บทที่ 11: จิ้งจอกอาบน้ำ
เขาซีซานเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเซียนหยาง เป็นปราการธรรมชาติที่คอยที่คอยป้องกันภัยคุกคามจากฝั่งตะวันตกของเซียนหยาง
เขาซีซานถูกปกคลุมไปด้วยป่าทึบ ภูมิประเทศมีความซับซ้อนไปด้วยเนินเขาหลายแห่งน้ำพุน้ำตกมากมายไหลบ่าตลอดเวลาและทิวเขาหิน ประกอบไปด้วยพื้นที่หลายแบบ มีแห่งหนึ่งที่เป็นทุ่งล่าสัตว์หลวงซึ่งไม่ซึ่งไม่อนุญาติให้สามัญชนเข้าใช้ อีกพื้นที่หนึ่งเต็มไปด้วยศาลเจ้าและวัดพุทธมากมายเช่นวัดหานซานซึ่งมีคนมากมายมาสวดมนต์ บางแห่งเป็นพื้นที่ฝังศพสารธนะ บางที่เป็นที่ฝังศพนักโทษประหาร
เมื่อออกจากหวางฝู่ตระกูลเย่แล้วเย่เซิงได้สัมผัสกับอิสรภาพอย่างมีความสุข รู้สึกราวกับว่าเขาพึ่งได้รับการปล่อยตัวออกจากคุก เขามีความสุขมากจนรู้สึกอยากจะกระโดดโลดเต้นเหมือนกับเด็กน้อย
แต่เย่เซิงก็ฮึบไว้ เขายังไม่ได้เป็นอิสระโดยแท้จริง เขาแค่ได้รับอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวเท่านั้น เมื่อจบอีเวนท์กราบหลุมศพแม่แล้วเขาก็ต้องกลับไปยังหวางฝูที่เป็นเหมือนคุกนั่นตามเดิม หากเขายังไม่ยอมกลับไปล่ะก็ไอ้เย่หวางเหย่มันต้องส่งคนมาจับเขากลับไปอย่างแน่นอน
และต่อให้เย่เซิงจะเก่งขนาดหนีคนของไอ้หวางเหย่รอด แต่ก็ยังมีตัวมันเองซึ่งเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของต้าฉินอยู่ ไม่มีทางที่เขาจะหนีคนแบบนั้นพ้นได้เลย
เย่เซิงรู้ถึงความหนักหนาสาหัสของสถานการณ์นี้ดี ดังนั้นเขาเลยยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกหวางฝู่ตระกูลเย่เข้าเต็มปอดก่อนจะก้าวเดินอย่างกะเผลก ๆ ไปยังซีซาน
เขาไปโดยไม่มีคนรับใช้หรือพาหนะใด ๆ เขาดูเหมือนกับคนพิการคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว
“เราต้องใช้เวลานี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพิ่มระดับการฝึกฝนในตอนที่อยู่เขาซีซานให้ได้เยอะที่สุด ต้องทรงพลังพอที่จะปกป้องตัวเองไหวไม่ให้ใครมาทำร้ายอีก” เย่เซิงเข้าใจตรรกะนี้เป็นอย่างดี
หลังจากเดินมาทั้งวัน เย่เซิงก็มาถึงนอกเมืองเซียนหยางและเดินตรงต่อไปยังเขาซีซานซึ่งเป็นที่ฝังศพมารดาผู้ล่วงลับไปแล้วของตน
หลุมศพของเธอนั้นมีป้ายหลุมศพขนาดเล็กที่ไม่ได้เด่นสะดุดตา หญ้าที่งอกนั้นปกคลุมจนกอใหญ่ ต้นไม้รอบ ๆ นั้นหนาทึบจนปิดบังหลุมศพจากสายตาคน หากว่าสายตาของเย่เซิงไม่เฉียบคมพอล่ะก็เขาคงพลาดไปแล้ว
เย่เซิงเริ่มต้นด้วยการกำจัดวัชพืชทั้งหมดที่เติบโตปกคลุมหลุมศพ จากนั้นเขาก็ตัดต้นไม้ที่ขึ้นหนาทึบบดบังออกไป และสุดท้ายก็ทำความสะอาดหลุมศพ จากนั้นก็คุกเข่าลงเผากระดาษ
แม้ว่านางจะไม่ใช่แม่ของเขาจริง ๆ ก็ตาม แต่นางก็ยังคงเป็นแม่ของร่างกายนี้ที่เขาเข้ามาอยู่ และในเมื่อเขาครอบครองร่างนี้ไปแล้วก็แปลว่าเขาต้องรับบทบาทเป็นลูกชายของนางไปด้วย และด้วยบทบาทลูกชายแล้วการแสดงความกตัญญูต่อแม่ด้วยการปัดกวาดและกราบหลุมศพนั้นจึงเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
ในตอนกลางคืนเย่เซิงได้กราบหลุมศพของมารดาแล้วเข้าพักผ่อนในกระท่อมไม้เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับหลุมศพของมารดา
กระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ นี้เป็นพี่หญิงใหญ่สั่งให้คนสร้างขึ้นให้เย่เซิงสมัยยังไม่สมรส
เมื่อตอนที่พี่หญิงใหญ่ยังคงอาศัยอยู่ในหวางฝู่ตระกูลเย่ เย่เซิงได้รับอนุญาตให้มากราบหลุมศพแม่เขาได้ปีละครั้งแต่ไม่อาจค้างคืนได้เลยต้องมาวันไหนต้องกลับวันนั้น ต่อมาเมื่อพี่หญิงใหญ่รู้เข้านางจึงสั่งให้คนสร้างกระท่อมหลังเล็ก ๆ นี้ใกล้ ๆ กับหลุมศพแม่เขา เพื่อให้เขาได้มีเวลาอยู่กับแม่หลาย ๆ วันหน่อย
แต่หลังจากที่พี่หญิงใหญ่ออกเรือนสมรสกับองค์จักรพรรดิ เย่เซิงก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านมากราบหลุมศพแม่เขาอีกเลย เขาเคยขอเข้าพบนายหญิงใหญ่แต่นายหญิงใหญ่ก็ปฏิเสธไม่ยอมพบเขา นางบอกว่านี่เป็นคำสั่งนายหญิงเฒ่าตัวนางเองก็ไม่อาจขัดขืนได้เหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ตลอดระยะเวลาสามปีเย่เซิงจึงไม่เคยได้มากราบหลุมศพแม่เขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
กระท่อมหลังนี้ทิ้งร้างไร้คนมาอยู่สามปีแล้ว จึงได้มีฝุ่นเขรอะและมีแมลงพิษบางชนิดเขามาอาศัยอยู่บ้าง เย่เซิงจุดกองไฟแล้วทำความสะอาดสถานที่ทั้งหมดอย่างระมัดระวัง เสร็จแล้วจึงนั่งพักข้างในกระท่อมที่สะอาดขึ้นแล้ว
นอกกระท่อมนั้นมีลมพัดโบกผ่านร่องเขากระทบกับหญ้าแห้งให้เสียดสีกันจนเกิดเสียงดัง
ในช่วงค่ำคืนมีลมพัดแรงมากจนทำให้กระท่อมไม้ลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดอยู่ตลอดไม่ยอมหยุด เย่เซิงยังหวั่น ๆ อยู่เลยว่ามันจะพังรึเปล่า
เปรี๊ยะ!
สะเก็ดไฟจากเปลวไฟที่ลุกโชนแตกเปรี๊ยะ ๆ สะเก็ดไฟนั้นกระเด็นขึ้นมาส่องหน้าเย่เซิงก่อนที่จะตกลงพื้นแล้วมอดดับลง
เสียงร้องคำรามและเสียงเห่าหอนดังขึ้นมาจากภูเขาที่ไกลออกไปมาก อาจเป็นหมาป่าหรือไม่ก็เสือ แต่ด้วยความที่ต้นเสียงอยู่ไกลเกินไปและที่นี่ก็มีลมพัดแรงเกินไปด้วยจึงทำให้เย่เซิงไม่อาจแยกแยะได้ว่าตกลงมันเป็นเสียงของตัวอะไรกันแน่
แต่ที่แน่ ๆ เลยคือมันเป็นบรรยากาศที่ใช้สร้างความหวาดผวาได้อย่างดีเยี่ยมเป็นที่สุด
ป่าลึกบนภูเขา กระท่อมไม้ ลมหนาวและเสียงเห่าหอนของสัตว์ป่าและตัวคนที่เงียบกริบ
แต่โชคดีที่เย่เซิงได้เริ่มฝึกวรยุทธ์แล้ว และมันคือตัวที่ช่วยเรียกความกล้าหาญให้เขาได้ดีกว่าที่เคยเป็นมา พลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในกายเปรียบเสมือนเพื่อนรักที่ช่วยขจัดความรู้สึกกลัวทั้งปวงที่ปะทุอยู่ภายในใจ
“เวลากลางคืนแบบนี้เหมาะจะฝึกวรยุทธ์เป็นที่สุดแล้ว” เย่เซิงยืนขึ้นและเริ่มฝึกออกหมัดอยู่ในกระท่อมไม้
เพลงหมัดกุ่นฉี!
สำหรับคนพื้นเมืองของโลกนี้แล้ววิชานี้คือวิชาขยะที่มีกันทุกบ้านโดยแต่ละบ้านไม่มีใครชายตาแล แม้แต่ขอทานยังฝึกกันแค่ท่าสองท่า แต่เมื่อเพลงหมัดนี้มีเย่เซิงเป็นผู้ใช้ออก แต่ละหมัดล้วนแต่รุนแรงขนาดทำให้เกิดลมพัดแรง แต่ละหมัดล้วนมาพร้อมกับเสียงระเบิดอากาศหลายครั้ง คลื่นพลังปราณโถมออกมาอย่างรุนแรงพร้อม ๆ กับหมัดที่ปล่อยออกไป
หลังจากเล่นกับเพลงหมัดจนจบครบทุกท่าแล้วต่อไปก็หยิบกิ่งไม้ออกมาฝึกเพลงกระบี่ การร่ายรำเพลงกระบี่ลั่วเย่เองก็ดูจะเหมาะกับฉากแบบนี้มาก ๆ เพราะมันเป็นฉากที่มีสายลมพัดผ่านภายในห้องกระทบกับกองไฟทำให้มันสว่างวูบยิ่งขึ้นกว่าเดิม
การฝึกเพลงกระบี่ลั่วเย่และจี๋เฟิงปู้ทำให้เลือดภายในกายของเย่เซิงก็ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ร่างกายเขาเต็มไปด้วยพลังงานอัดแน่น
หลังจากข้ามโลกมาเกิดใหม่ได้หนึ่งสัปดาห์กว่า ๆ แล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เย่เซิงได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ชื่อว่าความสุขและเป็นอิสระ ตอนอยู่ที่หวางฝู่ตระกูลเย่เขาต้องระมัดระวังอย่างมากเวลาจะฝึกยุทธ์ เขาไม่กล้าออกไปไหนเลย ต้องเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในเรือนเพื่อให้แน่ใจว่าความจะไม่แตก
แต่ที่นี่ เย่เซิงไม่ต้องกังวลแล้ว เขาสามารถผ่อนคลายความคิดและมุ่งมั่นต่อการฝึกฝนวรยุทธ์ให้รุดหน้าได้อย่างเต็มที่
ครื่นนนนน!
เลือดลมภายในการของเขาไหลเวียนไปผสานกันอยู่ภายในตันเถียนและเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ระดับของเขาพุ่งพรวดทะลวงโดยมีสัญญาณว่าจะพัฒนาเข้าสู่ระดับโฮ่วเทียนสองชั้นฟ้า
ปั้ง!
หลังจากที่ฝึกเพลงหมัดหนึ่งรอบ เพลงกระบี่หนึ่งรอบและวิชาตัวเบาอีกหนึ่งรอบแล้วตันเถียนของเย่เซิงก็สั่นสะเทือน และเขาก็ได้ทะลวงผ่านเป็นโฮ่วเทียนสองชั้นฟ้าได้สำเร็จ
กล้ามเนื้อในร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น นำพามาซึ่งพละกำลังที่เพิ่มขึ้นเป็นสี่ร้อยจิน
หากว่าชาติก่อนเขามีพลังมากขนาดนี้ล่ะก็เขาคงกลายเป็นคนที่ทรงพลังที่สุดในโลกแล้วมั้ง แต่สำหรับที่นี่เหมือนเด็กแรกเกิดที่พึ่งจะเดินได้สองก้าว
“ไปหาอาบน้ำดีกว่า” เนื้อตัวของเย่เซิงเต็มไปด้วยเหงื่อ เขายิ้มแย้มแจ่มใสมุ่งหน้าไปยังแอ่งน้ำที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
แอ่งน้ำนี้เป็นแอ่งน้ำลึกที่เกิดจากน้ำตกที่ตกลงมากระทบพื้นด้านล่างนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน เย่เซิงเดินผ่านมันก่อนหน้านี้ เขาได้ลองมองลงดูก่อนแล้วและเห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีสัตว์หรือแมลงมีพิษอาศัยอยู่
เย่เซิงอาศัยแสงจันทร์ในการมองเห็นและเดินเข้าใกล้แอ่งน้ำ แต่เมื่อมาถึงเขาก็ต้องหยุดกึก
เพราะว่ามีหญิงงามนางหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ในแอ่งน้ำนั้น ผิวพรรณผุดผ่องผมเผ้าดำขลับและใบหน้างดงามของนางที่ต้องแสงจันทร์ดูแล้วเจริญตายิ่ง
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือเมื่อหญิงงามนางนั้นหันมาเห็นเย่เซิง นางเห็นเขาปุ๊บสีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไปปั๊บ นางกระโดดพุ่งตัวลงน้ำ แล้วจู่ ๆ ก็มีจิ้งจอกหยกขาวตัวหนึ่งพุ่งขึ้นมาหมายจะกัดเขา
“ไปลงนรกซะไป๊ไอ้โรตจิต!” เสียงผู้หญิงตะโกนใส่เขา จากนั้นจิ้งจอกตัวนั้นก็ตะปบกรงเล็บอันแหลมคมเข้าใส่
“เชร็ดแม่!” เย่เซิงใช้วิชาตัวเบาจี๋เฟิงปู้หลบฉากอย่างไว
“ชิบหายแล้ว อีนี่มันปีศาจจิ้งจอกนี่หว่า แล้วทำไมมันต้องมาอาบน้ำที่นี่ด้วยวะเชรี่ยเอ๊ย” เย่เซิงแอบด่า เขาเคยอ่านตำราในศาลาสะสมตำราของเย่หวางเหย่และรู้ว่าโลกนี้มันมีทั้งเทพมีทั้งปีศาจอยู่ปะปนกันเต็มอึ๊ด และตอนนี้เขาก็รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับปีศาจจิ้งจอก เลยพยายามสงบสติอารมณ์ลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไปตายซะไป๊ไอ้ตัวถ้ำมอง!” เมื่อเห็นว่าตะปบแรกวืดไปนังจิ้งจอกก็กระโจนเข้าใส่เขาอีกครั้ง ร่างของมันหมุนวนบิดเบี้ยวเปลี่ยนเป็นสาวงามคนเมื่อกี๊ซึ่งนุ่งห่มผ้าปิดบังร่างกายแล้ว จากนั้นก็เงื้อแขนฟาดฝ่ามือใส่หัวของเขา
“หมัดกุ่นฉี!” เย่เซิงกัดฟันชกไปหนึ่งหมัด
หมัดที่ปล่อยออกไปเดิมสี่ร้อยจินได้ทบทวีพลังขึ้นป็นเจ็ดร้อยจินและปะทะกับอีกฝ่าย
เปรี้ยง!
และตามคาด เย่เซิงปลิวกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม่ใหญ่ เขาไอออกมาอย่างหนักโดยสายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่ปีศาจจิ้งจอกสาวสวยด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเหลือจะเชื่อ ‘ยัยปีศาจนี่มันทรงพลังเกินไปแล้ว’
“เดี๋ยวก่อน ๆ ยั้งมือก่อน! ข้ามาที่นี่เพื่อมากราบหลุมศพมารดา แล้วข้าก็แค่จะมาอาบน้ำก่อนนอนเอง ไม่ได้ตั้งใจละเมิดความเป็นส่วนตัวของเจ้าซักหน่อย ข้าไม่ใช่ไอ้โรคจิตนะโว่ยยยย” เย่เซิงพยายามปกป้องตัวเอง
“พวกมนุษย์มันไว้ใจได้ซะที่ไหน โดยเฉพาะไอ้พวกตัวผู้ พวกมันล้วนเก่งเรื่องการใช้วาจาภาษาดอกไม้ล่อลวงตัวเมีย” ปีศาจจิ้งจอกสาวยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมในขณะที่พุ่งเข้าหาเย่เซิงอีกรอบ นางยกนิ้วขึ้นมาทำท่าราวกับเป็นกระบี่แล้วเล็งชี้ไปที่หว่างคิ้วของเขา
และหากนิ้วนี่เข้าถึงหัวเขาได้เมื่อไหร่เย่เซิงต้องตายชัวร์ ๆ
เย่เซิงอยากจะหนีแต่อีกฝ่ายมันก็เร็วเกินไป เร็วจนตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเร็วขนาดไหน
“ไอ้สวรรค์เอ๊ย นี่เอ็งกะให้ตูต้องตายห่านจริง ๆ เหรอว้า” เย่เซิงตัดพ้อกับตัวเองอย่างเศร้า ๆ