำไว้ให้ดีว่าเจ้าติดหนี้ข้า เมื่อใดที่เจ้าเก่งขึ้นแล้วจงไปหาของวิเศษล้ำค่ามาขอขมาข้าด้วย เข้าใจมั้ย?” หลิงเอ๋อจ้องเย่เซิงเขม็งอย่างข่มขู่
“เย่เซิงเข้าใจแล้ว” เย่เซิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่สามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้ ยัยปีศาจจิ้งจอกนี่มันป่าเถื่อนเกินไป เขาสู้นางไม่ได้เลยซักนิด
แม่ชีพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าหลิงเอ๋อไม่เอาความต่อ นางหันไปมองเย่ชิงด้วยสายตาแปลก ๆ “ข้าจำได้ว่าเจ้าเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนวิรยุทธ์ที่หวางฝูตระกูลเย่มิใช่หรือ?”
เย่เซิงสะดุ้งและไม่กล้าตอบ
“แสดงว่าเจ้าแอบเรียนสินะ? ช่างกล้าหาญนัก หรือเจ้าจำเรื่องที่เกิดกับพี่สามของเจ้าไม่ได้แล้ว?” แม่ชียิ้มอย่างเย็นชาขณะที่น้ำเสียงเริ่มโกรธเล็กน้อยเมื่อต้องพูดถึงลูกชายที่น่าสงสารของตน
เย่เซิงตอบด้วยเสียงต่ำ “แทนที่จะเป็นคนไร้ค่าและถูกพวกเวรนั่นเหยียบย่ำไปตลอดชีวิต ข้าสู้ยอมเสี่ยงตายยังจะดีซะกว่า”
แม่ชีมองตรงไปที่เย่เซิง และดวงตาของนางก็เริ่มแดง “เจ้าเหมือนเขามากจริง ๆ”
“เหมือนพี่สามหรือขอรับ?” เย่เซิงถาม
“ใช่ ในตอนนั้นเขาก็พูดแบบเดียวกับเจ้านี่แหล่ะ” แม่ชีพูดขณะที่เงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลลงมา
“นายหญิงสามขอรับ ทำไมคนผู้นั้นถึงไม่ให้เราเรียนวรยุทธ์ล่ะ? แม้แต่ญาติห่าง ๆ ที่ต้องการการสนับสนุนจากตระกูลเย่ก็ยังได้เรียนเลย แล้วทำไมถึงมีเพียงข้ากับพี่สามที่แตกต่างจากคนอื่น?” เย่เซิงถามคำถามที่เขาสงสัยมานาน
“ทำไม?” แม่ชีเริ่มหัวเราะ “เพราะเจ้าทั้งคู่สืบเชื้อสายมาจากผู้ที่ไม่เหมาะสมยังไงเล่า พี่สามของเจ้าสืบเชื้อสายของตระกูลที่เย่หวางเหย่นั่นพึงระวัง และคุณยังเป็นบุตรสตรีศักดิ์สิทธิ์ของนิกายสังสารวัฏ แล้วไอ้คนอย่างมันจะกล้ายอมอนุญาตให้เจ้าทั้งคู่ฝึกฝนวรยุทธ์ได้อย่างไร?”
“ทุกคนคิดว่าไอ้เย่หวางเหย่มันเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจมหาศาลเหนือประเทศนี้ แต่จริง ๆ ก็เป็นแค่ไอ้ตัวขี้ขลาดหวาดกลัวปัญหา แม้จะมีโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่นที่จะเกิดปัญหานั้นมันก็ยังยินดีที่จะตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่าปล่อยให้มีโอกาสเช่นนั้นอยู่” แม่ชีกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
เย่เซิงตอบอย่างโกรธเคืองว่า “นิกายสังสารวัฏถูกทำลายมาเกือบ ๆ จะยี่สิบปีแล้วแท้ ๆ แถมแม่ของข้าก็ตกตายไปอย่างน่าอนาถแล้วด้วย แล้วมันยังจะมามัวระแวงคนอย่างข้าที่โดนทุก ๆ คนเรียกว่าเศษขยะอยู่อีกเรอะ”
“ถูกต้อง ถ้าเจ้าไม่ใช่ลูกชายของมันล่ะก็มันคงลงมือฆ่าเจ้าทิ้งไปนานแล้ว และแม้เจ้าจะเป็นลูกชายมันก็ตาม แต่หากเจ้ากล้าทำให้ไอ้คนประสาทหลอนแบบมันของขึ้นขึ้นมา มันก็ยังจะลงมือฆ่าเจ้าอย่างโหดเหี้ยมไร้ปราณีอยู่ดี” ท่าทีที่แม่ชีแสดงออกให้เห็นทั้งเย็นชาและเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ปรากฏเด่นชัด
หลิงเอ๋อยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่ เธอรีบพูดขึ้นว่า “ไหน่ไน ๆ เราอย่ายืนคุยกันตรงนี้เลยนะเจ้าคะ ตอนนี้ลมเทือกเขาพัดแรงและหนาวมาก เรารีบ ๆ กลับกันก่อนดีกว่า”
แม่ชีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับเย่เซิงว่า “เจ้ามากับข้า เจ้าเองก็เป็นเด็กที่โชคร้ายเหมือนกับลูกชายข้า หากว่าข้าไม่ช่วยเจ้าล่ะก็เจ้าอาจต้องมีจุดจบเหมือนกับเขาก็เป็นได้”
เย่เซิงรีบตามนางไป เขาไม่มีเวลาคิดหรอกว่านางจะมีเจตนาดีหรือไม่ดี เพราะว่ายังไง ๆ ตอนนี้เย่เซิงก็ไม่มีพลังพอที่จะเลือกอะไรได้
พระจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วทั้งภูเขาและผืนป่า แสงจันทร์อ่อนโยนดุจม่านน้ำ แต่ลมที่พัดผ่านกลับรุนแรงส่งเสียงหวีดหวิวราวกับภูติผีเคลื่อนทัพพลางกรีดร้องไปด้วย โดยเฉพาะตอนที่เดินผ่านหลุมศพที่รกร้าง เปลวไฟวูบไหวปรากฏขึ้นมาแต่เมื่อมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของจิ้งจอกขาวพวกมันก็ไม่กล้าโผล่หัว
ทุกสิ่งที่เย่เซิงได้เห็นและได้ยินในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ได้ตอกย้ำความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับโลกใบนี้ครั้ง ไม่ว่าจะปีศาจจิ้งจอก สัตว์อสูร ภูติผีหรือวิญญาณอะไรเหล่านั้นล้วนมีอยู่จริง...
หลังจากเดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วยามเย่เซิงก็เห็นว่ามีสำนักชีซ่อนอยู่ลึกเข้าไปในป่าเขา เป็นที่ที่สันโดษมาก มีแปลงผักและนาข้าวรอบ ๆ ที่เจริญเติบโตดี สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนเป็นที่หลบภัยที่ดีจริง ๆ
สำนักชีไม่ใหญ่มาก มันมีเพียงห้องสี่ห้อง ที่ห้องโถงมีรูปปั้นรูปหนึ่งดูเหมือนเด็กทารกวางอยู่ การแกะสลักทำออกมาได้เหมือนจริงสุด ๆ แต่เมื่อเย่เซิงมองไปที่ส่วนใบหน้าก็เห็นว่าเป็นลักษณะเหมือนภาพเบลอ ๆ ดูไม่ชัด
สำนักชีมีกลิ่นธูปหอมลอยอบอวล สถานที่ก็ค่อนข้างสะอาด หลังจากเดินเข้าไปแล้วเย่เซิงยังคงสงวนท่าที เพราะว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจว่านายหญิงสามต้องการอะไรจากเขากันแน่
หลังจากแม่ชีเดินเข้ามาเธอก็จุดธูปและวางลงที่หน้ารูปปั้น จากนั้นจึงคุกเขาลงกราบสามครั้งอย่างตั้งใจ
หลิงเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างหลังนางได้ยื่นธูปให้เย่เซิงแล้วทำสัญญาณมือว่าให้เขาทำตาม
เย่เซิงก็ทำตามอย่างไม่อิดออด ตัวหลิงเอ๋อเองก็คุกเข่ากราบเหมือนเขาด้วยเช่นกัน
“ลุกขึ้นเถอะ คืนนี้เจ้านอนที่นี่แหล่ะ พรุ่งนี้ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” แม่ชีพูดหลังจากยืนขึ้น
เย่เซิงพยักหน้า
“หลิงเอ๋อ พาเขาไปที่ห้องพักผ่อน” แม่ชีกล่าว
หลิงเอ๋อดูเหมือนจะไม่ขี้เล่นหรือแสดงท่าทางใด ๆ อีก เธอประพฤติตนสงบนิ่งราวกับกุลสตรีที่ได้รับการสั่งสอนจากตระกูลผู้ดี เธอได้พาเย่เซิงไปที่ห้องที่ยังว่างอยู่