ตอนที่ 127 กลุ่มอุตสาหกรรมว่านเซี่ยง
จางหม่านทำงานอย่างรวดเร็ว เธอติดต่อไปยังโรงกลั่นของเหมาไถในภาคกลาง ไม่นานหลังได้ข่าวตัวแทนของเหมาไถก็ได้เดินทางมาพบเธอทันที
จางหม่านได้มาบอกกับซูข่านว่าตัวแทนกำลังจะมาพบเธอ
หลังจากทราบข่านซูข่านก็ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
เหมาไถ 20 ตัน แถมยังนำเงินจากต่างประเทศมาซื้ออีกด้วย
พวกเหมาไถตื่นเต้นกับข้อเสนอของจางหม่านอย่างมาก ในประเทศจีนช่วงเวลานี้ อุตสาหกรรมสุราซบเซาอย่างมาก
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะดื่มเหล้าเหมาไถ ทำให้สินค้าค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก
ไม่นานตัวแทนของเหมาไถก็ได้เดินทางมาพบกับจางหม่าน
ก่อนที่ตัวแทนจะเริ่มพูดขายสินค้าของเขา
จางหม่านก็ได้ชิงพูดตัดหน้าก่อน
"ปีนี้ที่โรงกลั่นมีเหล้าเหมาไถอยู่ถึง 1 ตันไหมคะ? ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ต้องการ 2 ตันเลยค่ะ"
ตัวแทนของเหมาไถส่ายหัวอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาไม่คิดเลยว่าประธานจางจะสนใจซื้อเหล้าของเขาเป็นจำนวนถึง 2 ตัน นี่คือการสร้างรายได้มหาศาล
นอกจากการติดต่อซื้อเหล้าเหมาไถของจางหม่านแล้ว
เธอกับสูเจิ้งเหมา ได้ทำตามที่ซูข่านบอก ในการจัดการตัวแทนของมหาวิทยาลัยที่ตามตื้อพวกเขา
หลังจากที่ได้บริจาคเงิน 50,000 หยวนให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง พวกตัวแทนก็ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับพวกเขาทั้งสองคนอีก
โดยตัวแทนมหาวิทยาลัยได้ติดต่อทั้งคู่ไปพร้อมกัน การที่จางหม่านบริจาค 50,000 และสูเจิ้งเหมาบริจาค 50,000 ทำให้แต่ละมหาวิทยาลัยได้ทุนไปถึง 100,000 หยวน
เงินจำนวนเท่านี้บอกได้เลยว่าเพียงพอกับการวิจัยแล้ว ในช่วงเวลานี้มหาวิทยาลัยต่างๆขาดเงินสนันสนุนมาก การวิจัยต่างๆก็ต้องใช้เงินของตัวอาจารย์เอง
ผู้คนในยุคนี้จึงควรยกย่องและสรรเสริญเป็นอย่างมาก สละเงินส่วนตัวของตัวเอง ลงแรงในการวิจัย เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงินเพื่องานวิจัย
แต่การที่ได้รับเงินบริจาคอาจทำให้พวกเขาเหล่านี้มีกำลังใจที่ดีขึ้น ซึ่งมันส่งผลต่องานวิจัยที่ตามมาด้วย
"ประธานจางช่างเป็นสุภาพสตรีที่น่ายกย่องจริงๆ"
"ประธานสูเป็นนักธุรกิจที่รักชาติบ้านเกิดของตัวเองจริงๆ ได้ยินว่าเขาสามารถทำเงินได้มากมายในมณฑลกวางตุ้ง"
"นี่แหละคือวีรบุรุษของพวกเรา"
หลายมหาวิทยาลัยที่รับเงินบริจาคต่างยกย่องจางหม่าน และสูเจิ้งเหมา พวกเขาต่างชื่มชมในความเอื้ออาทรของทั้งคู่
ทั้งสองคนได้เส้นสายที่ดีกับทางมหาวิทยาลัย
จางหม่านบ่นกับตัวเอง นี่คือสิ่งที่เจ้านายของเธอได้บอกให้พวกเธอทำ หากพวกเขาจะขอบคุณหรือยกย่อง ควรจะไปยกย่องเจ้านายของเธอ
น่าเสียดายที่เจ้านายของเธอ ไม่ได้มีหน้ามีตาในสังคมเท่าไหร่
…
ซูข่านอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์
"ประธานจางและประธานสู ได้บริจาคเงินให้กับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยอีกครั้ง โดนครั้งนี้ได้บริจาคให้มากกว่า 10 แห่ง"
ซูข่านคิดว่าทั้งสองคนน่าจะมีชื่อเสียงดังขึ้นกว่าเดิมอีกแน่ๆ
เขามองไปที่จางหม่านที่นั่งอยูข้างหน้าเขา แล้วก็ยิ้มให้
จางหม่านรู้สึกเขินเล็กน้อยที่เจ้านายของเธอได้มองมา เธอเลยพูดขึ้นมาว่า
"เจ้านายคะ"
"นอกจากเหล้าเหมาไถที่ผลิตในปีนี้แล้ว ยังมีเหล้าเหมาไถปีเก่าเหลืออยู่ด้วย"
ซูข่านได้ยินก็แปลกใจเล็กน้อย
มีเหล้าเหมาไถปีเก่ากว่า 1979 ด้วยอย่างงั้นเหรอ
ถ้าเก็บพวกนี้รวมกัน อีกสัก 20-30 ปีต่อมา…อาจมีมูลค่ามากกว่าทองคำแน่นอน
"ดีมาก"
ซูข่านมองไปที่จางหม่านและอดไม่ได้ที่จะยกย่องเธอด้วยสายตา
ใบหน้าของจางหม่านก็มีสีแดงขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงแค่ราคาที่ซูข่านคาดเดาเอง บางทีในอนาคตพวกผู้คนที่นิยมชอบดื่มเหล้าเหมาไถปีเก่าๆ อาจจะตีราคากันสูงกว่านี้แน่ๆ
และยิ่งถ้ารู้ว่าซูข่านเป็นเก็บเหล้าเหมาไถปริมาณเยอะขนาดนี้ บางทีอาจจะโดนสาปแช่งทุกวันเลยก็ได้
โทษฐานทำให้เหล้าเหมาไถขาดตลาด
ซูข่านได้หันไปพูดกับสูเจิ้งเหมา
"เดี๋ยวลู่กั๋วเฉียงจะเดินทางลงใต้ไปพร้อมกับนายด้วย หลังจากถึงเผิงเฉิงช่วยเหลือเขาให้ทีนะ"
"ได้ครับคุณซู"
สูเจิ้งเหมาพยักหน้า เขารู้จักกับลู่กั๋วเฉียงอยู่แล้ว จากที่พวกเขาได้เจอกันที่เผิงเฉิงในครั้งก่อน
ซูข่านได้ยินดีกับสูเจิ้งเหมาล่วงหน้าด้วย
คราวนี้สูเจิ้งเหมาจะไปได้ซูโจวและรอบๆ ที่นั่นมีโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าจำนวนมาก หลังจากที่เขาได้แก้ปัญหาได้ในมณฑลกวางตุ้ง ตอนนี้เขาได้รับคำเชิญให้ไปที่มณฑลเจียงซูเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาที่นั่น
หากเขามีสามารถรวบโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าได้มากเท่าไหร่ เม็ดเงินก็จะได้ไหลมาหาเขามากเท่านั้น
ในเวลาอีกประมาณ 2-3 ปี สูเจิ้งเหมาอาจจะกลายเป็นราชาแห่งการตัดเย็บเสื้อผ้าในโลกก็ได้ บางทีเขาอาจจะได้ครองการผลิตมากกว่า 60% ของทั้งโลก
สูเจิ้งเหมารู้ได้เลยว่าเขามาถึงจุดนี้ได้เพียงเพราะคำเสนอแนะของซูข่าน เขาได้แนะนำอะไรต่างๆให้สูเจิ้งเหมา
ไมเ่พียงแต่เรื่องเม็ดเงินที่จะได้รับจากโรงงาน แต่ผู้คนในท้องถิ่นร่วมถึงร้านค้า ต่างก็ได้รับผลประโยชน์ต่อกันเป็นทอดๆอีกด้วย
ผู้คนได้งานทำ ร้านค้าได้เสื้อผ้าไปขาย ผู้คนที่ทำงานมีเงินนำไปซื้อเสื้อผ้า ร้านค้าได้สั่งการผลิตจากโรงงานของสูเจิ้งเหมา
ทุกอย่างได้ส่งผลกระทบต่อๆกันทั้งมณฑลกวางตุ้ง ไม่แปลกใจที่ทำไมสูเจิ้งเหมาถึงได้มีชื่อเสียงอย่างมากที่นั่น
…
ในเวลานี้ทหารผ่านศึกทั้งหลาย ซงหมิงเจียง ต้าชุน เหลาหลี่ โซวซี และไทเกอร์
ในบรรดาคนพวกนี้ มีต้าชุนและเหลาหลี่ที่จะตัดสินใจเดินทางไปเผิงเฉิงกับลู่กั๋วเฉียงด้วย
"พี่สาม"
เมื่อเห็นซูข่านพวกเขาก็รีบทักทายอย่างรวดเร็ว
ซูข่านมองไปที่ลู่กั๋วเฉียงและพูดกับเขาเบาๆ
"ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองหมดแล้วสินะ ลู่กั๋วเฉียงพอนายไปถึงที่นั่นใช้ตาดูให้มากขึ้น ใช้หูฟังให้มากขึ้น ใช้มือของนายทำให้มากขึ้น แต่ปากของนายพูดให้น้อยลง"
"อยู่ที่นั่นนายกับเหลาสูต้องไปหาเปิดโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำนาฬิกาให้ได้ เรื่องง่ายๆไม่ยาก"
ซูข่านจำได้ว่าโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็ได้เริ่มต้นจากการที่ผลิตชิ้นส่วนหล่ออิเล็กทรอนิกส์แบบนี้เหมือนกัน
ตอนนี้ลู่กั๋วเฉียงกำลังจะไปหาที่เปิดโรงงาน ในอนาคตซูข่านอาจจะเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านเพื่อซื้อเทคโนโยลีสองสามอย่างมาใช้ในโรงงานนี้ก็ได้
ในเวลานั้นฮัวเว่ยคงยังไม่รับ OEM สินค้าต่างๆแน่นอน
ผู้คนที่จะเริ่มลงทุนผลิตอะไรบางอย่าง พวกเขาอาจจะต้องเริ่มวิจัยหาสินค้าหรืออุปกรณ์ต่างๆก่อน การนำเข้าสินค้าพวกนี้อาจจะส่งผลไม่ดีเท่าไหร่ในธุรกิจ
บางทีพวกเขาอาจจะใช้เวลาหลายปีในการวิจัยเรื่องต่างๆ และต้องทดสอบผลิตอีกหลายปีกว่าจะได้สินค้ามา ซึ่งพอถึงตอนนั้นมูลค่าในตลาดอาจจะสูงเกินไปจนพวกเขาลงทุนไม่ไหวแน่ๆ
พวกเขาไม่สามารถตั้งโรงงานผลิตพวกนี้ได้เอง เลยต้องไปจ้างคนอื่น OEM สินค้าของพวกเขาให้
แต่สำหรับซูข่านแล้วเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาของเขา การพัฒนาอาจกินเวลาหลายปีจนมูลค่าเพิ่ม แต่เขาก็คิดว่ายังสามารถจ่ายไหว
บางทีถ้าการวิจัยประสบผลสำเร็จ เขาอาจจะผลิตชิปขึ้นมาเองก็ได้
การเดินทางไปเผิงเฉิงของลู่กั๋วเฉียงนี่เป็นการเริ่มต้นก้าวแรกของซูข่านในการสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ถ้ามีทุกอย่างครบวงจร โดยไม่ต้องนำชิ้นส่วนอื่นๆจากต่างประเทศเข้า อาจลดต้นทุนการผลิตได้มากถึง 50%
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้บางทีอาจจะมีกลุ่มอุตสาหกรรมว่านเซี่ยงก็ได้